Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 181
พอโลกิเห็นปฏิกิริยาของวาห์นแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา
“ทีโอน่ากับไอส์ไม่ได้อยู่นี่หรอกนะ พวกเธอออกไปแต่เช้าพร้อมกับทีโอเน่และเลฟิย่าเพื่อไปหานาย
แต่ถ้านายมาถึงที่นี่ก็แสดงว่าคงคลาดกันแล้วล่ะ”
น้ำเสียงและท่าทางสงบของเธอทำให้คนแถวนั้นยิ่งช็อคไปกันใหญ่
ท่าทางทุกอย่างของโลกินั้นทำให้วาห์นรู้สึกอึดอัดหน่อยๆ เพราะมันดูไม่สมกับเป็นเทพธิดาที่เคยประจัญหน้าและโต้เถียงกับเขาโดยตรงเลยแม้แต่น้อย
โลกิดู… เชื่อฟังและสงบเสงี่ยมมากเป็นพิเศษ แถมพอวาห์นบอกได้เลยว่าดูเหมือนเธอจะผิดหวังกับท่าทางของเขาเช่นกัน
แต่ไม่ว่าท่าทางของเธอจะเป็นแบบไหนหรือออร่าจะเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ วาห์นก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้นั้นห่างไกลจากคำว่าปกติอยู่มาก
เขาขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียแผ่วเบา
“งั้นหรอกเหรอ… น่าเสียดายจริงๆ”
วาห์นถอนหายใจและเริ่มหันหลังกลับเพื่อหลบเลี่ยงบรรยากาศน่าอึดอัดตรงหน้า
การตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมายขณะต้องมารับมือกับโลกิในสภาพแบบนี้นั้นทำให้เขารู้สึกกังวลและไม่อยากให้มันดำเนินต่อไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว
เขาตัดสินใจว่าจะฆ่าเวลาโดยเดินตามเส้นทางที่พวกสาวๆ น่าจะใช้เพื่อกลับมาที่คฤหาสน์สนธยา ก่อนจะพบกับพวกเธอกลางทางและวางแผนเที่ยวสำหรับวันพรุ่งนี้
ทันทีที่เริ่มเดินออกไป วาห์นก็รู้สึกถึงแรงดึงตรงแขนเสื้อและทำให้อารมณ์ของเขาตึงขึ้นมาอีกหน่อย
พอหันกลับไป เขาก็เห็นโลกิจ้องมองมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“ทำไมไม่อยู่รอที่นี่เลยล่ะ? ฉันจะให้คนไปจัดชามาแล้วเราก็มาคุยกันสักพักจนกว่าพวกสาวๆ จะกลับมาถึง”
วาห์นขมวดคิ้วและเตรียมที่จะดึงแขนเสื้อออกจากมือของเธอ
แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น สีหน้าของโลกิก็ดูเศร้าลงเล็กน้อยและเป็นฝ่ายปล่อยมือเอง
แม้ว่าดวงตาจะหรี่ลงจนดูเหมือนเป็นปกติแล้ว แต่ใบหน้าเธอก็ยังดูหงอยๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยนำเสียงที่เศร้าไม่แพ้กัน
“เราไม่ได้เป็นพันธมิตรกันหรอกเหรอ?”
วาห์นตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“พันธมิตรที่ว่านั่นคือข้อตกลงระหว่างเฮเฟสตัสเฟมิเลียกับโลกิแฟมิเลีย… ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของเรา”
ขณะพูดออกไป วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดตัวเอง
เขาเป็นคนที่เสนอเรื่องพันธมิตรเอง แถมยังเป็นคนช่วยกำหนดเงื่อนไขบางอย่างด้วย
เฮเฟสตัสและโลกิเพิ่งจะทำข้อตกลงร่วมมือกันเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างแฟมิเลียทั้งสองนั่นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
คิ้วของโลกิเริ่มขมวดเมื่อได้ยินคำตอบของเขา ส่วนวาห์นเองก็เห็นว่าออร่าของเธอแปรปรวนขึ้นเล็กน้อย และแม้ว่าจะรู้สึกไม่ดีต่อเธอ แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นแค่การเล่นละคร
พฤติกรรมของโลกิดูแตกต่างจากตัวตนในอดีตของเธอมากเกินกว่าที่วาห์นจะเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นไม่ได้เป็นแผนการบางอย่าง
เนื่องจากวาห์นมีสีหน้าที่อ่านออกง่ายยิ่งกว่าเด็กทารก แค่โลกิมองเข้าไปก็แทบจะอ่านความคิดทุกอย่างของเด็กหนุ่มได้หมดแล้ว
เธอตระหนักว่าท่าทางที่ตนแสดงออกมาในอดีตนั้นได้เข้าไปฝังแน่นอยู่ในจิตใจของวาห์นแล้ว
แม้จะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีและจริงใจ แต่วาห์นดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะให้โอกาสกับเธอเลย
มันทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองทั้งวาห์นและพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอยู่หน่อยๆ เนื่องจากทั้งสองอย่างนี้ได้พาเธอเข้าสู่สถานการณ์ชวนอึดอัดซึ่งแม้แต่พวกเด็กๆ จากแฟมิเลียก็มองราวกับว่าเธอนั้นเสียสติไปแล้ว
แทนที่จะพยายามทำตัวดีต่อไป โลกิจึงเปลี่ยนไปใช้สีหน้าเจ้าเล่ห์แบบเดิมก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดตลก
“นี่เด็กหนุ่มที่เคยชนกับฉันตรงๆ กลายเป็นคนที่กลัวไปหมดตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย
ฉันไม่คิดเลยนะว่านายจะเป็นคนที่ไม่เด็ดขาดและชอบหนีจากความรับผิดชอบของตัวเองแบบนี้
ถึงพันธมิตรนี่จะเป็นข้อตกลงระหว่างฉันกับเฮเฟสตัส แต่คิดเหรอว่านายจะไม่มีเอี่ยวในเรื่องนี้เลย?
นี่ไม่กลัวว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้ฉันเสียหน้าและส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ในอนาคตของเราเลยเหรอ?”
เนื่องจากโลกิไม่ได้พูดเสียงเบาอีกแล้ว คนแถวนั้นจึงเฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยความสนใจและหูผึ่งเต็มที่
แม้ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องพันธมิตรมาบ้างแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากทางกิลด์และทุกอย่างยังอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า ‘ยังไม่แน่ไม่นอน’ ซึ่งอาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงตอนไหนก็ได้
แน่นอนว่าความคิดของคนส่วนใหญ่นั้นยังห่างจากความเป็นจริงอยู่มาก เพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องบทบาทและความสำคัญของวาห์นอย่างแท้จริง
วาห์นสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกิและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจข้างในเมื่อเห็นว่าเธอเปลี่ยนท่าทางได้รวดเร็วขนาดไหน
ตอนแรกเธอแสดงท่าทีใจอ่อนและดูเสียใจกับปฏิกิริยาของเขาอย่างแท้จริง
แต่ในไม่กี่อึดใจต่อมา เธอก็กลับมาใช้ท่าทางตามปกติราวกับว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
อย่างน้อยวาห์นก็ชินกับโลกิที่เป็นแบบนี้มากกว่า เขาจึงตอบกลับไปทันที
“ก็ได้ ฉันจะรอพวกเธออยู่ที่นี่… ไม่อยากให้เธอมากล่าวหาว่าฉันเป็นคนสร้างความขัดแย้งระหว่างแฟมิเลียของเราเท่าไหร่น่ะ”
พอโลกิกลับเข้าสู่โหมดปกติ วาห์นก็ดูมั่นใจมากขึ้นขณะมองเข้าไปในดวงตาของเทพสาวอย่างไม่เกรงกลัว
เมื่อได้ยินคำตอบของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของโลกิก็กว้างกว่าเดิมก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มไปยังห้องที่พวกเขาใช้หารือกันเมื่อครั้งที่แล้ว
ทุกคนเปิดทางให้ทั้งสองเดินเข้าไปโดยไม่ปริปากอะไรแม้แต่คำเดียว
พอพวกเขาหายเข้าไปในทางเดินแล้ว ทุกคนในบริเวณก็เริ่มกระซิบกระซาบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเผ็ดร้อน
หลายคนมองว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับทีโอน่าและไอส์ แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับวิธีวาห์นพูดจาและปฏิบัติกับเทพธิดาของพวกเขาอย่าง ‘หยิ่งยโส’
วาห์นและโลกินั่งลงบนโซฟาคนละฝั่งก่อนจะค่อยๆ จัดท่านั่งที่ตนถนัด
เนื่องจากวาห์นติดนิสัย ‘สุภาพ’ มาตั้งแต่ช่วงชีวิตที่แล้ว เขาจึงมักจะนั่งหลังตรงและสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่บ่ายเบี่ยง
ทว่าโลกินั้นต่างออกไป เธอนั่งแบบตามสบายสุดๆ แม้จะสวมเกาะอกแนบเนื้อและกางเกงรัดรูปขาสั้นขนาดเล็กก็ตาม
เนื่องจากช่วงนี้วาห์นกำลังฝึกเรื่องการควบคุมตัวเอง เขาจึงไม่ปล่อยให้สายตาเร่ร่อนไปทั่วอย่างที่เคยทำในอดีต
โลกิเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้และเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์
“เห~? ไม่อยากดูแล้วเหรอ?”
ขณะพูดเธอก็กางขาออกอีกหน่อย ซึ่งทำให้กางเกงขาสั้นดูรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม
วาห์นยังคงจับจ้องไปที่ดวงตาเธอโดยไม่สนใจท่าทางนั่นแม้แต่น้อย
ไม่นานรอยยิ้มบนใบหน้าของโลกิก็หายไปก่อนจะพูดจาเชือดเฉือน
“เมื่อก่อนนายดูน่าสนใจกว่านี้มากเลยนะ
อะไรกันๆ นี่ร่างกายของฉันดูไม่น่าดึงดูดเลยเหรอ?”
ขณะพูด โลกิก็เอามือไปดันด้านข้างลำตัวเพื่อทำให้หน้าอกดูใหญ่ขึ้นอีกหน่อย
วาห์นขมวดคิ้วเพราะมันยากมากหากจะไม่มองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
“ไม่เกี่ยวกับร่างกายเธอเลย… ถ้าพูดกันตามตรงคงเป็นเรื่องของนิสัยมากกว่า”
คิ้วของโลกิคลายออกทันทีก่อนจะกลับมายิ้มแบบเดิมอีกครั้ง
“นั่นน่ะสินะ? จะว่าเป็นเรื่องของขนาดหน้าอกก็คงไม่ใช่ เพราะนายดูสนิทกับทีโอน่าตั้งขนาดนั้น~”
จากนั้นเธอก็เริ่มหัวเราะแบบเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดต่อ
“แล้วทำไมนายถึงต้องเกรงฉันขนาดนั้นล่ะ วาห์น?
นายก็รู้แล้วนี่ว่าเรื่องมองออร่าน่ะมันเชื่อถือไม่ได้”
วาห์นส่ายหัวและตอบอย่างหนักแน่น
“ถึงฉันจะยังต้องพึ่งเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับออร่าหรือท่าทางของเธอเลย ที่จริงแล้วฉันว่าการทำตัวเปิดเผยแบบเธอก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะ
เรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ไว้ใจก็คือวิธีที่เธอใช้แบ่งคนออกไปตามหมวดหมู่โดยอิงจากคุณค่าของคนๆ นั้น
ถึงจะรู้ว่าเธอใส่ใจเด็กๆ ของตัวเองอย่างแท้จริง แต่เธอก็ยังทำทุกอย่างเพื่อสนองประโยชน์ของตัวเองอยู่ดี”
โลกิเปิดตาขึ้นเล็กน้อยและเริ่มดูจริงจังมากขึ้นก่อนจะพูดตอบข้อกล่าวหาของวาห์น
“ลองบอกชื่อใครสักคนที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองมาหน่อยสิ…”
วาห์นได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูท้าทายสุดๆ และถึงแม้จะไม่ชอบในสิ่งที่เธอพูด แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะนำมันไปไตร่ตรอง
นี่เป็นหนึ่งในปัญหาที่วาห์นเผชิญในอดีต เพราะตระหนักตนเองนั้นเข้าใจโลกกิได้ในระดับหนึ่ง
แม้ว่าตอนนี้จะยังพิจารณาคำพูดของเธอไม่เสร็จ แต่วาห์นก็พอจะตอบมันได้ไม่ยาก
เท่าที่ดขาพอเข้าใจ แม้ว่าผู้คนจะประนีประนอมให้แก่กัน แต่ต่างก็ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
แม้แต่ความปรารถนาที่จะมีความสุขของวาห์นเองก็เช่นกัน เพราะเขามักจะพยายามทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะนำมาซึ่งความสุขอย่างสุดความสามารถ
วาห์นมองเข้าไปในดวงตาของเธอหลังจากลังเลไปชั่วขณะ
“ถึงทุกคนจะทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่การวัดค่าของคนด้วยคุณค่าที่เธอสามารถดึงเอาไปใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองได้มันก็ผิดอยู่ดีนั่นแหละ”
ราวกับรู้อยู่แล้วว่าวาห์นจะตอบทำนองนี้ โลกิจึงรีบสวนกลับทันที
“อย่าย้อนแย้งสิวาห์น ฉันมองออกนะว่าแม้แต่นายเองก็ยังไม่เชื่อคำตอบนั่นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
สิ่งที่ฉันทำนั้นเป็นการรับประกันว่าผู้คนจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงตัวฉันเองด้วย จะสามารถรักษาความสุขที่มีอยู่เอาไว้ได้
ช่วยบอกสักเรื่องที่ฉันทำ ‘ผิด’ แบบจริงๆ หน่อยจะได้ไหม?”
วาห์นขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมก่อนจะตอบกลับ
“เรื่องของไอส์ เธอเปลี่ยนไอส์เป็นอาวุธเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
เธอต้องรู้อยู่แล้วสิว่านับจากนี้ไอส์จะต้องมีชีวิตแบบไหน
แม้ว่าสุดท้ายแล้วไอส์จะปราบมังกรดำตาเดียวลงได้ แล้วต่อจากนั้นล่ะ?”
เมื่อนึกถึงภาพที่เห็นจาก ‘ความปราถนาของหัวใจ’ ของไอส์ วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษโลกิที่บังคับให้ไอส์มีชีวิตแบบนี้
โลกิหัวเราะอย่างเย้ยหยันก่อนจะส่งสายตาราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นกำลังพูดจาเพ้อเจ้อ
“ไร้สาระ ฉันไม่ได้เปลี่ยนให้เธอกลายเป็นอาวุธ แต่แค่ช่วยไอส์เสาะหาพลังที่เธอต้องการเท่านั้นเอง
ถึงบางครั้งฉันจะผลักดันเธออย่างหนักแต่นั่นก็เพื่อให้เธอสามารถบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้
ไม่มีสักครั้งเลยนะที่ฉันจงใจทำร้ายเธอ
ฉันให้ทั้งสถานที่ปลอดภัย มิตรสหายที่แข็งแกร่ง และทรัพยากรทุกอย่างตามที่ไอส์ต้องการเพื่อให้เธอเดินต่อไปตามเส้นทางที่เธอ ‘เลือกเอง’ อย่างไม่ติดขัด”
ตอนนี้ดูเหมือนโลกิจะรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของวาห์นอย่างจริงจังแล้ว
ก่อนที่เขาจะคิดอะไรออกเพื่อมาลบล้างคำพูดของเธอ โลกิก็พูดต่อไปอีก
“แล้วเรื่องที่นายถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอหลังปราบมังกรลงได้นั่นน่ะ
นี่คิดเหรอว่าพวกเพื่อนๆ พันธมิตร และสมาชิกในแฟมิเลียของไอส์นั้นเป็นแค่ภาพลวงตาและจะสลายหายไปหลังงานจบ?
แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนายล่ะ?
ได้คิดบ้างไหมว่าถ้าฉันเป็นปีศาจแบบที่นายบอกจริงๆ แล้วทำไมฉันถึงยอมให้นายมาจุ้นจ้านในแผนของตัวเองด้วย?”
วาห์นสวนกลับทันที
“เพราะเธออยากใช้ฉันเป็นหมาก-”
โลกิตะคอกกลับแบบสุดเสียง
“ไร้สาระที่สุด!!
ก็ใช่ ฉันอยากให้นายมาเข้าร่วมแฟมิเลียด้วย แต่นั่นก็เป็นเพราะว่านายแข็งแกร่งและมีศักยภาพที่เยอะจนน่าตลก!
แล้วทำไมฉันถึงจะไม่อยากให้นายมาอยู่ในแฟมิเลียเล่า!?
ยิ่งนายมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกคนหลักๆ ของฉันด้วยมันก็ยิ่งดูเหมาะเข้าไปใหญ่เลยนี่!”
ตอนนี้โลกิถึงจุดที่ต้องยืนเอาแขนเท้าโต๊ะและตะโกนใส่วาห์นจนน้ำลายกระเด็นโดนหน้าของเด็กหนุ่มไปเล็กน้อย
เมื่อเขาเอื้อมมือไปเช็ดมันออก โลกิก็นั่งลงและพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“นายทำตัวมีปัญหากับฉันตั้งแต่วินาทีแรกที่เราได้กันเลย และถึงจะรู้เรื่องที่อ่านออร่าของฉันไม่ได้ไปแล้ว นายก็ยังทำตัวเหมือนเดิม
บอกหน่อยสิ… ว่าฉันไปทำอะไรให้นายกันแน่?”
วาห์นพิจารณาคำพูดของเธออยู่หลายนาทีขณะพยายามคิดคำพูดที่เหมาะสม
โลกินั่งกอดอกพร้อมใบหน้าบึ้งตึงขณะรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดวาห์นก็พูดออกมาแบบเรียบๆ
“ฉันรู้สึกเหมือนกับทุกอย่างที่เธอทำคือการแสดง มันเหมือนกับว่าเธอกำลังวางแผนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
แม้กระทั่งในตอนนี้ ฉันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเธอกำลังพยายามเข้ามาบงการเพียงเพราะว่าฉันไม่สามารถโต้แย้งจากคำพูดของเธอได้เลย”
ในขณะที่พูดออกมา วาห์นก็สังเกตเห็นว่าออร่าที่ดูวุ่นวายอยู่ตลอดของโลกินั้นกระตุกอย่างรุนแรงแม้ว่าสีหน้าเธอจะไม่เปลี่ยนไปเลยก็ตาม
ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่เขาก็รู้ว่าที่ตนพูดไปเมื่อกี้คงจะไปกระทบเรื่องอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง
โลกิที่กำลังนั่งไขว่ห้างและกอดอกอยู่นั้นนิ่งเงียบไปเกือบนาทีก่อนที่เธอจะก้มหัวลงเล็กน้อย
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เธอก็ถามขึ้น
“งั้น… สิ่งที่นายเกลียดก็คือตัวตนของฉันงั้นเหรอ?”
วาห์นรู้สึกสับสนกับคำถามของเธอและอยากจะปฏิเสธ แต่เธอก็พูดต่อไปอีก
“ตอนนี้นายกำลังมีความสัมพันธ์กับเทพธิดาถึงสององค์ (เฮเฟสตัส&อนูบิส) แถมยังได้หมั้นกับหนึ่งในนั้นด้วย
แต่ดูเหมือนว่านายจะยังไม่เข้าใจว่าพวกเราน่ะ… บอกหน่อยสิวาห์น ว่านายรู้อะไรเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์บ้าง?”
วาห์นพิจารณาคำพูดของโลกิก่อนจะเริ่มอธิบายสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ
“…พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นเปรียบได้กับพลังของทวยเทพซึ่งทำให้พวกเขาทำในสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้”
โลกิพยักหน้าก่อนจะพูดเสริม
“นั่นก็ถูก แต่พลังอำนาจแท้จริงที่เทพสามารถใช้ได้ตามแต่รูปแบบพลังศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละคนนั้นจะมีชื่อว่า ‘อาร์คานั่ม’
ส่วนตัวพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพนั้นเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ที่จริงนายก็น่าจะเข้าใจอิทธิพลของมันมาบ้างแล้วนะ”
โลกิหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ
“นายรู้ไหมว่าทำไมเฮเฟสตัสถึงถึงต้องสร้างไอเท็ม?”
วาห์นสับสนหน่อยๆ แต่เขาก็ตอบไปตามความเข้าใจ
“…เพราะว่าเธอคือเทพธิดาแห่งการหลอมสร้าง”
โลกิพยักหน้าและถามอีกครั้ง
“แต่ถ้าเธออยากทำอย่างอื่นแทนล่ะ?”
คำถามนี้ทำให้วาห์นนึกถึงภาพจากความปรารถนาของหัวใจของเฮเฟสตัส
ในโลกที่เวลาถูกหยุดเอาไว้ เฮเฟสตัสนั้นถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์มากมายนับไม่ถ้วนซึ่งไม่ว่าจะสร้างมันขึ้นมากี่ชิ้นๆ เธอก็ไม่เคยมีความสุขเลย
วาห์นรู้สึกแปลกๆ ก่อนที่ตอบจะเริ่มแล่นเข้ามาในหัว
“เธอหยุดสร้างไม่ได้…”
วาห์นสังเกตเห็นว่าออร่าของโลกิเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ก่อนที่สีหน้าของเธอจะดูเศร้าลงและเอ่ยปากอธิบายต่อ
“นั่นแหละ… คือผลของพลังศักดิ์สิทธิ์…
พวกเราเหล่าทวยเทพนั้นถูกผูกมัดเข้ากับพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง
เราถูกบังคับให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติและหลักการที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเรากำหนดเอาไว้
หากไม่ทำแบบนั้น… ตัวตนของเราก็จะสลายหายไป… ตลอดกาล”