Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 185
ตอนที่ 185 เก่งกาจไร้เทียมทาน
ก่อนออกจากคฤหาสน์สนธยา โลกิเองก็พยายามโน้มน้าวให้วาห์นหาอะไรเธอได้ติดไม้ติดมือบ้าง
วาห์นพิจารณาคำขอนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะซื้อไวน์จากระบบร้านค้าที่มีชื่อว่า [น้ำอมฤต] ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 100 OP – 1,000,000 OP โดยขึ้นอยู่กับความแรงและอายุของมัน
ขวดที่เขามอบให้เธอนั้นมีราคา 1,000 OP และมีอายุ 100 ปี
พอโลกิได้รับไวน์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอจึงเอาจุกออกและเริ่มดมกลิ่นมันก่อนจะเผยสีหน้าพึงพอใจและมีความสุข
จากนั้นเทพสาวก็ยังโน้มน้าวให้วาห์นพักอยู่ที่นี่ซึ่งก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเขาสัญญาแล้วว่าจะไปพักอยู่ที่ฮาร์ธเอ็มเบรส
เนื่องจากนี่เป็นสิ่งที่สาวๆ ทุกคนเห็นด้วยในระหว่างการประชุมก่อนหน้านี้ โลกิจึงได้แต่ยอมแพ้และเดินออกมาส่งเขาก่อนจะสร้างความปั่นป่วนในหมู่เด็กๆ เมื่อเธอพยายามเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของวาห์น
วาห์นตอบโต้ริมฝีปากจุ๊บๆ ด้วยการดีดเข้าให้ที่หน้าผากซึ่งทำให้เธอต้องรีบถูมันอย่างทรมาน
เนื่องจากวาห์นเป็นนักผจญภัยเลเวล 3 ที่มีค่าสถานะเทียบเท่าได้กับเลเวล 4 การดีดของเขานั้นจึงค่อนข้างเจ็บปวดมากสำหรับโลกิที่ไม่ใช่เทพสายนักสู้
ขณะที่วาห์นเดินจากไป เธอก็ร้องเรียกให้เขานำไวน์มาเพิ่มเพื่อเป็นการปลอบขวัญจากการถูกทรมานที่ตนได้รับต่างๆ นาๆ
วาห์นโบกมือให้อย่างเนือยๆ โดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินออกจากคฤหาสน์สนธยาอย่างไม่เร่งรีบ
พอวาห์นเดินเกือบถึงฮาร์ธเอ็มเบรส มันก็ใกล้เวลาที่เขาจะเข้าไปในลูกแก้วแล้ว
เขายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยและตัดสินใจว่าควรจะเข้าไปในโรงแรมหรือหาพื้นที่ลับตาคน
เป็นไปได้สูงมากว่าเมื่อเข้าไปในโรงแรม เขาคงได้พบกับทีน่าหรือมิลานและอาจพลาดช่วงเวลาเหมาะสมในการใช้ลูกแก้วไป
แน่นอนว่าถ้าใช้มันข้างนอก โอกาสที่เขาจะโดนเล่นงานอย่างหนักในลูกแก้วจนหมดสติตอนกลับมาโลกจริงนั้นถือว่าต่ำมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นศูนย์
พอตัดสินใจได้ว่าเป็นการดีที่สุดที่จะใช้มันในโรงแรม วาห์นก็เดินเข้าสู่ฮาร์ธเอ็มเบรสพร้อมได้รับการต้อนรับจากทีน่าแทบทันทีและเป็นลักษณะเดียวกับที่เขาเคยได้ยินตอนมาที่นี่เป็นครั้งแรก
“ยินดีต้อนรับค่าาาาาา~! คุณต้องการที่จะพักค้างคืนที่นี่หรือเปล่าค๊ะ~?”
ช่วงเวลาที่เธอร้องตะโกนตอนรับ ทีน่าก็สังเกตเห็นว่าผู้มาใหม่นั้นคือวาห์นนั่นเอง
เธอจึงรีบหันไปทางด้านหลังของห้องอาหารและตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“แม่! วาห์นเมี๊ยวกลับมาแล้วค่า~!”
หลังจากตะโกนหามิลานเสร็จ ทีน่าก็รีบเข้ามาหาและยิ้มให้อย่างร่าเริงขณะกอดถาดเสิร์ฟกลมๆ เอาไว้แน่น
วาห์นยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของเด็กสาวและยื่นมือออกมาลูบหัวของเธอเบาๆ
ทีน่าหัวเราะชอบใจจนกระทั่งมิลานเดินออกมาจากประตูห้องครัวและยิ้มให้กับทั้งสอง
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ดูสนิทกันมาก เธอก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดขึ้น
“ยินดีต้อนรับกลับมานะ วาห์น”
วาห์นยิ้มตอบก่อนจะขยี้ผมของทีน่าเล็กน้อยและเข้ามานั่งลงใกล้กับเคาน์เตอร์
หลังจากลูบผมให้ดูเข้าที่แล้ว ทีน่าก็เดินตามหลังมาขณะจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างเอาเรื่องและพูดตักเตือน
“นายไม่ควรทำให้ผมของเด็กผู้หญิงเละแบบนี้นะ~เมี๊ยว!”
เธอใช้น้ำเสียงเหมือนตอนที่สั่งสอนพวกเด็กๆ จากอนูบิสแฟมิเลียไม่มีผิด วาห์นจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะขอโทษเธอสั้นๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง วาห์นก็เริ่มอธิบายว่าเขาไปเจออะไรมาบ้าง รวมไปถึงพูดเรื่องของโลกิด้วย
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปิดบังเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งจากผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ตนเกี่ยวพันด้วย
ทีน่าดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยกับการกระทำของโลกิแถมเธอยังรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่งานประชุมแล้ว
วาห์นสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กสาว เขาจึงเริ่มอธิบายเรื่องที่ได้เรียนรู้มาเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์และอิทธิพลของมันที่ส่งผลต่อการกระทำของเหล่าเทพและเทพธิดา
หลังจากได้รับข้อมูลใหม่แล้ว ทีน่าก็บอกว่าเธอจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อนแต่ไม่ขอรับประกันว่าจะสามารถญาติดีกับเทพสาวได้ในอนาคต
มิลานซึ่งเคยสังกัดอยู่ในแฟมิเลียเมื่อหลายปีก่อนก็พอรู้เรื่องนี้และค่อยๆ พยักหน้าเข้าใจเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นแม่คน เธอจึงพอเข้าใจหัวอกของผู้หญิงที่ปรารถนาอยากจะมีลูกเป็นของตัวเอง
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น วาห์นจึงอธิบายว่าเขาจำเป็นต้องขอเวลาส่วนตัวเล็กน้อยเพื่อฝึกวิชาลับตอนตี 5 และ 5 โมงเย็นของทุกวัน
มิลานรู้สึกสงสัยหน่อยๆ แต่เพราะวาห์นไม่ได้อธิบายเพิ่ม เธอจึงไม่อยากถามต่อ
ส่วนทีน่านั้นเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายมากเมื่อเทียบกับอายุของเธอ เด็กสาวจึงพาวาห์นไปที่ห้องด้านหลังซึ่งเป็นห้องนอนของเธอและผู้เป็นแม่
แม้พวกเธอจะมีห้องพักสำหรับแขกแต่ทีน่าก็ยืนยันว่าเขาสามารถใช้ที่นี่ได้ เพราะยังไงคืนนี้วาห์นก็ต้องนอนในห้องนี้อยู่แล้ว
วาห์นนอนลงบนเตียงที่ค่อนข้างเล็กและดึงลูกแล้วออกมาหลังจากที่ทีน่าออกไปจากห้อง
ยังมีเวลาเกือบนาทีก่อนจะถึงเข้าไปในนั้น วาห์นจึงนอนเงียบๆ ขณะดมกลิ่นหอมที่อบอวนอยู่ทั่วห้อง
เช่นเดียวกับตอนที่เขาเข้าไปในห้องของเฮเฟสตัสเป็นครั้งแรก วาห์นสังเกตเห็นว่ามีกลิ่นหอมซึ่งต่างออกไปอยู่ในห้องที่มิลานและทีน่าใช้นอนพักผ่อน
เขาอยากจะลองดมมันให้ละเอียดกว่านี้แต่ก็หักห้ามใจไว้ได้ทัน
ไม่นานเวลาเข้าสู่ลูกแก้วก็มาถึงพร้อมกับที่วาห์นเพ่งจิตใส่มันทันทีก่อนจะตื่นขึ้นมาบนเตียงที่เอวากำลัง ‘ดักรอ’ อยู่
เกือบสองชั่วโมงถัดมา ในที่สุดวาห์นก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือของแวมไพร์สาวและเริ่มเดินออกไปที่ห้องทำงาน
แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น เขาก็สังเกตเห็นภาพแปลกๆ ที่ทำให้แวมไพร์ตัวน้อยหัวเราะอย่างซุกซนจากทางด้านหลัง
วาห์นกำลังมองดูมังกรที่มีความยาวประมาณ 12 เมตรนอนอยู่ตรงด้านหน้าด้วยท่าทางที่เกือบจะเรียกได้ว่า ‘น่ารัก’ แต่ก็ดูเหนื่อยล้ามาก
“มันโตขึ้นมากเลยนะในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา และฉันยังสอนเวทมนตร์ให้ไปบ้างแล้วด้วย
แม้ระบบเวทมนตร์จากโลกของพวกเราจะต่างกัน แต่ฉันพอดูออกว่ามันเหมาะที่จะเรียกเวทมนตร์สายความมืดและสายทำลายล้างมากเป็นพิเศษ” เอวาเริ่มอธิบายให้วาห์นฟัง
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังอธิบายการเปลี่ยนแปลงของฟาฟเนียร์ วาห์นก็วางมือบนจมูกของมันและเริ่มส่งพลังงานเข้าไปเติมให้
ตามที่เอวาบอก มันดูเป็นปกติดีในช่วงสามปีแรกก่อนจะเริ่มเข้าสู่สถานะกึ่งจำศีลในช่วงไม่กี่เดือนหลังสุด
ร่างกายของมันดูจะบรรจุมานาได้มากขึ้นเยอะเลย และวาห์นต้องหยุดพักไปครั้งหนึ่งเพื่อฟื้นฟูพลังของตัวเองก่อนจะกลับไปเต็มพลังให้กับฟาฟเนียร์จนเต็ม
ในช่วงที่เติมพลังให้นั้น วาห์นก็เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากในระบบที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงและพอใจมาก
————————————————————————–
[ฟาฟเนียร์]
อายุ: 4 ปี
เผ่าพันธุ์: มังกร (วัยเด็ก: 12 เมตร)
เลเวล: 5
ความภักดี: 283
ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ: ระดับ 2 (อสูรองครักษ์)
กรรม: –
สถานะ: [เปิดใช้งาน]:
————————————————————————–
แม้จะไม่มีมอนสเตอร์มาสู้ด้วย แต่เลเวลของฟาฟเนียร์ก็เพิ่มขึ้นจาก 3 เป็น 5 ขณะที่ร่างกายของมันเข้าใกล้วัยผู้ใหญ่มากขึ้นทุกที
และไม่เพียงแค่เลเวลเท่านั้น เพราะแม้แต่ดวงวิญญาณของมันก็เพิ่มขึ้นจากระดับ 1 ไปเป็นระดับ 2 ซึ่งทำให้วาห์นดีใจกับการเติบโตของมันมาก
อย่างไรก็ตาม ความพึงพอใจของวาห์นก็แปรเปลี่ยนเป็นความช็อคสุดๆ ในวินาทีต่อมาเมื่อเขาได้ยินเสียงแผ่วเบาคล้ายกับเสียงของเด็กที่ดังเข้ามาในหัว
(*ยินดีต้อนรับกลับมานะ นายท่าน*)
พอได้เห็นสีหน้าตกใจของวาห์นแล้ว เอวาก็หัวเราะก่อนจะโดดขึ้นไปบนหลังของฟาฟเนียร์และเริ่มอธิบายต่อ
“ประมาณหนึ่งปีหลังจากที่นายออกไป เจ้าตัวน้อยนี่ก็เริ่มพูดได้
มันเริ่มใช้สิ่งที่คล้ายกับการส่งกระแสจิตและสามารถสื่อสารกับคนที่อยู่ในพื้นที่ได้โดยตรง
ความสามารถนี้ยังเอาไว้ใช้โจมตีศัตรูทางจิตได้ด้วยนะ~!”
หลังจากที่เอวาลงไปยืนบนหลังของมันแล้ว ฟาฟเนียร์ก็กางปีกออกไปประมาณ 18 เมตรและเริ่มเหินขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง
วาห์นถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังขณะจ้องมองความยิ่งใหญ่ของฟาฟเนียร์แบบเต็มสองตาจากบนพื้น
การที่เอวาได้ไปอยู่บนหลังของมันในตอนนี้แทนที่จะเป็นเขาเองนั้นทำให้วาห์นรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
ขณะกำลังคิดว่าจะออกคำสั่งให้ฟาฟเนียร์ลงมารับ วาห์นก็สังเกตเห็นว่าท้องฟ้าสีดำตรงพื้นหลังนั้นดู ‘มืดลง’ เล็กน้อยและพอสัมผัสได้ว่ามานาในชั้นบรรยากาศกำลังมารวมกันที่ตำแหน่งของฟาฟเนียร์อย่างรวดเร็ว
เมื่อฟาฟเนียร์บินสูงขึ้นไปประมาณ 500 เมตร เอวาก็ส่งกระแสจิตเพื่อสั่งให้มันโจมตีตามที่เธอเคยสอนในอดีต
ตอนนี้ผู้เป็นนายได้เติมพลังงานให้จนเต็มถังแล้ว มันจึงสามารถดูดซับมานาจากชั้นบรรยากาศได้อย่างรวดเร็วและเริ่มเดินพลังไปทั่วร่างกายก่อนจะรวมทุกอย่างไว้ที่วงแหวนเวทมนตร์ตรงส่วนปากของมัน
แสงสีเขียวสว่างวาบออกมาจากดวงตาของฟาฟเนียร์ขณะที่มันกางปีกออกจนสุดและอ้าปากกว้างก่อนจะเล็งเป้าไปยังพื้นที่ห่างไกล
วาห์นสัมผัสได้ตามสัญชาตญาณขณะมองดูการเตรียมพร้อมฟาฟเนียร์ว่ามันจะต้องเป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลังเอามากๆ
สัญชาตญาณของเขานั้นถูกต้องที่สุด เพราะหลังจากผ่านไปประมาณแปดวินาที ฟาฟเนียร์ก็สยายปีกออกกว้างก่อนจะยิงลำแสงสีดำขนาดใหญ่ที่คล้ายกับเลเซอร์ออกไปยังพื้นที่เป้าหมาย
วาห์นยิ่งรู้สึกคาดหวังมากกว่าเดิมก่อนจะโดดขึ้นไปบนกำแพงเพื่อหามุมที่ดีที่สุด
แต่แล้วมันก็ออกจะแปลกๆ เพราะแม้ว่าลำแสงสีดำจะหายไปจากสายตาแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปชนเข้ากับอะไรเลย
ช่วงเวลาที่วาห์รู้สึกสับสน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินก่อนที่คลื่นของพลังงานล่องหนจะเข้ามากระแทกกับกำแพงและทำให้ผมกับเสื้อผ้าของเขาปลิวอย่างรุนแรง
ผ่านไปอีกไม่กี่วินาที วาห์นก็เห็นอะไรบางอย่างที่คล้ายกับเมฆสีดำซึ่งมีรูปทรงคล้ายเห็ดผุดขึ้นมาจากที่ไกลๆ (TL: รูปควันจากระเบิดนิวเคลียร์)
ภาพของเมฆนั่นทำให้หัวใจของวาห์นถึงกับสั่นสะท้านขณะที่คลื่นกระแทกยังคงเข้าปะทะกับกำแพงต่อไปเรื่อยๆ โดยที่พวกมันได้ถูกเสริมแกร่งด้วยเวทมนตร์ของเอวาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากผ่านไปเกือบนาที เมฆสีดำก็ลอยสูงขึ้นอีกอย่างน่ากลัว ขณะที่เอวาได้ใช้เวทเคลื่อนย้ายเพื่อเข้ามาอยู่ข้างๆ วาห์นและเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ดูใหญ่กว่าตอนแรกที่ฉันสอนมันอีกแฮะ
นี่เป็นเวทมนตร์ระดับทำลายล้างสูงและถ้าคำนวณเป็นตัวเลขก็คงอยู่ที่ประมาณ 130 เมกะตัน
…จะใช้ก็ต้องดูสภาพรอบๆ ด้วยนะถ้านายไม่อยากเป็นคนสั่งให้มันสังหารและทำลายทุกอย่างที่อยู่ในระยะ 5 ตารางกิโลเมตร
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลังขณะจ้องมองฟาฟเนียร์ที่กำลังบินวนอยู่เหนือหัวของเขาพลางใช้เสียงโทรจิตซึ่งฟังดูเด็กและร่าเริงมาก
(“ชมอีกสิ~ ชมอีก~”)
วาห์นพยักหน้าและส่งกระแสจิตของตัวเองไปที่ฟาฟเนียร์เพื่อกล่าวชมพลังของมัน
จากนั้นเอวาก็เริ่มอธิบายการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของฟาฟเนียร์ก่อนจะพูดปิดท้ายว่าเธอจะยังพอสกัดการโจมตีนี้ได้ตราบใดที่ไม่ได้โดนแบบทีเผลอ
วาห์นตระหนักว่าการตัดสินใจที่ทิ้งฟาฟเนียร์ไว้กับเอวานั้นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเขานับตั้งแต่มาอยู่บนโลกใบนี้
ตอนนี้เขามีสัตว์ขี่ที่เคลื่อนที่ได้เร็วเกือบ 4,000 กม./ชม. ในอากาศซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปกว่า 100 กม. ได้อย่างแม่นยำและรุนแรงมาก
หากบนโลกเกิดภัยคุกคามครั้งใหญ่ล่ะก็ คงจะมีเพียงไม่อย่างเท่านั้นที่ฟาฟเนียร์รับมือไม่ได้
แม้จะเป็นเพียงมอนสเตอร์เลเวล 5 และอาจจะเสียเปรียบนักผจญภัยที่มีประสบการณ์สูง แต่หากเป็นเรื่องการโจมตีจากระยะไกลล่ะก็… เละแน่นอน
การโจมตีที่มีชื่อว่า ‘ลำแสงทำลายล้าง’ นั้นต้องใช้พลังงานสูงและมีเวลาเตรียมการยาวนานมาก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการโจมตีที่เทียบเท่ากับการโจมตีสิ่งมีชีวิตที่มีดวงวิญญาณเกือบถึงระดับ 4 ทั้งๆ ที่ฟาฟเนียร์ยังอยู่ที่ระดับ 2 เท่านั้น
วาห์นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าสัตว์ขี่ของตัวเองได้ก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่า ‘สามัญสำนึก’ ไปแล้ว
เขาเพิ่งจะรู้ในภายหลังว่าการโจมตีแบบนี้นั้นไม่สามารถใช้แบบต่อเนื่องได้
ฟาฟเนียร์จะต้องรอให้กระแสทางเดินพลังในร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาอย่างเต็มที่ก่อนจะใช้เวทมนตร์นี้ได้อีกครั้งซึ่งเวลาฟื้นฟูนั้นจะกินเวลาไปประมาณเกือบเดือน
นั่นก็หมายความว่าหากฟาฟเนียร์ไม่อยู่ในสภาพเต็มร้อย การฝืนใช้เวทมนตร์นี้ออกมาก็อาจทำให้ร่างกายของมันบาดเจ็บเข้าขั้นสาหัส
แน่นอนว่าข้อจำกัดนี้จะมีผลหากฟาฟเนียร์ต้องพักฟื้นแบบทั่วๆ ไปเท่านั้นเพราะวาห์นสันนิษฐานว่าหากเขาสั่งให้มันกลับไปอยู่ในรูปของคริสตัลและนำมันออกมาใหม่ ร่างกายของมันก็น่าจะกลับมาเต็มร้อยอีกครั้ง
ในช่วงวันที่สอง หลังจากได้ ‘พักและผ่อนคลาย’ กับเอวาเสร็จแล้ว วาห์นก็ได้ยืนยันข้อสันนิษฐานของตัวเองเมื่อฟาฟเนียร์สามารถยิงลำแสงออกมาได้เป็นครั้งที่สองหลังจากที่เรียกมันออกมาใหม่
พอเห็นการทดลองตรงหน้า เอวาก็มองเด็กหนุ่มอย่างแปลกๆ และบอกเขาว่าสิ่งที่อยู่เหนือ ‘สามัญสำนึก’ นั้นไม่ได้มีแค่ฟาฟเนียร์หรอก
ในฐานะผู้ที่เปลี่ยนไวเวิร์นธรรมดาทั่วไปให้เป็นมังกรดำทรงพลังจนน่าเหลือเชื่อ วาห์นนี่แหละคือต้นตอของสิ่งที่อยู่เหนือ ‘สามัญสำนึก’ ทั้งปวง
เมื่อแก้ปัญหาเรื่องเวลาใช้งานของ ‘ลำแสงทำลายล้าง’ ได้แล้ว ตอนนี้วาห์นก็มีไพ่ในมือเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งใบ… แถมไพ่ใบนี้ยังทรงมากและเชื่อฟังเขาทุกอย่างเลยด้วย