Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 178
วาห์นใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากปล่อยฟาฟเนียร์ออกมาเพื่ออธิบายรายละเอียดทั้งหมดของมันให้เอวาฟัง
ดูเหมือนว่าหญิงสาวเริ่มจะสนใจเวทมนตร์ตั้งชื่อและสกิลอื่นๆ ที่วาห์นไม่เคยบอกเธอมาก่อนเลย
เมื่อพบว่าฟาฟเนียร์นั้นมีคุณสมบัติ ‘ต้านทานเวทมนตร์แบบสมบูรณ์’ เธอก็ลองทดสอบดูด้วยเวทมนต์เล็กๆ ที่จะไม่ทำให้มันบาดเจ็บเพื่อดูว่าวาห์นพูดจริงหรือเปล่า
น้ำแข็งที่เธอสร้างขึ้นเมื่อใช่พลังเขตแดนนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นไอน้ำทันทีที่เข้าไปถึงตัวฟาฟเนียร์
คล้ายกับว่ามีทรงกลมที่มองไม่เห็นอยู่รอบตัวของมันซึ่งครอบคลุมไปถึงส่วนปีกด้วย ซึ่งก็หมายความว่ามันสามารถทำลายโครงสร้างเวทมนตร์ภายในระยะ 10 ได้อย่างสมบูรณ์
เอวาตระหนักแล้วว่าหากไม่ใช้มหาเวทหรือการโจมตีกายภาพขั้นรุนแรง เธอก็จะไม่สามารถจัดการกับฟาฟเนียร์ลงได้ง่ายๆ
คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงไปนักหากจะบอกว่ามังกรดำตัวนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจของนักเวททุกคน
เมื่อรู้มาอีกว่ามันสามารถใช้เวทมนตร์ได้แต่ยังไม่ได้เรียนเวทอะไรสักบทเลย เอวาก็ยิ่งรู้สึกสนใจเจ้ามังกรที่ดู ‘ชั่วร้าย’ ตัวนี้มากขึ้น
ที่จริงๆ แล้วเธอพบว่ามันมีรูปร่างหน้าตาที่น่ารักมาก ก็เลยโน้มน้าวให้วาห์นปล่อยให้มันอยู่ในนี้ไปก่อน
แม้ว่าเขาจะรู้สึกประหลาดใจกับคำขอแปลกๆ นั่น แต่หลังจากพิจารณาดูแล้ว วาห์นก็ยอมให้ฟาฟเนียร์อาศัยอยู่ในลูกแก้วนี้เป็นการชั่วคราว
เขาออกคำสั่งในใจโดยให้มันเชื่อฟังเอวาและทำดีกับเธอให้มากๆ
เขายังบอกมันด้วยว่าหากเป็นไปได้ ก็ให้ลองเรียนรู้เวทมนตร์จากเธอดู
ฟาฟเนียร์ลงมายืนอยู่ต่อหน้าทั้งสองภายในเวลาไม่กี่วินาทีก่อนจะเอนตัวลงและพยายามเอาจมูกมาถูกับเอวา
หญิงสาวเริ่มรู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้นขณะลูบผิวหยาบของเจ้ามังกร ‘ชั่วร้าย’ แรงๆ
วาห์นเองก็มีความสุขเพราะตอนนี้เอวาจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวในมิติแห่งนี้ในช่วงเขาอยู่ในโลกจริงอีกแล้ว
แม้จะกังวลว่าฟาฟเนียร์อาจสลายกลับไปเป็นคริสตัลเนื่องจากขาดพลังงาน แต่วาห์นก็จะเข้ามาเติมพลังงานให้มันอยู่เรื่อยๆ
ตราบใดที่ไม่ได้ใช้มานามากเกินไปนัก มันก็น่าจะอยู่ได้นานสี่ปีก่อนที่เขาจะกลับเข้ามาและเติมพลังให้มันใหม่อีกครั้ง
ขณะที่เอวาบินไปรอบๆ ท้องฟ้าบนหลังของฟาฟเนียร์ด้วยความเร็วประมาณ 3700 กม./ชม. วาห์นก็กลับไปที่ห้องทำงานเพื่อเริ่มสร้างอาวุธคู่กายของตัวเอง
แม้ที่ผ่านๆ มานั้นเขาจะไม่ค่อยได้พึ่งพาอุปกรณ์เท่าไหร่ แต่วาห์นก็ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาจำเป็นต้องใช้อาวุธแต่กลับไม่ได้ทำเตรียมเอาไว้
เพราะคิดว่ารูปร่างและการออกแบบอาจมีความสำคัญเมื่อตั้งชื่อให้มันในภายหลัง วาห์นเลยศึกษาเกี่ยวกับตำนานของดาบที่พอจะเอามาใช้เป็นต้นแบบได้
เนื่องจากช่วงนี้เขารู้สึกชอบตำนานเทพนอร์สมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลังจากตั้งชื่อให้กับฟาฟเนียร์และ [แกรม] วาห์นจึงตัดสินใจตามกระแสและเริ่มสร้างดาบที่น่าจะทนพลังจากร่างนกไฟของเขาได้
ดาบที่เขากำลังสร้างอยู่นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาวุธในตำนานที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงซึ่งสามารถเผาได้แม้กระทั่งรากฐานของโลก
มันมีชื่อว่า ‘เลวาไทน์’ (Lævateinn) และวาห์นรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มีดาบเพลิงลุกโชนไว้ฟาดฟันศัตรู
วาห์นใช้เวลาเกือบสิบสองชั่วโมงในการสร้างแกนดาบโดยใช้โอริแคลคัมบริสุทธิ์
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ แกะสลักอักษรรูนเล็กขนาดเล็กหลายร้อยตัวไว้ที่แกนกลางอย่างยากลำบากโดยพวกมันจะทำหน้าที่รวบรวมพลังงานธาตุไฟจากในอากาศและเสริมให้โครงสร้างของดาบสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แม้จะเชื่อว่าการตั้งชื่อมันด้วย [ผู้ดูแลบันทึกแห่งนภา] จะช่วยเสริมบางอย่างที่ขาดหายไปได้ แต่วาห์นก็ไม่ได้ใช้ทางลัดใดๆ ทั้งสิ้นและทำทุกขั้นตอนอย่างประณีตบรรจง
หลังจากสร้างแกนเสร็จแล้ว วาห์นก็นำอะดาแมนไทน์สีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกแช่ไว้ในเลือดของมังกรแดงจากไอร่อนฮิลล์ซึ่งเป็นของหายากมากๆ ออกมา
ตอนนี้โลหะสีขาวนั้นมีเฉดสีแดงเข้มเพราะมันได้ดูดซับพลังงานจากเลือดเข้าไปอย่างเต็มเปี่ยม
ในช่วงสุดท้ายของกระบวนการนั้น ตัวเลือดเองก็ดูใสราวกับน้ำก่อนที่วาห์นจะนำมันมาขึ้นรูปไว้รอบๆ แกนดาบโดยยึดตามรูปร่างของดาบสองมือ
เนื่องจากวาห์นต้องการใช้มันเฉพาะตอนสู้กับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่หรืออะไรก็ตามที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง เขาจึงทำดาบให้มีขนาดใหญ่เพื่อให้สะดวกในการโจมตีอย่างรุนแรง
หลังจากนำอะดาแมนไทน์ไปขึ้นรูปที่แกนจนเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยไปแล้วเกือบสามสิบชั่วโมง
วาห์นไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อยและคอยเสริมพลังงานของตัวเองด้วยมานาโพชั่นและถั่วเซียนแทน
เอวาแวะมาหาอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ปล่อยให้เขาทำงานของตัวเองโดยไม่เข้ามารบกวน
เธอเอาแต่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานและเฝ้าดูการกระทำของเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ
การเห็นวาห์นทำงานหนักอยู่ตลอดนั้นทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจขณะเฝ้ามองร่างกำยำของต่อไปอย่างเพลิดเพลิน
พอวาห์นสลักอักษรรูนเพิ่มเติมและสร้างด้ามจับกับโกร่งดาบเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบหกสิบห้าชั่วโมง
แม้จะใช้ไอเท็มเพื่อเสริมพลังงานอยู่เรื่อยๆ แต่เขาก็รู้สึกเหนื่อยแบบสุดๆ ขณะกำลังเฝ้ามองผลงานของตัวเองด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ผลที่ได้จากการทำงานอย่างหนักเกือบตลอดหกสิบห้าชั่วโมงก็คือดาบสองมือสีแดงเข้มที่มีความยาวทั้งหมด 220 ซม. โดยมีด้ามจับที่กินความยาวไปประมาณ 50 ซม. เพื่อให้ง่ายต่อการจับแบบสองมือ
โกร่งดาบนั้นยาวเกือบ 30 ซม. ซึ่งทำให้ตัวดาบดูน่ากลัวหน่อยๆ แถมยังมีอักศรรูนสลักอยู่บนลวดลายที่ดูซับซ้อนด้วย
(TL: เดี๋ยวจะเอาภาพไปแปะไว้ในอัลบั้มของเพจนะครับ)
วาห์นใช้เวลาต่ออีกไม่กี่ชั่วโมงเพื่อทำสมาธิและฟื้นพลังงาน ซึ่งเอวานั้นคิดแล้วคิดอีกว่าควรจะฉุดเด็กหนุ่มออกไป ‘พักผ่อน’ ด้วยดีหรือเปล่า
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเขา เธอก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนจนได้แต่นั่งเงียบๆ และสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ
เธอทิ้งฟาฟเนียร์ไว้ในสวนหลังจากที่ขี่มันไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง และดูเหมือนว่าจะชอบที่ตรงนั้นมากก่อนจะล้มลงไปนอนเอกเขนกแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
หลังจากฟื้นพลังงานเสร็จแล้ว วาห์นก็นำเลวาไทน์มาถือไว้ในมือและเริ่มเพ่งจิตไปกับภาพดาบในหัวที่เขาต้องการจะสร้าง
เอวาสังเกตเห็นการกระทำของเด็กหนุ่มและต้องประหลาดใจเมื่อมีพลังงานก่อตัวขึ้นรอบๆ วาห์น
เอวารู้ว่าเขาไม่น่าจะดึงมานาจากอากาศในลูกแก้วออกมาใช้ได้ แต่เธอกลับรู้สึกว่ากำลังมีพลังงานมหาศาลบางอย่างหลั่งไหลออกมาจากความว่างเปล่าโดยที่ตนเองไม่สามารถอธิบายได้
วาห์นถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างและชูมันขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะมองตามมันขึ้นไปก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบาซึ่งดังสะท้อนไปทั่วอย่างประหลาด
“นับจากนี้ไป ชื่อของเจ้าคือ [เลวาไทน์]
จงกลายมาเป็นดาบที่จะเผาผลาญศัตรูของข้าให้สิ้นซาก”
ขณะที่คำพูดของเขาสะท้อนไปทั่วมิติ วาห์นก็รู้สึกว่าพลังงานของตัวเองนั้นกำลังไหลออกไปจากร่างอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ดาบในมือเริ่มเปล่งแสงทีแดงสุกสว่างที่ดูทรงพลังมาก
เอวาให้ความสนใจในตลอดทุกกระบวนการและพอเห็นแสงสีแดงนั่น เธอก็พลันเบิกตากว้างขณะเริ่มกระจายพลังเวทไปทั่วห้องทำงานและเคลื่อนย้ายทุกอย่างพร้อมของที่อยู่ด้านในให้ห่างออกไปอีกหลายร้อยเมตร
วาห์นนั้นถูกทิ้งไว้ที่เดิมขณะกำลังจ้องมองแสงสีแดงในสภาพเหม่อเลย ในขณะที่พื้นสีขาวรอบๆ ตัวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำจากความร้อนที่ดาบปล่อยออกมาไม่หยุด
สุดท้ายแล้ว แสงสีแดงก็ขยายตัวออกไปในลักษณะทรงกลมที่มีขนาดเกือบ 10 เมตรรอบๆ ตัวของเด็กหนุ่มและเผาผลาญทุกอย่างที่อยู่ในนั้นจนกลายเป็นขี้เถ้า
ที่น่าแปลกก็คือไม่ว่าจะดูร้อนขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อวาห์นหรือเสื้อผ้าของเขาเลยแม้แต่น้อย
พวกมันยังคงแกว่งไปมาราวกับแค่ถูกลมพัดปลิวเฉยๆ (TL: เสื้อผ้าคิดในใจ ‘รอบนี้รอดว่ะ!’)
ไม่กี่อึดใจต่อมา วาห์นก็แทบจะไม่มีแรงเหลือขณะที่แสงสีแดงค่อยๆ ไหลกลับเข้าสู่ดาบในมือ
จากดาบสองมือสีแดงเข้มที่เขาสร้างไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันกลายเป็นสีดำคล้ายถ่านขณะที่อักษรรูนทั้งหมดกำลังส่องแสงมีแดงส้มซึ่งดูคล้ายกับไฟจากเตาหลอม
รวมๆ แล้วตัวดาบนั้นดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมมาก แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสง่างามหากจ้องมันไปเรื่อยๆ
มันดูเหมือนดาบที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ และวาห์นคิดว่าตัวดาบนั้นยังให้ความรู้สึก ‘ภาคภูมิใจ’ แฝงอยู่ด้านในด้วย
วาห์นที่ยังรู้สึกมึนงงหน่อยๆ เริ่มเหวี่ยงดาบออกไปเพื่อทดสอบมัน
ขณะที่ง้างดาบ อักษรรูนก็เริ่มเปล่งแสงจนเกิดเป็นเส้นเปลวเพลิงที่ไล่ตามดาบออกมา
เมื่อวาห์นหยุดการแกว่งดาบแบบกระทันหัน ตัวเพลิงก็ยังคงพุ่งต่อไปในทิศทางที่เล็งไว้และเริ่มเผาผลาญพื้นสีขาวตรงหน้าออกเป็นวงกว้าง
การลุกไหม้นั่นชวนให้นึกถึงลมหายใจของมังกรอย่างน่าประหลาด แถมตอนนี้มันก็ยังคงเผาไหม้และทำลายพื้นต่อไปเรื่อยๆ เรากับเป็นกรดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนขั้นรุนแรง
วาห์นไม่อาจหุบรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตัวเองได้ ก่อนจะหันไปมองดาบในมือและดูข้อมูลจากในระบบ
เขาได้รับ OP มากว่า 17,000 แต้มตอนที่ตั้งชื่อให้มัน ดังนั้นวาห์นจึงคาดหวังกับสถานะและคุณสมบัติของมันไว้สูงพอสมควร
[เลวาไทน์]
ระดับ: S (เวทมนตร์)
ช่อง: 0
พลังโจมตี: 1708+170
พลังโจมตีเวทมนตร์: 1153
คุณสมบัติ: เลวาไทน์(S), บรรเลงเพลิง(A), พุ่งแทงปะทุระเบิด(A), เจาะทะลวง(S), ความคม(B)
ดาบที่สืบทอดนามของดาบ ‘เลวาไทน์’ ในตำนาน
เปลวเพลิงที่ถูกปล่อยออกมาจากดาบเล่มนี้นั้นไม่อาจดับลงได้ด้วยวิธีทั่วไป ซึ่งมันจะยังคงเผาไหม้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าโลกทั้งใบจะกลายเป็นเถ้าถ่านหรือจนกว่าผู้ใช้จะสั่งให้มันดับด้วยตัวเอง
พอได้อ่านคำอธิบายแล้ว รอยยิ้มของวาห์นก็ยิ่งกว้างกว่าเดิมตามมาด้วยความตื่นเต้นที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ดาบดั้งเดิมที่เขาตีขึ้นมานั้นจะอยู่ที่ระดับ A แต่พอผ่านการตั้งชื่อแล้วมันจึงถูกผลักขึ้นไปถึงระดับ S
แม้จะไม่ได้ทำให้สกิลของเขาพัฒนาขึ้นเป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] แต่วาห์นก็รู้สึกว่าเวลานั้นใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว โดยเฉพาะหลังจากได้สร้างไอเท็มที่ทรงพลังขนาดนี้ออกมา
เขาชี้ปลายดาบไปทางเปลวเพลิงที่ยังคงลุกไหม้อยู่บนพื้นสีขาวก่อนจะเพ่งจิตเพื่อดับมันลงและสังเกตเห็นว่าเปลวเพลิงค่อยๆ มอดลงอย่างช้าๆ
วาห์นพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมามาก และตอนนี้เขาก็มีอาวุธทรงพลังไว้ใช้จัดการกับพวกศัตรูตัวแสบๆ แล้ว
แม้อาจเอาชนะพวกมันไม่ได้ในทันที แต่ตราบใดที่เขาโจมตีโดน พวกมันก็จะถูกไฟสร้างความเสียหายต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าวาห์นถอยหนีออกไปแล้วก็ตาม
วาห์นเก็บดาบเข้าไปในช่องเก็บของและหันไปหาเอวาที่ปรากฏออกมาข้างๆ ได้พักหนึ่งแล้ว
เธอมองเขาด้วยรอยยิ้มและใบหน้าที่แดงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“เป็นดาบที่ดีจนน่าเหลือเชื่อเลย
‘เวทมนตร์ตั้งชื่อ’ ของนายนี่ทรงพลังกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”
วาห์นพยักหน้าและตอบกลับ
“นี่คือผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันเคยสร้างมา แต่ต่อไปก็คงได้เห็นอะไรที่ดีกว่านี้แน่นอน ฉันยังต้องฝึกอีกเยอะเลย…”
เอวายิ้มให้ก่อนจะเข้ามาใกล้โดยใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] และจับแผงอกของวาห์น
เธอกระซิบเบาๆ ด้วยสายตาที่ดูกระตือรือร้นกว่าปกติ
“ขยันแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก… เดี๋ยวจะให้รางวัลนะ”
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยปากถาม ทั้งสองก็หายไปจากตรงนั้นด้วยเวทเคลื่อนย้ายของเอวา
—
ฟาฟเนียร์ที่กำลังหลับอยู่ในสวนนั้นเงยหน้าและหันไปทางบ้านพักเพราะมันรู้สึกได้ถึงพลังงานมากมายที่กระจายออกมาเป็นระยะๆ
มันพอรู้สึกได้ว่าเจ้านายกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ก็รู้อีกว่าคงไม่อาจช่วยอะไรได้หากต้องเผชิญหน้ากับ ‘ศัตรู’ ที่วาห์นกำลังประมือด้วย
หลังจากที่ได้รับชื่อมา สติปัญญาของฟาฟเนียร์ก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากและทำให้มันสามารถขบคิดเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ด้วยเหตุผลแทนการใช้สัญชาตญาณล้วนๆ แบบในอดีต
ตอนนี้ ถ้าหากนายท่านไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือมาโดยเฉพาะล่ะก็ ฟาฟเนียร์คิดว่าเป็นการดีที่สุดแล้วถ้ามันจะอยู่เฉยๆ ก่อนกลับลงไปนอนต่อและเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมหวนของดอกไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ มันก็ผลอยหลับไปอีกครั้งโดยไม่สนใจความลำบากของผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย