Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 182
วาห์นเริ่มเข้าใจสิ่งที่โลกิพยายามจะสื่อแล้ว
เขายังเข้าใจด้วยว่าทำไมเธอถึงดูจงเกลียดจงชังคำตอบของเขามาก
ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง (ซึ่งวาห์นรู้ว่าคงจะจริงแท้แน่นอน) นั่นก็หมายความว่าเธอไม่สามารถควบคุมบุคลิกและท่าทางของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
เพราะมีชีวิตอยู่มานานหลายล้านปีแล้ว แม้ว่าเธอต้องการที่จะ ‘ต่อต้าน’ พลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง แต่สุดท้ายเรื่องที่ฝืนไม่ได้… ก็คือเรื่องที่ฝืนไม่ได้อยู่วันยังค่ำ
เนื่องจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอนั้นเกี่ยวข้องกับกลอุบายและการวางแผน โลกิจึงต้องทำ… แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม
ทันทีที่เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง เธอก็จะค่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ ก่อนจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
โลกิเห็นว่าวาห์นดูจะเข้าใจสิ่งที่ตนพยายามสื่อแล้ว เธอจึงพูดต่อ
“เทพทุกคนก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่
พวกเทพแห่งการผลิตนั้นจะต้องสร้างไอเท็มที่เกี่ยวข้องกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง ขณะที่เทพแห่งผู้คนก็จะต้องพยายามรับใช้ผู้คนอยู่เรื่อยไป
ส่วนที่เลวร้ายที่สุด และอาจโชคร้ายที่สุดด้วยก็คือเทพที่เกี่ยวข้องกับความรัก ความงาม และการรับใช้
มีเทพและเทพธิดามากมายนับไม่ถ้วนที่ต้องตกเป็นทาสในซ่องหรือธุรกิจการค้าประเวณี เพียงเพราะว่าพวกเขาไม่อาจฝืนพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองได้
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด บางคนนั้นถึงขั้นที่ไม่อาจปฏิเสธคนที่อยากมีอะไรด้วยได้ แม้ว่าคนๆ นั้นจะน่าขยะแขยงหรือต่ำช้าแค่ไหนก็ตาม”
วาห์นรู้สึกได้ว่าจิตใจของตัวเองกำลังถูกคลื่นถาโถมอย่างหนักขณะพิจารณาคำพูดของเทพสาวอย่างจริงจัง
เรื่องนี้ทำให้เขาพอเข้าใจว่าทำไมเทพหลายๆ องค์ เช่นเทพโซม่าถึงมีแฟมิเลียที่หละหลวมแบบนั้น
เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจมากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือการสร้างของมึนเมา…
มันทำให้วาห์นรู้สึกเห็นอกเห็นใจเทพอย่างเฟรย่า แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสิ่งที่เธอทำในมังงะเลยก็ตาม
โลกิยังคงมีสีหน้าเศร้าๆ ขณะพูดต่อไป
“ถึงแม้ว่าเทพอาจมีพลังและอำนาจมากมาย โดยเฉพาะตอนที่อยู่แดนสวรรค์ แต่เราก็เลือกที่จะจุติลงมาบนโลกมนุษย์แทนการครอบครองพลังเหล่านั้น
…วาห์น นายรู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
วาห์นขมวดคิ้วและส่ายหน้า โลกิจึงอธิบายต่อ
“นั่นเป็นเพราะว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเราจะอ่อนแอลงเล็กน้อยเมื่อมาอยู่บนโลกมนุษย์ไงล่ะ
สวรรค์น่ะน่าเบื่อจะตาย แถมเรายังไม่สามารถทำอะไรที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
เราจุติลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ และพยายามใช้ชีวิตที่มีอิสระมากกว่าเดิม
แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ตราบใดที่ยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในดวงวิญญาณ เราก็จะไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมนี้ไปได้…”
ยิ่งโลกิอธิบายออกมามากเท่าไหร่ วาห์นยิ่งรู้สึกแย่ลงกับเรื่องที่ผ่านๆ มามากขึ้น
แม้จะต้องไปยืนยันเรื่องนี้กับเฮเฟสตัส แต่เขาก็เข้าใจด้วยสัญชาตญาณว่าโลกิกำลังพูดความจริง
ไม่มีทางที่เฮเฟสตัสจะสร้างไอเท็มต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ถูกบังคับ เพราะพวกมันทำให้เธอเจ็บปวดอย่างมากในอดีต
เหตุผลเดียวที่ยังทำแบบนั้นอยู่ก็เพราะว่าเธอหยุดไม่ได้
เธอต้องผลักดันตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะเติมเต็มข้อกำหนดในดวงวิญญาณของเธอได้
เมื่อมองดูสีหน้าเศร้าๆ บนใบหน้าของโลกิ ทันใดนั้นวาห์นก็รู้สึก… สงสาร
แม้จะเป็นหนึ่งในเทพธิดาที่ทรงพลังและทรงอิทธิพลที่สุดบนโลกมนุษย์ แต่เธอก็ยังต้องใช้ชีวิตไปกับการวางแผนและใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อเติมเต็มพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง
ไม่ว่าจะเอาใจใส่แฟมิเลียแค่ไหน และพยายามใช้ชีวิตอย่างอิสระไปมากเท่าไหร่ เธอก็ยังต้องพยายามเอาเปรียบและหลอกใช้คนอื่นต่อไปเรื่อยๆ
มันเป็นการดำรงอยู่ต่อไปที่น่าสงสารจริงๆ…
โลกิเห็นวิธีที่เด็กหนุ่มมองมาจนต้องยิ้มให้เขาอย่างซุกซนก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ต้องมาสงสารฉันหรอกน่า
ถึงจะถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองผูกมัดเอาไว้ แต่ฉันก็มีชีวิตที่ดีกว่าเทพส่วนใหญ่มาก
โชคยังดีนะ ที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันยังรับประกันว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จทั้งตอนอยู่บนสวรรค์และบนโลกมนุษย์
ถ้าจะรู้สึกสงสารล่ะก็… ไปสงสารพวกเทพที่ต้องรับใช้ผู้คนจะดีกว่า
ฉันเชื่อว่ายัยเทพสุนัขนั่นก็เป็นหนึ่งในนั้นล่ะ”
พอเธอพูดถึงอนูบิส วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเทพธิดาอันงดงามแห่งเผ่าเชียนโธรป
ก่อนจะมาที่โอราริโอ้ เธอได้ใช้เวลากว่า 300 ปีบนโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ จากเผ่าทางใต้
วาห์นรู้มาว่าเธอดูแลทั้งแฟมิเลียที่เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเรื่องการจัดพิธีศพด้วย เนื่องจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอนั้นเกี่ยวข้องกับความตายและการดูแลผู้คน
อนูบิสเต็มใจที่จะมาเป็น ‘ข้ารับใช้’ แค่เพราะว่าเธอ ‘เกือบ’ ทำร้ายเขาจากความเข้าใจผิด
นับตั้งแต่นั้นมา ทุกสิ่งที่เธอทำก็ดูเหมือนจะเป็นการพยายามเอาใจเขา แม้กระทั่งตอนที่เธอรุกหนักขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในห้องอาบน้ำ… (TL: เหตุการณ์อสูรตื่นครั้งแรก)
วาห์นถอนหายใจอย่างหมดแรงและรู้สึกท้อแท้มากขณะจ้องมองเทพธิดาที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ไม่มีทางเลยที่เขาจะเกลียดโลกิหลังรู้ว่าการกระทำของเธอนั้นถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ผูกมัดเอาไว้
แม้จะไม่พอใจการกระทำของเธอและพยายามหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ต่างๆ เพราะรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่นับจากนี้เขาก็คงต้องเลิกมีอคติกับเธอได้แล้ว
ราวกับว่าเธออ่านความคิดของวาห์นออก โลกิเผยรอยยิ้มแบบ ‘จริงใจ’ ที่สุดก่อนจะพูดต่อ
“อย่างน้อยนายก็เข้าใจได้เร็วแหละนะ
ถึงนายจะยังเชื่อใจฉันไม่ได้ ขอให้รู้ไว้ว่าฉันจะไม่มีทางทำอะไรที่เอาตัวเองหรือแฟมิเลียไปเสี่ยงเด็ดขาด
อย่างน้อยเรื่องนี้ฉันยังพอรับประกันได้… เพราะใครมันจะอยากไปลำบากแบบนั้นล่ะ จริงไหม?”
วาห์นพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเชิงขอโทษและพูดขึ้น
“ขอโทษนะโลกิ ที่ฉันคิดไม่รอบคอบแล้วก็มีอคติกับเธอมาตลอด
และถึงจะยังรู้สึกว่าต้องระวังเธอไว้บ้าง แต่อย่างน้อยฉันก็จะพยายามเข้าใจและเชื่อใจเธอให้มากขึ้น”
แม้จะต้องยืนยันเรื่องต่างๆ กับเฮเฟสตัสและอนูบิส แต่วาห์นก็รู้สึกว่าเขาต้องขอโทษโลกิเดี๋ยวนั้นเลย
โลกิพยักหน้าและยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะกางขาออกเล็กน้อยและวางมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าท้องของตัวเอง
วาห์นสับสนกับการกระทำนั่นจนกระทั่งเทพสาวเริ่มพูดจาหยอกล้อ
“ฉันจะพิจารณายกโทษให้… ถ้านายเสกเด็กเข้ามาในท้องของฉันได้~”
ดวงตาของวาห์นเบิกกว้างเท่าไข่ห่านในขณะที่เทพสาวหัวเราะอย่างสนุกสนานให้กับปฏิกิริยานั่น
เธอขยับมือออกจากหน้าท้องและใช้นิ้วโป้งเกี่ยวขอบกางเกงเล่นขณะที่วาห์นหันหน้าหนีไปอีกทาง
หลังจากที่เขาสงบสติลงแล้ว วาห์นก็ถามด้วยเสียงเซ็งๆ
“เธอ… รู้เรื่อง [เอ็นคิดู] แล้วใช่ไหม?”
โลกิหัวเราะก่อนจะลืมตาขึ้นเล็กน้อยขณะจ้องไปที่วาห์นด้วยสายตานักล่า
“แน่นอน~! หลังจากจบงาน เฮเฟสตัสกับเอน่าก็บอกฉันหมดเปลือกเลย
เพราะรู้ว่าเรื่องนี้คงเก็บเป็นความลับได้ไม่นาน พวกเธอก็เลยเปิดไพ่ใบนี้เพื่อกันไม่ให้ฉันเล่นแผลงๆ กับนายในอนาคต”
คิ้วของวาห์นเลิกขึ้นเล็กน้อยในขณะมองเทพสาวอย่างสงสัย
“นี่คงไม่ได้กำลังคิดแผนอะไรอยู่ใช่ไหม?”
โลกิส่ายหัว
“เปล่าเล้ย ฉันแค่แหย่นายเล่นเฉยๆ
ทำไมล่ะ นี่คิดจะเสกเด็กเข้าท้องฉันจริงๆ ใช่ไหม~?”
จากนั้นเธอก็หัวเราะคิกคักให้กับวาห์นที่ไม่อาจตอบคำถามข้อนั้นได้
โลกิเริ่มอธิบายต่อหลังจากหัวเราะไปพักใหญ่ๆ
“ฉันกล่าวคำสาบานไปแล้ว ดังนั้นถ้าฉันวางแผนที่จะทำอะไรนาย หรือพยายามกดดันนาย… นายก็น่าจะรู้นะว่าผลสะท้อนกลับมันจะรุนแรงขนาดไหน
เฮเฟสตัสวางเงื่อนไขไว้ละเอียดยิบเลยล่ะ น่าจะเป็นเพราะแม่สาวเอลฟ์นั่นด้วยล่ะมั้ง~~?”
เมื่อนึกถึงสองสาวที่เขาไว้วางใจ วาห์นก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเธอต้องพยายามมากแค่ไหนเพื่อปกป้องเขา
ท่าทางของโลกินั้นพอจะบอกใบ้อะไรได้หลายอย่าง แต่เธอคงจะพูดออกมาตรงๆ ไม่ได้เพราะมันจะเป็นการชักนำการตัดสินของเขาแบบทางอ้อมแทน
สิ่งที่แปลกก็คือวาห์นรู้สึกเหมือนยังถูกเธอกดดันอยู่ แม้ว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้เลย (TL: ดูเหมือนจะขัดกับคำสาบาน)
อีกครั้งที่โลกิอ่านสีหน้าของเด็กหนุ่มออก เธอจึงอธิบายให้ฟังแบบยิ้มๆ
“ถึงนายจะรู้สึก ‘ถูกกดดัน’ แต่ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไปกดดันนายโดยตรงนี่นะ~?
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็… เช่นการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับไอส์หรือไม่ก็ทีโอน่าเพื่อบังคับให้นายตัดสินใจ
ทั้งหมดที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ก็คือแกล้งนายเล่น และบอกความต้องการของฉันเท่านั้นเอง
ฉันอยากมีลูกจริงๆ นะ ดังนั้นถ้านายมีอารมณ์เมื่อไหร่… ก็ส่งข่าวมาบอกด้วยละกัน เดี๋ยวจะรีบแจ้นไปหาเลย~!
นี่ฉันยังอุตส่าห์ไปตัดความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ออกหมดเพื่อให้นายรู้สึกพอใจเชียวนะ รู้สึกขอบคุณซะบ้างเถอะ~!”
วาห์นขมวดคิ้วให้กับคำอธิบายของเธอและถามกลับ
“ไอ้ที่บอกว่าตัดความสัมพันธ์กับคนอื่นนี่มันหมายความว่าไงนะ?”
รอยยิ้มของโลกิกว้างขึ้นมาอีกนิดก่อนจะลืมตาและเผยให้เห็นความ ‘อ่อนโยน’ เหมือนกับตอนอยู่ที่แผนกต้อนรับอีกครั้ง
เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฉันรู้ว่าถ้ายังคบคนไปทั่วแบบเดิมๆ ก็คงต้องบอกลาเรื่องที่จะมีลูกไปได้เลย เพราะนายคงไม่ยอมแน่ๆ
นายอาจยังไม่เข้าใจน้ำหนักของเรื่องนี้ดีเท่าไหร่นะ แต่ขอบอกไว้เลยว่าฉันยอมสละแทบทุกอย่างเพื่อที่จะได้มีเด็กมาอยู่ในท้อง
แม้จะต้องละทิ้งความสัมพันธ์ทุกอย่างไปตลอดช่วงชีวิตของนาย ฉันก็คิดว่ามันยังเป็นการเสียสละที่น้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้รับมา
นายเตรียมรับมือพวกเทพธิดาที่คิดแบบเดียวกับฉันให้ดีเถอะ
โซ่นั่น… ถึงนายจะไม่ต้องเป็นคนทำเรื่องอย่างว่าด้วยตัวเอง แต่เอ็นคิดูก็นับเป็นสิ่งที่เทพธิดาหลายคนเสาะหามานานหลายล้านปีแล้ว”
แม้โลกิจะไม่ได้กล่าวเตือน วาห์นก็ตระหนักดีถึงความวุ่นวายจากตัวตนของ [เอ็นคิดู] เมื่อทุกฝ่ายรู้เรื่องนี้เข้า
ทันทีที่เขาทำให้เฮเฟสตัสตั้งครรภ์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้ต้องไปถึงหูเหล่าเทพองค์อื่นๆ แน่นอน
พอพวกเทพรู้เรื่องนี้ ไม่นานคนทั่วไปก็จะรู้เช่นกันและปัญหาที่ตามมาในอนาคตนั้นคงจะมีมากจนคามแก้เท่าไหร่ก็ไม่ทัน
หากไม่มีทั้งพลังและเส้นสาย วาห์นอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อต้องรับมือกับเทพ เทพธิดาและเหล่ามนุษย์อีกเป็นขโยงที่พยายามเข้าหาเขา
อย่างไรก็ตาม วาห์นไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องถูกต้องที่โลกิจะตัด ‘ความสัมพันธ์’ ของเธอทิ้งเพียงเพราะว่าตัวเองอยากจะมีลูก
จากมุมมองของเขา ไม่จำเป็นเลยที่วาห์นจะต้องเป็นคนทำเรื่องอย่างว่าด้วยตัวเอง
“…ถ้าเธออยากมีลูก มันไม่จำเป็นต้องเป็นลูกของฉันก็ได้นี่
ฉันแค่ต้องใช้ [เอ็นคิดู] แล้วเธอจะไปทำอะไรกับใครต่อมันก็เป็นสิทธิ์ของเธออยู่แล้ว”
ดวงตาของโลกิเปิดอออกจนเกือบจะเท่ากับตาของคนปกติ ขณะมองไปทางวาห์นด้วยสีหน้าจริงจัง
เธอยังคงจ้องเขาต่อไปอีกเกือบนาทีก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันไม่ได้จะขอให้นายทำอะไรตอนนี้นะ แต่แค่อยากลองทดสอบผลของ [เอ็นคิดู] ดูหน่อย ได้หรือเปล่า?”
วาห์นขมวดคิ้วขณะไตร่ตรองคำพูดของเธอ แต่ก่อนจะตัดสินใจได้ โลกิก็พูดเสริมขึ้น
“ถ้าฉันถูก [เอ็นคิดู] ผนึกและถูกจำกัดพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ นายคงจะเชื่อคำพูดของฉันมากขึ้น ถูกต้องไหม?”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและได้ฟังเหตุผลของเธอ วาห์นก็ยอมตามและเริ่มปล่อย [เอ็นคิดู] ออกมาจากฝ่ามือ
ช่วงที่ห่วงโซ่ทองคำปรากฏออกมานั้น โลกิก็มองดูมันด้วยสายตาเร่าร้อนและรู้สึกอัศจรรย์ไปกับสิ่งที่มันสามารถทำได้
ก่อนจะได้ถามอะไรต่อ วาห์นก็ขยายพลังเขตแดนออกไปและ ‘สั่ง’ ให้เอ็นคิดูผนึกโลกิเอาไว้โดยไม่ทำให้เธอบาดเจ็บ
ทันทีที่สั่งมันเสร็จ โซ่ก็ดูราวกับมีชีวิตและเริ่มหลั่งไหลออกมาจากฝ่ามือด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่
แม้โลกิจะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทีต่อต้านขณะที่มันเข้ามาพันรอบแขน ขา และลำตัวของเธอ
ช่วงเวลาที่เธอถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา โลกิตระหนักว่าตอนนี้เธอไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยและเอาแต่หัวเราะให้กับสภาพของตัวเอง
“นี่มันออกจะดูเกินไปหน่อยหรือเปล่านะ?”
ตอนนี้เธอเกือบจะเป็นดักแด้สีทองที่นั่งอยู่บนโซฟาไปแล้ว ขณะมองไปที่วาห์นด้วยสีหน้าทึ่งๆ
วาห์นเองก็คิดแบบเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงสั่งให้มันคลายออกเพื่อให้เธอขยับตัวได้บ้าง
หลังจากนั้นห่วงโซ่ก็สร้างช่องว่างมากพอที่จะให้โลกิขยับแขนขาได้อีกครั้ง ก่อนที่มันจะหยุดเคลื่อนไหวไปมาและห้อยลงไปที่พื้น
เทพสาวจับโซ่ไปมาและตรวจสอบมันเล็กน้อยก่อนจะพยายามกระจายพลังเขตแดนของตัวเองเพื่อเป็นการทดสอบ
ตั้งแต่วินาทีที่โลกิถูกห่อหุ้มไปด้วยห่วงโซ่ เธอก็รู้สึก ‘เป็นอิสระ’ แม้จะถูกมันมัดอยู่ก็ตาม (TL: อนูบิสคงนึกในใจ ‘นี่มันแย่งซีนกันนี่หว่า’)
ตอนนี้จิตใจของโลกิรู้สึกแจ่มชัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ จนต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้า
จากมุมมองของวาห์นนั้น ช่วงที่เขาใช้ [เอ็นคิดู] กับโลกิ ออร่าที่วุ่นวายของเธอก็เริ่มสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์ และตอนนี้มันก็มีสีชมพูปนกับสีเหลืองหน่อยๆ
วาห์นเข้าใจดีว่านั่นเป็นการบ่งบอกว่าเธอรู้สึกชื่นชอบเขาจริงๆ และไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝง
ค่าความชื่นชอบและความสนใจที่เต็มร้อยไปแล้วนั้นเป็นอีกอย่างที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ดี แม้มันจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างก็ตาม
โลกิมองเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มและสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่เธอถูกผนึกเอาไว้
“เป็นไง เห็นอะไรบ้างไหม?” เทพสาวถามขึ้นแบบยิ้มๆ
แม้จะค่อนข้างลังเล แต่วาห์นก็พยักหน้าขณะสบตากับโลกิ ‘ที่ไร้ซึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์’
เธอดูสงบเสงี่ยมกว่าปกติมากและจ้องเขากลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ผ่านไปครู่หนึ่งภายใต้ความเงียบ โลกิก็พยักหน้าราวกับตระหนักถึงอะไรบางอย่างและพูดต่อ
“ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์จะถูกผนึกเอาไว้ ฉันก็ยังรู้สึกว่าการตัดสินใจของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ความคิดกับการกระทำก่อนหน้านี้ของฉันได้รับอิทธิพลจากพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอดเวลา และตอนนี้พอได้เป็นอิสระแล้ว ฉันก็ยิ่งมั่นใจกับตัวเลือกนี้มากขึ้น
โซ่ของนายคือตัวแทนของอนาคตที่ฉันไม่เคยอาจเอื้อมมาก่อน ดังนั้นเพื่อที่จะน้อมรับมันอย่างสมบูรณ์ ฉันก็อยากจะอุทิศให้กับเรื่องนี้อย่างเต็มที่
แม้อาจจะเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเมื่อเทียบกับเวลาอันเป็นนิรันดร์ของเทพ แต่ฉันก็ไม่อยากมาเสียใจทีหลัง
ในฐานะคนที่หยิบยื่นโอกาสนี้ให้ แน่นอนว่าฉันต้องอยากมีลูกกับนายอยู่แล้ว
แม้ว่าเรื่องความเป็นเทพของนายอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจครั้งนี้ แต่มันแปลกด้วยเหรอที่คนเป็นแม่เองก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก?”
ตลอดเวลาที่เธอพูด วาห์นก็เอาแต่นิ่งเงียบขณะจ้องมองสีหน้าโหยหาของหญิงสาวตรงหน้า
ใช่แล้ว… แม้ว่าเธอจะยังเป็นเทพธิดาอยู่ แต่เมื่อผูกเข้ากับ [เอ็นคิดู] ตอนนี้เธอก็เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
ความปรารถนาที่จะมีลูกของโลกินั้นนับเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้มาก่อน
การที่เธออยากให้ลูกมีศักยภาพมากที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หากพิจารณาจากมุมมองของผู้เป็นพ่อแม่
วาห์นเชื่อว่าเขาจะปฏิบัติต่อพวกลูกๆ อย่างเท่าเทียมกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จ ศักยภาพ และความสามารถของพวกเด็กๆ ย่อมทำให้วาห์นรู้สึกภาคภูมิใจแน่นอน
หลังจากพิจารณาอยู่เงียบๆ ไปหลายนาที วาห์นก็ถอนหายก่อนจะจ้องมองโลกิด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์
เมื่อเห็นแววตาของเธอ วาห์นก็ตระหนักว่าตนมักจะแพ้ทางให้กับผู้หญิงที่มีอารมณ์แปรปรวนและอยากจะใช้เขาเป็นที่พึ่งอยู่เสมอเลย
เขารู้ว่าเธอจริงจังกับเรื่องการตัดความสัมพันธ์อื่นๆ เพื่อทำให้เขาพอใจอย่างมาก และคงจะยิ่งจริงจังกับเรื่องนี้มากกว่าเดิมหากมีพลังศักดิ์สิทธิ์เข้ามาช่วยประเมิณข้อดีข้อเสียด้วย
เธออาจไม่มีวันยอมแพ้กับเรื่องที่จะมีลูกกับเขา และด้วยอิทธิพลจากพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่นานเธอก็คงหาช่องโหว่ในคำสาบานจนเจอ วางแผนล่อลวงเขา และสุดท้ายก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่ดี
วาห์นเห็นว่าเธอกำลังจะพูดบางอย่าง เขาจึงยกมือขึ้นเพื่อขัดจังหวะและเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหน็ดเหนื่อย
“จนกว่าจะมีลูกกับเฮเฟสตัสและแข็งแรงพอที่จะทำให้ทีโอน่าท้องและรับประกันความปลอดภัยของเธอได้ ฉันจะยังไม่ไปมีลูกกับคนอื่น… แต่ฉันสัญญาว่าสักวันจะทำตามที่เธอต้องการแน่นอน
ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นเมื่อไหร่ แถมเรายังต้องมาคุยเรื่องความประพฤติของเธออีก แต่ฉันจะรักษาสัญญาตราบใดที่เธอยอมให้ฉันเป็นคนตัดสินใจเรื่องวิธีเลี้ยงดูลูก”
โลกิแสดงรอยยิ้มที่จริงแท้ที่สุดเท่าที่วาห์นเคยเห็นก่อนจะตอบด้วยความตื่นเต้นสุดๆ
“ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว~!
ไม่คิดเลยแฮะ ว่าตัวเองจะได้คุยและตกลงเรื่องอะไรแบบนี้ก่อนหน้าเฮเฟสตัส”
จากนั้นเธอก็หัวเราะออกมาดังๆ เป็นเวลาหลายวินาทีก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องคำสาบานที่ทำกับเฮเฟสตัสอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกของเขากับโลกินั้นได้ถูกจัดแจงไว้ก่อนที่การสนทนาครั้งนี้จะเริ่มขึ้นเสียอีก วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณและตระหนกกับประสิทธิภาพและความพร้อมเพรียงของภรรยาทั้งสอง
หลังจากดึง [เอ็นคิดู] กลับเข้าไปในดวงวิญญาณ โลกิก็กลับมามีท่าทางแบบเดิมก่อนจะเหยียบลงบนโต๊ะและข้ามลงมานั่งที่ตักของวาห์น
แม้จะยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ แต่วาห์นก็รับโลกิไว้ในอ้อมแขนเพื่อกันไม่ให้เธอลงไปกระแทกอย่างแรงบนตักของเขา
โลกินำแขนมาโอบรอบคอขณะที่วาห์นอุ้มเธอแบบเจ้าหญิง
เทพสาวหัวเราะร่าก่อนจะเริ่มยุแหย่วาห์นอีกครั้ง
“กว่าพวกสาวๆ จะกลับมาถึงก็คงอีกสักพัก… อยากลองฝึกเสกลูกเข้าท้องดูหน่อยไหม?”
วาห์นมองกลับแบบแปลกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและยกร่างของเธอขึ้น
ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกคาดหวังหน่อยๆ ขณะจ้องเข้าไปที่ใบหน้าของเขาด้วยรอยยิ้ม
วาห์นสบตาพร้อมกับยิ้มตอบ ก่อนจะหันไปทางโซฟาที่เขาเคยนั่ง… และทิ้งโลกิลงไปในแบบไม่ค่อยทะนุถนอมเท่าไหร่
เธอหันมาหาด้วยสีหน้าเจ็บปวดขณะลูบบั้นท้ายของตนไปพลาง
“เฮ้ ทำแบบนี้กับแม่ของลูกในอนาคตได้ยังไงกัน~!”
วาห์นหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ฉันว่าก่อนจะมีลูก เธอต้องทำตัวได้ดีกว่านี้อีกหน่อยนะ
เช่นพวกเสื้อผ้าที่ใส่อยู่นี่… ‘แม่’ ที่ไหนเขาใส่กันแบบนี้ล่ะ
จริงๆ จะเล่นสนุกกันหน่อยฉันก็ไม่รังเกียจหรอก แต่ต้องหลังจากจัดการเรื่องเฮเฟสตัสให้เสร็จเรียบร้อย
ลองคิดดูสิว่าเฮเฟสตัสจะเศร้าแค่ไหนถ้ารู้ว่าฉันมีอะไรกับเธอ ในขณะที่ยังสร้างไอเท็มให้เธอไม่เสร็จ… พอพูดออกมาแล้วก็ไม่อยากจะนึกภาพต่อเลย”
โลกิลุกขึ้นจากโซฟาและเผยสีหน้าที่ค่อนข้างเห็นด้วย
“ก็ได้ๆ ฉันแค่ลองชวนดูเฉยๆ เอง
เพราะได้ยินเรื่อง ‘ความน่าเกรงขาม’ ของนายจากยัยเด็กสองคนนั่น ฉันก็เลยอยากรู้ว่าของจริงมันจะเป็นยังไงน้า~?
ฉันจะรอจนว่านายจะได้ปรนนิบัติให้กับเฮเฟสตัสสุดที่รักก่อนก็ได้…”
พอพูดจบ โลกิก็เริ่มเดินไปที่ประตูและดูเหมือนต้องการจะทิ้งให้วาห์นอยู่ในนี้คนเดียว
ก่อนจะออกไปพ้นประตู เธอก็หันกลับมาและถามต่ออีกนิด
“นายคิดว่าเสื้อผ้าแบบไหนถึงเหมาะกับฉันล่ะ…?”
วาห์นที่กำลังมองตามหลังไปนั้นหยุดคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน… ชุดที่ใส่อยู่ดูสมเป็น ‘เธอ’ เอามากๆ เลย แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมาะอะไรขนาดนั้นหรอก
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากจริงๆ แฮะ…”
โลกิพยักหน้าก่อนจะแสดงสีหน้าครุ่นคิดและพูดอย่างร่าเริง
“ครั้งหน้า ฉันจะให้นายจับแต่งตัวจนกว่านายจะพอใจละกันนะ~!
นายจะเลือกชุดอะไรก็ได้ ตราบใดที่มันทำให้นายรู้สึกสนใจ~”
จากนั้นโดยไม่รอฟังคำตอบของวาห์น โลกิก็ออกไปจากห้องพร้อมกับเสียงหัวเราะแบบมีเลศนัย