Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 18
ขณะที่เขามุ่งหน้าไปที่หอคอย วาห์นมองไปรอบๆ และดูผู้คนที่เดินกันขวักไขว่บนถนน เขาสังเกตเห็นว่าแม้ทุกคนจะมีเสื้อผ้าและรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ก็ไม่มีใครที่สะดุดตามากเท่าเขาเลย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างย้อนแย้งเพราะชุดที่เขาสวมใส่เพื่อเสริมการอำพรางตัวตอนนี้กลับทำให้เขากลายเป็นแกะดำ ขณะที่เขากำลังเดินอยู่นั้นก็มีสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมามองมาที่เขาอย่างสงสัย
หลังจากผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง วาห์นก็เห็นสิ่งก่อสร้างที่มีผู้คนกลุ่มน้อยใหญ่เข้าออกแทบตลอดเวลา แม้อาคารจะดูเก่าแต่ก็ยังมีเค้าของความโอ่อ่าสง่างาม
จากที่เขาเห็น ตัวอาคารมีอยู่ด้วยกันสามชั้นและถูกออกแบบมาให้ดูโดดเด่นกว่าอาคารที่อยู่รอบข้าง หลังจากที่ได้สังเกตตัวอาคาร เขากลับไม่เห็นอะไรที่บ่งบอกเลยว่านี่เป็นอาคารสำหรับอะไร วาห์นปล่อยให้ความอยากรู้เข้าครอบงำและตรงเข้าไปข้างใน
เมื่อเขาเข้าไปในอาคาร เขาก็รู้ทันทีว่านี่คือที่ไหน ดูเหมือนว่าการเข้าเมืองจากประตูทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมันทำให้เขาอยู่บนถนนเส้นเดียวกับที่อาคารของกิลด์ตั้งอยู่ วาห์นอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า ‘เดอะพาธ’ คงวิเคราะห์การกระทำทุกอย่างของเขาอยู่ตลอดเวลา
หากเริ่มการเดินทางจากถ้ำของเขา ถ้าเขาเดินไปทางหอคอยทันทีที่เข้าเมืองก็จะทำให้เขามาถึงที่นี่ได้แบบไม่รู้ตัว
วาห์นมองไปรอบๆ เพื่อดูว่าเขาจะเจอตัวละครที่อยู่ในเรื่องบ้างหรือเปล่า เขาจำได้ว่ามีตัวละครหญิงที่ชื่อว่า ‘เอน่า’ และ ‘มิช่า’ ซึ่งเป็นตัวละครที่น่าสนใจจากในมังงะและคิดว่าคงจะสนุกดีหากเขาได้พบกับพวกเธอจริงๆ
“ขอโทษนะคะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?” มีเสียงพูดดังขึ้นจากทางด้านหลังของวาห์น
วาห์นหันไปทางที่มาของเสียงและเห็นหญิงสาวที่มีเรือนผมสีม่วงและดวงตาสีเขียวอ่อน เธอดูแก่กว่าวาห์นเพียงไม่กี่ปี แต่เธอมีท่าทางที่คล้ายกับคุณหมอคีนลี่ย์จากชีวิตที่แล้วของ นั่นทำให้วาห์นรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขามากที่สุดก็คือออร่าที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลาของเธอ ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนสีไปมาระหว่างสีโปร่งใสและสีเทาหม่น
พนักงานต้อนรับ ฟาวน่า เวสติลด์ สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่มจึงทำให้ดวงตาของเธอกระตุกขึ้น
เธอเข้ามาใกล้ ‘เด็กจรจัด’ ที่อยู่เบื้องหน้าของเธอตามหน้าที่และแน่นอนว่าเธอคงจะไม่สนใจเขาหรอกหากว่านี่ไม่ใช่งาน แต่เธอก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ที่เด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนกำลังสอดส่องร่างกายของเธอด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เธอพยายามทำใจเย็นและทำตามหน้าที่ของตัวเองต่อไป “คือว่า… นี่เป็นครั้งแรกที่มากิลด์ใช่หรือเปล่าคะ?”
วาห์นรับรู้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในพนักงานของกิลด์ เนื่องจากเธอใส่ชุดสูทสีดำแบบเดียวกับทุกคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ใส่กัน เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเพราะไปทำให้อารมณ์ของเธอหม่นหมอง
“ผมต้องขอโทษด้วยนะ และก็ใช่แล้วครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ผมอยากจะสมัครเป็นนักผจญภัย”
ฟาวน่าประหลาดใจเล็กน้อยเพราะเด็กหนุ่มพูดจาสุภาพเป็นอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะจ้องมองเรือนร่างของเธออย่างหยาบคายก็ตาม เธอคิดว่าเขาคงจะไม่คุ้นเคยกับผู้หญิงเท่าไหร่ และเชื่อว่าเป็นเพราะสเน่ห์ของตัวเองที่ทำให้เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าเช่นนั้น
เธอยิ้มในใจและพูดกับเด็กหนุ่ม “ยินดีต้อนรับสู่สำนักงานใหญ่ของกิลด์แห่งโอราริโอ้ค่ะ ชื่อของฉันคือฟาวน่า ขอทราบชื่อของคุณหน่อยได้ไหมคะ?”
วาห์นมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของออร่าอย่างมากจากหญิงสาวผู้ที่แนะนำตัวเองว่าฟาวน่า แม้ว่ามันจะโปร่งใส่ แต่มันก็มีสีอ่อนๆ และคลุมเครือคล้ายกับแสงอาทิตย์ เขาเผยรอยยิ้มบนใบหน้าและตัดสินใจแนะนำตัวเช่นกัน
“สวัสดีครับ คุณฟาวน่า ผมมีชื่อว่าวาห์น เมสัน”
ฟาวน่าหัวเราะเล็กน้อยเพราะเด็กหนุ่มที่ชื่อวาห์นเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็วมาก มันอาจดูเป็นเรื่องหยุมหยิม แต่เพราะงานของเธอ ทำให้เธอมองออกได้อย่างง่ายดายว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ โดยดูจากการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางสีหน้าของเด็กหนุ่ม ดูเหมือนว่าเด็กที่ดูโทรมๆ คนนี้จะได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี และเธอไม่ควรนินทาเขาลับหลังโดยคิดว่าเขาเป็นแค่คนจรจัดที่เผลอเดินเข้ามาในนี้
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ วาห์น เธอจะพบกับโต๊ะลงทะเบียนนักผจญภัยได้ที่ตรงนั้น ใกล้กับพนักงานผมบลอนด์ที่สวมแว่นตานั่นไง”
วาห์นมองไปตามทางที่เธอชี้และเห็นหญิงสาวร่างกายบอบบางผมสีบลอนด์ยืนอยู่ข้างหลังโต๊ะ หลังจากกล่าวขอบคุณสาวพนักงานต้อนรับ วาห์นก็เดินไปที่โต๊ะด้วยความตื่นเต้นที่ปรากฏออกมาทางสีหน้า
ขณะที่เธอมองวาห์นเดินออกไปแบบเด็กที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ฟาวน่าอดหัวเราะคิกคักไม่ได้เนื่องจากเด็กหนุ่มคนนั้นดูน่าสนใจผิดกับการแต่งตัวของเขาเป็นอย่างมาก เธอเริ่มคิดว่าควรจะแนะนำเรื่องการแต่งตัว ให้กับเขาหากเธอมีโอกาสในอนาคต เด็กคนนี้มีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ผมสีดำ และโครงหน้าอันหล่อเหลา เธอเชื่อว่าถ้าเขาตัดผมทรงดีๆ และใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม เขาจะต้องเป็นที่หมายปองของสาวๆ แน่นอน
วาห์นไม่รู้เลยตัวเองทำอะไรไว้ เขาเดินมาที่โต๊ะรับสมัครและยิ้มออกมาอย่างที่ดีที่สุดให้กับหญิงสาวที่จ้องมองเขา
“สวัสดีครับ ผมชื่อวาห์น เมสัน ผมอยากจะสมัครเป็นนักผจญภัยครับ!” หลังจากสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของฟาวน่าหลังจากที่เขายิ้มให้ วาห์นมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นแผนที่ดีในการเพิ่มความประทับใจให้กับคนที่เขาพบ
หญิงสาวค่อนข้างตกใจจากเสียงของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเธอ เธอคิดไว้อยู่แล้วตั้งแต่ที่เธอเห็นเขาคุยกับฟาวน่าและฟาวน่าก็ชี้ตรงมาทางเธอ แต่เธอไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมในตอนแรกกลับดูตื่นเต้นได้มากขนาดนี้
“…ยะ-ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ วาห์น ฉันชื่อมิลลี่ สเตราสส์ ช่วยบอกเลเวลของเธอกับแฟมิเลียที่เธอสังกัดอยู่ได้ไหมคะ?”
หลังจากที่เขาแนะนำตัว วาห์นก็สังเกตเห็นว่าออร่ารอบตัวหญิงสาวกลายเป็นสีน้ำเงินและสั่นไหวเล็กน้อย เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองทำอะไรลงไปมันถึงกลายเป็นแบบนั้น เขาเลยได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับ
“เอ่อ เลเวลของผมคือ 1 และยังไม่เคยเข้าร่วมแฟมิเลียมาก่อนครับ” เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าเชิงขอโทษ
มิลลี่ประหลาดใจกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปในทันทีของเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอเองก็รู้สึกว่าควรจะขอโทษเช่นกัน แต่เธอเลือกที่จะไม่ทำมันในตอนนี้
“เธออาจจะไม่รู้มาก่อนนะ แต่ทางกิลด์จะรับเฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิกของแฟมิเลียเท่านั้น เนื่องจากเราไม่สามารถรับผิดชอบต่อนักผจญภัยอิสระทุกคนที่เข้าและออกจากดันเจี้ยนได้ เราจึงรับพิจารณาแต่เฉพาะผู้ที่อยู่ใต้ความรับผิดชอบของทวยเทพทั้งหลายที่อาศัยอยู่ภายในเมืองเท่านั้น”
วาห์นรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากในในมังงะมาก่อน เขารู้ว่าการเข้าร่วมแฟมิเลียด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และถ้าหากไม่ได้เป็นนักผจญภัยก็จะเป็นการยากหากต้องการหาเงินในอนาคต
เมื่อเห็นใบหน้าอันเศร้าสร้อยของวาห์น มิลลี่จึงเลือกที่จะให้กำลังใจเขาโดยมอบคำแนะนำบางอย่างให้แทน “ถ้าเธอต้องการ ฉันสามารถช่วยจัดการหาแฟมิเลียที่กำลังรับคนให้ได้นะ นอกจากนี้เธอยังมีทางเลือกที่จะเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนอิสระ และเข้าไปสำรวจดันเจี้ยนชั้นแรกๆ เพื่อเพิ่มเลเวลและความแข็งแกร่งของตัวเอง หากมีบางแฟมิเลียที่เธอสนใจเป็นพิเศษ”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่เธอพูด อารมณ์ของวาห์นก็หันกลับแบบ 180 องศาและสอบถามเธอทันที “คุณจะบอกว่าผมสามารถเข้าดันเจี้ยนได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนที่กิลด์ใช่ไหมครับ? แถมตอนนี้คุณยังสามารถมอบรายชื่อแฟมิเลียที่กำลังรับคนอยู่ให้ผมได้ด้วย!?”
มิลลี่ตกใจในน้ำเสียงของเขาและอดคิดไม่ได้ว่า ‘เด็กหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นคนเรียบง่ายจริงๆ ถึงเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วขนาดนี้!’
เธอถอนหายใจก่อนกล่าวว่า “ใช่แล้วค่ะ ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนักสำรวจดันเจี้ยนอิสระ และการเป็นนักผจญภัยก็คือจำนวนสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากทางกิลด์ สำหรับนักสำรวจอิสระนั้นจะต้องเสียภาษี 30% จากไอเท็มและของที่ดรอปจากมอนสเตอร์ทุกชิ้นที่ขายให้กับทางกิลด์ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการรับภารกิจซึ่งจะอิงตามฐานเลเวลของเธอ นักผจญภัยส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับภารกิจระดับที่สูงกว่าตัวเองเนื่องจากพวกเขาสามารถให้ทางแฟมิเลียช่วยเหลือได้
ขณะที่กำลังอธิบาย เธอก็ส่งรายชื่อทั้งหมดของแฟมิเลียที่กำลังรับคนอยู่ให้กับวาห์น ขณะที่เธอบอกสิทธิประโยชน์ทั้งหมดของการเป็นนักผจญภัยนั้น วาห์นกลับเหม่อลอยจากการดูรายชื่อทั้งหมดที่เขาได้มา เขาไม่สามารถจำแฟมิเลียส่วนใหญ่ที่อยู่บนกระดาษแผ่นนี้ได้ และรู้สึกประหลาดใจกับจำนวนของเทพที่อาศัยอยู่ในเมือง!
จากด้านบนถึงด้านล่างของรายชื่อ ระดับของแฟมิเลียจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดวาห์นก็สังเกตเห็นชื่อแฟมิเลียที่คุ้นเคย ‘โลกิแฟมิเลีย’ วาห์นสนใจที่จะเข้าร่วมกับหนึ่งในกิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเนื้อเรื่อง เขามองไปยังคุณสมบัติที่ต้องการก่อนที่จะรู้สึกอยากถอนหายใจ พวกเขาต้องการบุคคลที่มีเลเวล 2 เป็นอย่างน้อยและต้องได้รับการรับรองจากแฟมิเลียอื่นก่อนที่จะสามารถยื่นสมัครได้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับพวกคนนอกสักเท่าไหร่ และต้องการเพียงแค่สมาชิกที่มีชื่อเสียงในด้านดีเท่านั้น วาห์นประหลาดใจเมื่ออ่านถึงตรงนี้ในขณะที่เขานึกถึงมนุษย์หมาป่าที่ชื่อเบตและเป็นตัวละครที่อยู่ในมังงะ
มิลลี่เริ่มสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีท่าทีเหม่อลอย เธอจึงมองไปตามสายตาของเขา มิลลี่รู้สึกประหลาดใจที่แฟมิเลียที่ดึงดูดความสนใจของวาห์นคือโลกิแฟมิเลีย เธอคิดว่าเขาคงเคยได้ยินชื่อเสียงของแฟมิเลียนี้และต้องการจะลองเข้าร่วมดู น่าเสียดายที่เขายังแข็งแกร่งไม่พอ
“โลกิแฟมิเลียงั้นเหรอ? พวกเขาถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในสามอันดับสูงสุดที่เทียบเท่าได้กับกับเฟรย่าและเฮเฟสตัสแฟมิเลีย
พวกเขามักจะรับแต่เพียงสุดยอดของสุดยอด และแข่งขันกันอย่างต่อเนื่องเพื่อแย่งชิงตำแหน่ง ‘อันดับ 1’ ของแฟมิเลียในเมือง”
วาห์นพยักหน้าหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของเธอเนื่องจากมันคล้ายกับสิ่งที่เขาอ่านในมังงะ เขารู้ว่าโลกิและเฟรย่าต่างแข่งขันกันเรื่องการรับคนมีความสามารถมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เฮเฟสตัสแฟมิเลียนั้นมุ่งเน้นไปที่การสร้างสินค้าที่มีคุณภาพสำหรับนักผจญภัยที่เหมาะสมเพื่อใช้ภายในดันเจี้ยน
วาห์นดูรายชื่อต่อไปและประหลาดใจเนื่องจากเขาไม่เห็นเฮสเทียแฟมิเลียอยู่ในรายชื่อ เขาเกือบจะถามมันออกไปก่อนที่พี่สาวจะพูดแทรกขึ้น
(*วาห์น โปรดจำเอาไว้ว่าเธอเข้าสู่โลกใบนี้ก่อนที่เนื้อเรื่องหลักจะเริ่มขึ้น มีความเป็นไปได้สูงที่เฮสเทียแฟมิเลียยังไม่ได้ถูกก่อตั้งเนื่องจากเธออาจจะยังไม่ได้จุติลงมาบนโลก*)
เขาเกือบลืมเรื่องนั้นไปซะสนิทเลย เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมาไปกับฝึกฝนและล่าสัตว์
“ขอบคุณนะพี่สาว ผมเกือบหลุดข้อมูลที่ไม่ควรจะรู้ออกไปแล้ว พี่ช่วยผมไว้แท้ๆ เลย”)
(*ด้วยความยินดีวาห์น แต่ต้องจำเอาไว้นะว่าการทำอะไรแบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอนาคต เธอไม่ควรพูดข้อมูลอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเธอรู้ว่าจะเกิดขึ้น*)
วาห์นพยักหน้าและส่งรายชื่อคืนให้กับมิลลี่ “ขอบคุณสำหรับรายชื่อนะครับ แต่ผมต้องการพัฒนาตัวให้มากกว่านี้ก่อนจะลองเข้าร่วมแฟมิเลีย ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะขายไอเท็มบางชิ้นให้กับทางกิลด์ด้วย พอจะทำได้ใช่ไหมครับ?”
มิลลี่รับรายชื่อกลับมาและพยักหน้าตอบ “แน่นอนค่ะ วาห์น แม้ว่านั่นจะไม่ได้อยู่ในขั้นตอนทั่วไป แต่เพราะช่วงนี้ของปีจะมีคนมาสมัครเป็นนักผจญภัยไม่มาก ฉันเลยพอมีเวลาหากเธอต้องการขายบางอย่างในตอนนี้ เธอต้องการแลกเปลี่ยนอะไรเหรอ?”
วาห์นวางมือของตนไว้บนโต๊ะและพึมพำบางอย่างเบาๆ ก่อนที่คริสตัลของหัวหน้าเผ่าก็อบลินจะปรากฏขึ้นบนโต๊ะ
ก่อนหน้านี้เขาได้ปรึกษากับพี่สาวแล้ว และลงความเห็นกันว่าเวทคลังเก็บของนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่หายากมากบนโลกใบนี้แต่มันก็มีอยู่จริง เขาจึงปิดบังเรื่องช่องเก็บของโดยการทำทีเป็นร่ายเวทมนตร์ก่อนที่จะวางคริสตัลลงไป
มิลลี่ตกใจมากที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเธอสามารถใช้เวทคลังเก็บของได้! หากข่าวนี้แพร่ออกไป เขาคงไม่จำเป็นต้องสมัครเข้าแฟมิเลียแล้ว เพราะพวกแฟมิเลียจะมาต่อแถวกันเพื่อดึงตัวเขาไปแทน!
เธอมองไปโดยรอบเพื่อดูว่ามีใครกำลังมองอยู่หรือเปล่า ก่อนที่เธอจะเบี่ยงตัวเข้าไปหาวาห์นและกระซิบว่า “เธอควรจะระวังการใช้เวทคลังเก็บของในที่สาธารณะให้มากกว่านี้นะ! ถ้าหากเธอต้องการ เราสามารถจัดการการแลกเปลี่ยนที่บูธส่วนตัวข้างหลังแทนได้”
วาห์นยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ แลกเปลี่ยนกันตรงนี้เลยก็ได้ ไอเท็มชิ้นเดียวที่ผมต้องการแลกเปลี่ยนก็คือคริสตัลอันนี้ แต่ก็ขอขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะครับ ต่อไปผมจะระวังให้มากขึ้น”
มิลลี่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอรู้สึกเขินอายเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังคริสตัลที่เขาวางไว้บนโต๊ะ
“นี่มัน…? เธอได้รับคริสตัลนี้มาจากไหนเหรอ?” มิลลี่ถาม
วาห์นนึกถึงคำแก้ตัวที่เขาเตรียมไว้ เขาอธิบายอย่างเร่งด่วน “ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ปู่ของผมมอบคริสตัลนี้ให้พร้อมกับบอกว่ามันจะช่วยผมเรื่องค่าอาหารและค่าที่พักได้เมื่อผมกลายเป็นนักผจญภัย ผมเองก็ไม่รู้ว่าปู่เก็บมันมาจากที่ไหน”
มิลลี่พยักหน้าหลังฟังจบ เพราะเธอเองก็ไม่เชื่อว่าคนที่มีเลเวลเพียง 1 จะสามารถเก็บคริสตัลคุณภาพสูงแบบนี้ได้เอง เธอสามารถบอกได้ว่า แม้มันจะไม่บริสุทธิ์เท่ากับคริสตัลของมอนสเตอร์ระดับสูง แต่มันต้องมาจากพวกสายพันธุ์พิเศษแน่นอน
“แบบนั้นเองเหรอ ฉันต้องตรวจสอบราคากับผู้เชี่ยวชาญด้านการตีราคาของทางเราซะก่อน เนื่องจากคริสตัลอันนี้มาจากแหล่งที่มาที่เราไม่รู้จัก โปรดรออยู่ตรงนี้สักครู่นะคะ” มิลลี่โค้งคำนับและหยิบคริสตัลเข้าไปในห้องด้านหลัง
หลังจากผ่านไปหลายนาที ขณะที่วาห์นยังคงมองไปที่นักผจญภัยมากมายที่รอบๆ ในที่สุดเธอก็กลับมาพร้อมกับถุงเงินขนาดเล็ก
“ได้รับการประเมินมาแล้วว่าคริสตัลอันนี้มาจากก็อบลินสายพันธุ์ที่มีการวิวัฒนาการ น่าจะเป็นสายพันธุ์ที่รู้จักกันในชื่อหัวหน้าเผ่าก็อบลิน เนื่องจากหัวหน้าเผ่าก็อบลินเป็นสายพันธุ์ที่ชอบก่อกวนและรังควานพื้นที่ชนบทที่อยู่ภายนอกดันเจี้ยน ทางเราจึงได้มีการตกลงกันแล้วว่าเธอจะได้รับค่าหัวของมันพร้อมกับจำนวนเงินที่เธอขายคริสตัลได้ ราคาทั้งหมดหลังจากหักภาษี 30% แล้วคือ 14,000 วาลิส กรุณาตรวจสอบจำนวนเงินทั้งหมดด้วยนะคะ”
วาห์นทำหน้าเหลือเชื่อขณะที่เขานับจำนวนเหรียญที่อยู่ภายในถุง เขาไม่คาดคิดว่าการสังหารก็อบลินด้วยลูกศรเพียงดอกเดียวจะทำให้ได้เงินมากมายขนาดนี้ หลังจากตรวจสอบจำนวนเงินแล้ว เขาก็ขอบคุณมิลลี่อีกครั้งก่อนจะออกจากอาคาร ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นฟาวน่าผู้ทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ กำลังมองตรงมาที่เขาด้วยรอยยิ้มน่ากลัวพร้อมกับโบกมือให้ด้วย วาห์นพยักหน้ารับก่อนจะออกไปด้านนอก
เขานึกถึงบทเรียนแรกในการเอาชีวิตรอดที่เขาได้รับตอนที่มาถึงโลกใบนี้ วาห์นจึงออกเดินทางเพื่อตามหาที่พัก เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารเพราะยังมีช่องเก็บของ แต่มันคงเป็นเรื่องยากที่จะใช้ชีวิตโดยไม่มีหลังคามาคุ้มหัว นอกจากนี้ ความคิดที่จะพักอยู่ในโรงแรมก็เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เขาตั้งตารอ
ขณะที่เขาเดินไปตามถนนที่ตรงเข้าสู่หอคอยขนาดใหญ่ตรงใจกลางเมือง วาห์นไม่รู้เลยว่ามีสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจกำลังมองมาจากสถานที่แห่งหนึ่ง เขาไม่อาจคาดเดาปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญในอนาคตได้เลย
—————