Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 170
วาห์นลืมตาตื่นและเริ่มจ้องเพดานห้องตัวเองอยู่ชั่วอึดใจขณะพิจารณาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ในขณะที่มองเพดานอยู่นั้น เขาก็เริ่มนับเวลาแต่ละวินาทีและนึกถึงภาพที่เอวาจะต้องทนอยู่คนเดียวภายในมิติขาวดำนั่นมาหลายวันแล้ว
พอจินตนาการว่าจะเป็นยังไงหากตนต้องมีชีวิตแบบนั้น วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมา
แม้จะรู้ว่าเอวาที่อยู่ในนั้นไม่ใช่คนจริงๆ แต่วาห์นก็รู้สึกสงสารเธออยู่ดี
สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือเอาใจเธอบ้างเพื่อช่วยปลอบประโลมความโดดเดี่ยวของการอยู่ตัวคนเดียวไปอีก 4 ปี
วาห์นสาบานว่าสักวันเขาจะต้องพบกับเอวาตัวจริงให้ได้ และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กสาวน่าสงสารในลูกแก้ว
เขายังคงนอนอยู่บนเตียงและคิดหาหนทางที่จะช่วยทั้งชิ้นส่วนความทรงจำและเอวาร่างต้นแบบ
เพราะวาห์นมีโอกาสที่จะเข้าไปใน ‘เรคคอร์ด’ ตอนช่วงเวลาไหนก็ได้ เขาจึงมีตัวเลือกที่จะเข้าสู่เรคคอร์ดของเอวาตอนก่อนที่เธอจะกลายเป็นแวมไพร์
วาห์นถึงกับคิดจะทำให้คนที่เรียกตัวเองว่า ‘จอมเวทต้นกำเนิด’ ต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อเอาไว้ด้วย
หากทำแบบนั้นไม่ได้ อย่างน้อยวาห์นก็อยากจะหาวิธีช่วยให้เอวาได้เติบโตและมีชีวิตแบบคนปกติทั่วไป
แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่วาห์นเชื่อว่าเขาสามารถเยียวยาหัวใจของเธอจากความโดดเดี่ยวหลายร้อยปีที่หญิงสาวกำลังประสบอยู่ได้แน่
แม้ตอนนี้จะไม่ได้กระจายเขตแดนออกไป แต่วาห์นก็สัมผัสได้ถึงออร่าจางๆ ของคนมากมายภายในบ้าน
ตั้งแต่ที่ดวงวิญญาณขึ้นมาถึงระดับ 3 สัมผัสและการรับรู้ออร่าของวาห์นก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
พอบวกกับ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] วาห์นก็รู้สึกว่ามีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจจับไปได้หากเขาให้ความสนใจกับมัน
แม้แต่แผนที่ย่อก็ยังแสดงตำแหน่งของทุกคนที่อยู่ในการรับรู้ของเขา แถมประสิทธิภาพของมันจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีกเมื่อเขาขยายเขตแดนออกไป
วาห์นลุกออกจากเตียงด้วยท่าทางขี้เกียจและยืดเส้นสายเล็กน้อยเพื่อรอรับกับกลุ่มออร่าที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที
พอเห็นว่าเป็นออร่าสีเหลืองขนาดใหญ่ วาห์นก็ยืนยันได้ทันทีว่านั่นคืออนูบิส
เธอหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงมาที่ห้องของเขาพร้อมกับออร่าขนาดเล็กข้างๆ กาย
ดูจากสีแล้ว วาห์นเดาว่านั่นน่าจะเป็นนานูและทั้งสองกำลังมาตามเขาไปทานมื้อเย็น
ทั้งสองมายืนรออยู่ด้านนอกและเฝ้ารอเขาอย่างอดทนโดยที่ไม่มาเคาะประตู
วาห์นอดยิ้มให้กับการกระทำของพวกเธอไม่ได้ ขณะเดินออกไปเปิดมันด้วยตัวเอง
อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ออร่าขนาดใหญ่นั้นเป็นของอนูบิส ทว่าแทนที่จะเป็นนานู ออร่าที่อยู่ข้างอนูบิสกลับเป็นของคนที่วาห์นไม่ได้พบมาสักระยะหนึ่งแล้ว
เธอก็คือทีน่า บุตรสาวของมิลานนั่นเอง
เธอกำลังยืนรออยู่ข้างอนูบิสและจ้องมาทางวาห์นด้วยสีหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
ก่อนที่วาห์นจะได้ทักทายทั้งสอง ทีน่าก็ก้าวออกมาและกอดเอวของวาห์นพร้อมกับขยี้ใบหน้าไปกับท้องของเขา
วาห์นประหลาดใจกับการกระทำของเด็กสาวมาก แต่พอเข้าใจว่าเธอคงจะรู้สึกหงุดหงิดเนื่องจากเขาไม่ได้ไปหาเธอเลยหลังฟื้นจากอาการโคม่า
แม้จะมีความตั้งใจแบบนั้น และเพิ่งจะไปมาเมื่อเช้านี้ แต่สถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้เขายอมรับว่าไม่ค่อยสะดวกจริงๆ
ตอนนี้เธอกำลังร้องไห้และกอดเอวของเขาด้วยแขนเล็กๆ และแรงทั้งหมดมีที แต่วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดและโศกเศร้าไปเหมือนกัน
อนูบิสยังยืนอยู่ตรงทางเดินและมองทีน่าด้วยสีหน้าอ่อนโยนขณะที่วาห์นพยายามปลอบเด็กสาวเผ่ามนุษย์แมวตัวจ้อย
เพราะเทพสาวโดนเฮเฟสตัสและเอน่า ‘อบรม’ มาเยอะพอสมควร และตอนนี้ก็ได้รู้เกี่ยวกับอดีตของวาห์นแล้ว เธอจึงคิดเหมือนเขาเป็นเด็กที่เคยดูแลในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แม้จะยังเห็นว่าวาห์นเป็นเจ้านายและถึงขนาดอยากให้เขาตามเอาใจ แต่ช่วงนี้เธอคงต้องอดทนและปล่อยให้เขาเป็นคนตัดสินใจไปก่อน
ในที่สุดวาห์นก็หลุดออกจากอ้อมแขนของทีน่าและจับไหล่ของเด็กสาวขณะจ้องมองดวงตาสีทองที่เต็มไปด้วยน้ำตาและจมูกที่มีน้ำมูกนิดหน่อย
วาห์นรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มให้เธอ
“…ขอโทษนะทีน่า ฉันน่าจะไปหาเธอให้เร็วกว่านี้”
จากนั้นเขาก็กอดเด็กสาวอย่างอ่อนโยนและปล่อยให้เธอร้องไห้ที่ไหล่ของเขาจนกระทั่งเธอใจเย็นลงหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง
พอทีน่าผ่อนคลายลงแล้ว วาห์นก็เชิญทั้งสองเข้ามาในห้องและให้พวกเธอนั่งเก้าอี้ขณะถามอนูบิสว่าช่วงก่อนหน้านี้นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อย่างที่เขาคาดไว้ เฮเฟสตัสและเอน่าได้เชิญผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เขารู้จักมารวมตัวกันและเล่าอดีตของวาห์นให้ทุกคนฟัง
วาห์นรู้สึกเหมือนถูกเปิดโปงหน่อยๆ แต่ผู้หญิงทุกคน (นอกเสียจากโลกิ) ก็ล้วนเป็นคนที่เขาเชื่อใจทั้งสิ้น
เขารู้จักกับพวกเธอส่วนใหญ่จากในมังงะมาก่อนและรู้สึกผูกพันกับพวกเธอหลายคน
ดังนั้นวาห์นจึงไม่ค่อยจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่
อนูบิสเล่าเกี่ยวกับมติต่างๆ ที่พวกเธอเห็นชอบ และวาห์นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินการตัดสินใจของพวกเธอ
แม้ว่าเขาจะยังมีอิสระเช่นเดิม แถมยังสามารถตามจีบใครก็ได้ตามต้องการ แต่วาห์นก็รู้สึกว่าเศร้ามันหน่อยๆ เนื่องจากพวกเธอต้องเป็นฝ่ายหักห้ามใจลงบ้างเพียงเพราะเขายังไม่เติบโตพอที่จะทำแบบนั้นได้เอง
หากหนึ่งในพวกเธออยากจะใช่เวลาร่วมกับเขา นั่นจะทำให้วาห์นรู้สึกภูมิใจนิดๆ และคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
แต่ตอนนี้พวกเธอต้องยับยั้งตัวเองเพื่อไม่ให้มันย้อนกลับมาทำร้ายเขา วาห์นจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำให้พวกเธอผิดหวังหน่อยๆ
เรื่องสุดท้ายที่พวกเขาคุยกันทำให้ทีน่ารู้สึกเขินจนต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะหันไปสอดส่องทั่วห้องของวาห์นแทน
อนูบิสบอกวาห์นเกี่ยวกับหน้าที่ของทีน่าในฐานะ ‘วาห์นการ์ด’ เพื่อปกป้องเขาจากถูกคนอื่นกดดันแบบไม่รู้ตัว
วาห์นได้แต่ถอนหายใจข้างในขณะมองไปทางเด็กสาวที่เป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้คุมของเขา
เพราะรู้ว่าตนจะไม่ทำอะไรเกินเลยกับเด็กสาวที่มีอายุน้อยมากๆ แน่นอน ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างเห็นด้วยกับมาตรการป้องกันเพื่อช่วยไม่ให้ตัวเองทำเกินกว่าเหตุ
แต่วาห์นก็ห่วงว่าทีน่านั้นจะต้องมาเสียสละครั้งใหญ่เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล เพราะเธอเองก็ชอบเขาไม่ต่างจากคนอื่น
วาห์นมั่นใจว่าเขาจะปฏิบัติกับสาวน้อยคนนี้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลก็คือแล้วถ้าเธอเป็นฝ่ายที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ล่ะ?
เมื่อความคิดนั่นแล่นเข้ามาในหัว วาห์นก็ตระหนักทันทีว่าทำไมเธอถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เขากังวลกับเรื่องของทีน่า ดังนั้นเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องระมัดระวังตัวเมื่ออยู่ใกล้เธอแทนซึ่งคล้ายกับตอนที่อยู่กับลิลลี่
แม้อาจจะลูบและแหย่เธอบ้าง แต่วาห์นจะไม่มีทางล้ำเส้นเด็ดขาด แถมมันยังเป็นการสร้างภูมิต้านทานของตัวเองไปในตัวอีกด้วย
ถ้าเธอเป็นฝ่ายล้ำเส้น เขาก็จะเป็นฝ่ายที่ต่อต้านและต่อไปทั้งสองก็จะมาคอยคุมกันเอง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงสมาชิกคนอื่นที่อยู่บ้านเดียวกัน…
ทีน่ามองเห็นความขัดแย้งจากสีหน้าของวาห์นจนเธอต้องพูดขึ้นด้วยความฮึกเหิม
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดเลยนะ วาห์นเมี๊ยว!
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่ปล่อยให้นายกลายเป็นคนผิดปกติแน่นอน~เมี๊ยว!”
คำพูดของเธอแม้จะฟังดูไร้เดียงสาและร่าเริง แต่มันก็ถาโถมเข้าใส่วาห์นจนเขามึนไปเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นและ ‘แสนจะมั่นใจ’ ของเธอ วาห์นก็หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“คงต้องขอฝากตัวด้วยนะ ทีน่า”
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก็เกือบจะถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้ว ดังนั้นวาห์นจึงให้อนูบิสไปบอกพวกเด็กๆ เพื่อเตรียมอาบน้ำ
ทันทีที่เขามอบคำสั่งซึ่งหากเป็นก่อนหน้านี้นั้นถือได้ว่า ‘ทั่วไป’ ทีน่าก็ตะโกนขึ้นมาทันทีก่อนที่อนูบิสจะได้ตอบรับ
“ไม่ได้นะ~เมี๊ยว! ไม่ได้เด็ดขาดเลย!
ถ้าวาห์นเมี๊ยวทำแบบนั้นแล้วนายจะดีขึ้นได้ยังไงล่ะ~เมี๊ยว!”
อนูบิสมองไปยังเด็กสาวตัวน้อยที่ ‘กำลังอบรม’ เธอด้วยท่าทางเข้มงวด แม้จะดูกระตือรือร้นไปบ้างก็ตาม
วาห์นเองก็กำลังจ้องมองมาที่ทีน่าขณะที่เธอพูดต่อ
“ตั้งแต่นี้ไป วาห์นเมี๊ยวจะต้องอาบน้ำคนเดียวหรือไม่ก็อาบกับท่านเฮเฟสตัส ท่านเอน่า ทีโอน่า หรือไอส์เท่านั้นนะ~เมี๊ยว!
จะอาบกับท่านอนูบิสและเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่ได้เด็ดขาดเลย~เมี๊ยว!”
พอได้ยินคำพูดของเธอ แม้วาห์นจะค่อนข้างเห็นด้วย แต่เขาก็พยายามอธิบายเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนเผ่าทางใต้และหน้าที่ของเขาในฐานะ ‘จ่าฝูง’ ให้เธอฟัง
ทีน่ารับฟังอย่างตั้งใจขณะที่อนูบิสพยักหน้าเห็นด้วยจากด้านข้าง
ทว่าทันทีที่เขาพูดจบลง ทีน่าก็พูดต่อไปอีก
“แบบนั้นไม่ได้หรอก วาห์นเมี๊ยว!
ถึงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา แต่มันไม่ปกติสำหรับคนส่วนใหญ่นะ~เมี๊ยว!
สิ่งที่นายต้องทำในตอนนี้ก็คือการใช้ชีวิตอย่าง ‘คนปกติ’ และจะมายอมทำตามใจคนอื่นเพื่อเลี่ยงปัญหาไปตลอดไม่ได้หรอกนะ
แม้แต่เด็กพวกนั้นเองก็ควรจะเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองด้วย ไม่งั้นอนาคตของพวกเขาจะต้องลำบากแน่นอน~เมี๊ยว!”
หลังจากดุวาห์นเสร็จ ทีน่าก็หันไปทางอนูบิสและเริ่ม ‘อบรม’ เทพสาวบ้าง
“ท่านก็เหมือนกันนะ ท่านอนูบิสเมี๊ยวต้องเป็นคนที่ช่วยสอนพวกเด็กๆ สิคะ!
ท่านเป็นเหมือนแม่ของพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่เคารพท่านได้เหรอ?
ท่านต้องไปอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยให้วาห์นเมี๊ยวต้องรับภาระของวัฒนธรรมที่เขาไม่เข้าใจหรือไม่ได้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติของตัวเองสิคะ!”
ดวงตาของอนูบิสเบิกกว้างขณะที่ทีน่าส่ายนิ้วน้อยๆ และทำราวกับว่าเธอเป็นเด็กซนที่กำลังถูกดุอยู่
เทพสาวรู้สึกอับอายแบบสุดๆ เพราะเธอเองก็รู้ว่าสิ่งที่สาวน้อยคนนี้พูดนั้นเป็นเรื่องจริง
มันเคยเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดหลายครั้งเพราะความเลินเล่อของเธอเอง
นอกเหนือจากกรณีของทีโอน่าและไอส์แล้ว เธอก็มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ที่ทำให้วาห์นต้องแบกรับภาระมากมาย
ความแข็งแกร่งจากดวงวิญญาณของวาห์นนั้นทำให้อนูบิสนับถือเขามาก รวมถึงการที่เขายอมรับและใจดีกับเธอและเหล่าเด็กๆ ด้วย
ทีน่ายังคงอบรมทั้งสองต่อไปด้วยความกระตือรือร้นขณะที่คอและหูอนูบิสเริ่มตกมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ก่อนหน้านี้นั้นวาห์นจะรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทีน่าจริงจังแค่ไหนกับหน้าที่ ‘วาห์นการ์ด’
แม้จะเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในห้อง แต่เธอกลับแสดงไหวพริบออกมามากมายและควบคุมการสนทนานี้ได้เป็นอย่างดีขณะ ‘สั่งสอน’ พวกเขาทั้งสองคน
สุดท้ายแล้วก็ตกลงกันได้ว่าว่าวาห์นจะต้องอาบน้ำคนเดียวหรือไม่ก็อาบกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆ เท่านั้น
ส่วนพวกผู้หญิงก็ต้องมาอาบน้ำด้วยกัน จากนั้นทุกคนถึงจะเริ่มทานอาหารเย็น
หลังจากที่พวกเด็กๆ ได้ยินคำบัญชาเหล่านี้ (จากวาห์น) นานูก็เหมือนจะจิตตกไปเลย แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทีต่อต้านขณะเดินคอตกออกไปพร้อมกับสาวๆ คนอื่นเพื่อใช้ห้องอาบน้ำก่อน
ทีน่าวิ่งเหยาะๆ ตามหลังพวกเธอไป และวาห์นก็ได้ยินเสียงค่อนข้างตื่นเต้นของเด็กสาวที่สะท้อนไปทั่วบ้านอยู่บ้าง… ตาดว่าน่าจะมีคนโดนสั่งสอนอีกรายแล้ว
วาห์นและเด็กหนุ่มคนอื่นๆ นั่งอยู่ในบรรยากาศที่ชวนอึดอัดและคุยเล่นกันไปประมาณ 20 นาทีจนกระทั่งถึงตาพวกเขาใช้ห้องน้ำต่อ
เมื่อพวกเขามาถึงห้องน้ำ วาห์นก็ได้รู้ว่าพวกหนุ่มๆ ไปทำอะไรในขณะที่สาวๆ ประชุมกัน
อนูบิสได้พาทุกคนออกไปตั้งแต่เช้า และเมื่อพวกเขามาถึงคาเฟ่ที่ใช้ในการจัดประชุม พวกเขาก็ไปนั่งกันอยู่ที่ชั้นล่างอย่างเรื่อยเปื่อย
โชคดีที่พกตำราเรียนมาด้วย พวกเขาจึงใช้เวลาว่างไปกับการศึกษาและพูดคุยเรื่องต่างๆ
วาห์นรู้สึกสงสารหน่อยๆ และตัดสินใจว่ามื้อนี้พวกเขาควรจะได้ทานสเต็กแสนชุ่มฉ่ำ
พออาบน้ำเสร็จ ทั้งกลุ่มก็มาทานมื้อค่ำด้วยกัน แต่นานูกลับเสียที่นั่งของเธอให้กับทีน่าซึ่งตอนนี้กำลังนั่งอยู่ทางด้านขวาของวาห์นแทน
เธออธิบายว่ามันไม่ใช่เรื่อง ‘ปกติ’ สำหรับนานูที่จะทำตัวเหมือนเป็น ‘คู่ครอง’ ของเขาในตอนนี้ เพราะยังมีเวลาเหลืออีกตั้งหนึ่งปีครึ่งก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง
ทีน่ายังทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นระหว่างวาห์นกับนานูขณะอธิบายให้เด็กคนอื่นๆ ฟังว่าความเข้าใจในเรื่อง ‘ลำดับชั้น’ ของพวกเขานั้นจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบขนานใหญ่เลย
ทุกคนบนโต๊ะต่างฟังคำสอนของทีน่า และวาห์นก็มองเห็นประกายในดวงตาของพวกเด็กหนุ่มขณะที่พวกเขามองไปทางมนุษย์แมวตัวเล็กด้วยสายตา ‘คารวะ’
วาห์นรู้สึกเหมือนตำแหน่งในฐานะ ‘จ่าฝูง’ ของเขาจะเริ่มจะไม่มั่นคงแล้ว แต่ในที่สุดก็คิดว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก
เขาเองก็อยากให้พวกเด็กๆ เติบโตออกมานอกกรอบวัฒนธรรมของตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตในเมืองอย่างมีความสุขโดยที่ไม่ไปสร้างปัญแบบในอดีตอีก
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จก็ใกล้ถึงเวลาเข้านอนแล้ว
วาห์น อนูบิส นานู และทีน่าต่างเดินตามทางที่จะไปยังห้องนอนของวาห์น
วาห์นได้รับการผ่อนผันให้ลูบหัวอนูบิสและนานูได้ ก่อนที่จะส่งทั้งสองไปเข้านอน
ขณะที่เขาลูบหูของทั้งสองนั้น วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจนิดๆ ไปกับพวกเธอด้วย
ตอนที่เขาลูบทั้งสองในอดีต พวกเธอมักจะตอบรับการสัมผัสและยังถูมือของเขากลับมาอยู่เสมอ
ทว่าตอนนี้ พวกเธอจะต้องยับยั้งชั่งใจและปล่อยให้วาห์นลูบหัวกับหูตามใจชอบ
หากไม่ใช่เพราะเขามองเห็นออร่าที่สั่นไหวจนแทบระเบิดของทั้งสอง วาห์นคงรู้สึกเหมือนพวกเธออาจจะไม่ชอบการสัมผัสของเขาไปเลย
ทันทีที่ทั้งสองเดินกลับไปที่ห้อง วาห์นก็เข้าไปในห้องของตัวเองบ้างพร้อมกับทีน่าที่ตามหลังมาติด
พวกสาวๆ ได้คุยกันก่อนหน้านี้แล้วว่าจะให้ทีน่าอยู่ห้องเดียวกับวาห์นด้วย
วาห์นนั้นได้แต่ยิ้มๆ ขณะเฝ้ามองท่าทางน่ารักและตื่นเต้นของเธอ
ทีน่ายังอยู่ในสภาพกระตือรือร้นสุดๆ ตั้งแต่ช่วงที่หยุดร้องไห้ไป
ตอนนี้เธอเหมือนจะอัดแน่นไปด้วยพลังงานก่อนเริ่มสอดส่องไปทั่วห้องของวาห์นอีกครั้งขณะถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ติดมือมาด้วย
พอรู้ว่าเธอกำลังมองหาอะไรอยู่ วาห์นก็ซื้อและนำตู้ใส่ของกับตู้เสื้อผ้าออกมาให้ทันที
ทีน่าตกใจมากเมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่สองตัวปรากฏขึ้นมาจากอากาศ แต่วาห์นก็แค่อธิบายเรื่อง ‘เวทคลังเก็บของ’ ของเขาให้ฟัง
ก่อนหน้านี้เธอก็มองหาตู้เสื้อผ้าของเขามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่วาห์นเก็บเสื้อผ้าและอุปกรณ์ส่วนใหญ่เอาไว้ในระบบช่องเก็บของหรือภายในตู้ที่อยู่ข้างห้องแทน
หลังฟังคำอธิบายของเขา ทีน่าก็เริ่มจัดแจงเสื้อผ้าของตนลงไปในตู้
เมื่อเริ่มนำชุดชั้นในออกมา เธอก็หันไปเห็นวาห์นกำลังจ้องจนหน้าตัวเองเริ่มแดงแจ๋และรีบถ่ายของออกมาจากกระเป๋าให้เร็วที่สุด
วาห์นสังเกตเห็นว่าแม้ชุดชั้นในส่วนใหญ่ของเธอจะดูธรรมดา แต่ก็หลายชิ้นที่ดูน่ารักมาก
เขารู้สึกว่าพวกมันดูเหมาะกับเด็กสาวคนนี้จริงๆ และยังเสริมบุคลิกร่าเริงของเธอด้วย
หลังจากเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ทีน่าก็หยิบชุดนอนสีฟ้าอ่อนขนาดใหญ่ที่เหมือนกับเสื้อคลุมยาวขึ้นมาและเริ่มถอดเสื้อผ้าออกโดยบอกให้วาห์นหันไปทางอื่นก่อน
วาห์นปฏิบัติตามคำขอของเธอและรอจนกระทั่งเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก่อนจะหันกลับมา
ทีน่ามีท่าทางเขินอายมากและกำด้านหน้าชุดนอนของเธอไว้แน่นขณะจ้องมองมาที่เด็กหนุ่ม
หลังจากเงียบกันไปพักหนึ่ง วาห์นก็ตัดสินใจพูดขึ้นก่อนเพื่อลดความตึงเครียดลง
“เข้านอนกันเถอะ ทีน่า”
ทีน่าพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรขณะปีนขึ้นไปบนเตียงขนาดใหญ่ของวาห์น
วาห์นพบว่าชุดนอนของเด็กสาวนั้นต่างไปจากชุดอื่นๆ เพราะมันไม่มีรูให้หางของเธอลอดผ่าน
มันไม่เหมือนกับด้านหน้าที่เธอใช้มือจับเอาไว้ เพราะด้านหลังของเธอนั้นเลิกขึ้นมาเล็กน้อยจากหางของเธอเอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนวาห์นคงจะจ้องแบบไม่วางตา แต่ตอนนี้เขากลับหลบสายตาแทนการเหลือบมองสิ่งที่อยู่ด้านใน
เนื่องจากทีน่ายังเด็กอยู่มาก เขาจึงต้องระมัดระวังเมื่ออยู่กับเธอแทนที่จะปฏิบัติเหมือนเด็กสาวหนึ่งในผู้หญิงของเขา
หลังจากที่เธอขึ้นเตียงมาแล้ว ทีน่าก็จ้องวาห์นขณะที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะตามขึ้นมาเช่นกัน
อาจจะเป็นเพราะวาห์นไม่ได้บอกให้เธอหันหน้าไป ทีน่าจึงเฝ้ามองขณะที่เขากำลังใส่เสื้อกับกางเกงหลวมๆ
เนื่องจากเขาไม่ได้ถอดบ๊อกเซอร์ออก เธอจึงไม่ได้เห็นเขาในสภาพเปลือยเปล่า แต่มันก็ไม่ได้หยุดเธอจากการเพ่งมองไปตามร่างกายของเขา
วาห์นสูงขึ้นมาอีก 12 ซม. ตั้งแต่ที่ทั้งสองได้พบกันล่าสุด และร่างกายของเขาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเมื่อเทียบกับในอดีต
พอวาห์นเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เขาก็มานอนลงบนเตียงแต่ก็ยังรักษาระยะห่างกับทีน่าเอาไว้พอสมควร
เตียงตัวนี้มีขนาดใหญ่พอที่จะให้คนสี่คนนอนเรียงกันได้แบบสบายๆ ดังนั้นมันจึงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองคน
ทว่าเรื่องที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทีน่าเริ่มขยับเข้าใกล้และมาขดตัวอยู่ตรงร่างของเขาคล้ายกับที่เอวาทำ
ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ทีน่าก็อธิบายให้ฟัง
“ตั้งแต่ที่พ่อเสียไป… ฉันก็นอนข้างแม่ตลอดเลย
เรื่องนอนคอนเดียวนี้… ยังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่น่ะ”
คำพูดของเธอทำให้ความกังวลของวาห์นลอยออกไปนอกหน้าต่างขณะปล่อยให้เด็กสาวขดตัวต่อโดยไม่พูดอะไร
วาห์นรู้เรื่องการเสียชีวิตภายในดันเจี้ยนของผู้เป็นพ่อมาก่อน และเขาก็รู้สึกสงสารเธอกับแม่ของเธอเหลือเกิน
พอจินตนาการถึงผู้หญิงสองคนที่ขดตัวอยู่บนเตียงเพื่อแสงหาความความอบอุ่นจากกันและกัน วาห์นก็รู้สึกเศร้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
แม้จะรู้สึกได้ถึงความร้อนจากร่างเล็กๆ ของทีน่าที่อยู่ข้างกัน แต่วาห์นก็รู้สึกว้าวุ่นกว่าเดิมเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ามิลานผู้เป็นแม่ของเธอนั้นกำลังนอนตัวคนเดียวอยู่บนเตียง…