Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 186
แม้ว่ามันจะไม่ใช่จุดประสงค์หลักที่เขาตั้งใจไว้ แต่วาห์นก็ใช้เวลาที่เหลือในลูกแก้วไปกับการฝึกฟาฟเนียร์และพยายามวัดความสามารถของมัน
นอกเหนือจาก ‘ลำแสงทำลายล้าง’ มันยังได้เรียนรู้เวทมนต์อีกสองอย่างด้วย
อย่างแรกก็คือ ‘ศรเวทมนตร์’ ซึ่งฟาฟเนียร์สามารถยิงมันออกมาได้ 28 ดอกต่อการร่ายหนึ่งครั้ง
พวกมันเป็นลูกศรธาตุความมืดและมีคุณสมบัติกัดกร่อนอย่างรุนแรง
เพื่อทำให้เกิดความสมดุล เวทมนตร์มหัศจรรย์อีกอย่างที่มันเรียนมาก็คือ ‘ย่างก้าวแห่งความมืด’ ซึ่งทำให้มันสามารถเข้าไปซ่อนอยู่ในเงามืดที่คล้ายกับการเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง
วาห์นยังได้เรียนรู้ด้วยว่าฟาฟเนียร์นั้นไม่เก่งเรื่องการเรียนทั้งเวทมนตร์ป้องกันและเวทมนตร์สร้างสนามพลัง
มันคือมอนสเตอร์ที่เน้นการบุกตะลุยเพียงอย่างเดียวซึ่งนอกเหนือจากเกล็ดที่ทนทานอย่างไม่น่าเชื่อและคุณสมบัติต้านทานเวทมนตร์แบบสมบูรณ์แล้ว มันก็ไม่มีวิชาป้องกันตัวอื่นๆ อยู่เลย
สัญลักษณ์กากบาทสีฟ้าขนาดใหญ่บนหน้าอกนั้นจริงๆ แล้วเป็นจุดอ่อนที่สำคัญมากและอาจส่งผลให้มันเสียชีวิตหากโดนโจมตีที่เข้าไปตรงจุดอย่างรุนแรง
เนื่องจากฟาฟเนียร์มีขนาดตัวที่ยาวถึง 12 เมตร กากบาทเองก็ใหญ่ขึ้นด้วยจนตอนนี้มันมีขนาดเท่ากับตัวของวาห์นแล้ว
นั่นก็หมายความว่าหากลูกศรหรือหอกปลิวมาโดนเข้าที่จุดนี้แรงพอ… ก็เตรียมโบกมือลาฟาฟเนียร์ได้เลย
เรื่องสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือฟาฟเนียร์จะอ่อนแอลงเมื่อต้องเจอกับ คนที่มีความ ‘เที่ยงธรรม’ เวทมนตร์แสง และเวทมนตร์ธาตุศักดิ์สิทธิ์
เพราะวาห์นแทบไม่มีค่ากรรมชั่วอยู่เลยและเมื่อลองดวลกับฟาฟเนียร์อีกครั้ง เขาก็พบว่าความสามารถของมันนั้นลดลงไปกว่า 40% แถมยังยิงเวทมนตร์พลาดเป้าซึ่งบางครั้งก็พลาดไกลเป็นวาเลยด้วย
มันเหมือนกับว่า หากฟาฟเนียร์ต้องสู้กับคน ‘ดี’ พลังของมันก็จะลดลงไปมากแถมยังอาจประสบกับโชคร้ายบางอย่างเป็นของแถมด้วย
ด้วยเหตุนี้ ถึงฟาฟเนียร์จะมีค่าสถานะมากกว่า แต่วาห์นก็ยังพอประมือกับมันได้เนื่องจากค่าสถานะของเขาเองก็ไม่ใช่เล่นๆ เช่นกัน
การผสาน [เอ็นคิดู] ลงไปในพลังเขตแดนของเขาเกือบจะทำให้ฟาฟเนียร์ทำอะไรไม่ได้เลย
ทันทีที่ถูกห่อหุ้มด้วย [เอ็นคิดู] สิ่งเดียวที่มันพอทำได้ก็คือรอให้วาห์นปล่อยมันออกมาเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะความสามารถในการบิน ฟาฟเนียร์ก็แทบจะไม่มีอะไรมาใช้ประมือกับวาห์นในการต่อสู้แบบกินเวลานานได้เลย
เพราะทั้งสองกำลังสู้กันอยู่ เอวาจึงคอยเฝ้าสังเกตการณ์และให้คำแนะนำกับทั้งคู่เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่างก่อนที่จะติดจนเป็นนิสัย
เธอยังพยายามสาธิตการใช้ ‘เคลื่อนย้ายในพริบตา’ เพื่อสอนวาห์น แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจการทำงานของมันสักเท่าไหร่
แม้ว่าจะสามารถเดินพลังเวทผ่านแขนและขาได้ไม่ยากเย็น แต่วาห์นยังไม่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองจุดนี้ได้ดีนักและมักสะดุดไปไกลหลายเมตร (TL: ถ้าใครเลยอ่านเนกิมะ ให้นึกถึงตอนที่เนกิฝึกนะครับ)
แต่ไม่ว่าจะล้มไปกี่ครั้งก็ตาม วาห์นก็หมายมั่นว่าจะเรียนวิชาเคลื่อนไหวขั้นสุดยอดนี้ให้ได้เพราะเขามักจะนึกถึงตอนที่เอวาใช้มันเพื่อเคลื่อนตัวเข้ามาตรงจุดบอดโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย
เขาพอจะประสบความสำเร็จอยู่บ้างเมื่อใช้พลังเขตแดนเข้าช่วย แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าจะเข้าใจวิชานี้ได้อย่างถ่องแท้
ยังดีที่แม้จะเป็นสกิลทาง ‘กายภาพ’ แต่มันก็เน้นการใช้มานาเป็นหลัก วาห์นจึงสามารถฝึกมันในนี้ได้แม้ว่าเขาเป็นแค่ร่างวิญญาณเท่านั้น
ผ่านไปไม่นาน ระยะเวลาสามวันก็สิ้นสุดลงทำให้วาห์นต้อบอกลาเอวาและสลายหายไปจากห้องที่เปรียบเสมือนสถานที่พิเศษของทั้งสอง
วาห์นรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่ต้องทิ้งเอวาไว้เบื้องหลัง แต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนมากเพราะตอนนี้เธอยังมีฟาฟเนียร์คอยอยู่เป็นเพื่อน
วาห์นอยากจะทิ้ง (ไร้นาม) ซึ่งก็คือเจ้าโคโบลด์ไว้ที่นี่ด้วย แต่เอวาบอกว่ามันไม่มีศักยภาพในการเรียนรู้เวทมนตร์อยู่เลยและส่วนตัวนั้นเธอคิดว่ามันน่าเกลียดมาก
พอได้ยินคำวิจารณ์ของเธอ วาห์นก็รู้สึกผิดหน่อยๆ กับสิ่งมีชีวิตน่าสงสารตัวนี้ และตัดสินใจว่าจะตั้งชื่อที่แข็งแกร่งให้กับมันในอนาคตเมื่อ [ผู้ดูแลบันทึกแห่งนภา] กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
หลังจากตื่นขึ้นมาในโลกจริง วาห์นก็รีบลุกออกจากเตียงก่อนจะเดินเข้าไปที่ครัว
เนื่องจากไม่ใช่ ‘แขก’ ทั่วไปอีกแล้ว เขาจึงสามารถเข้าถึงพื้นที่อยู่อาศัยที่มิลานและทีน่าใช้ได้อย่างเต็มที่
เขาพบทีน่าซึ่งมองมาอย่างแปลกๆ และใคร่รู้ขณะที่เธอถามขึ้น
“เสร็จแล้วเหรอ~?”
เนื่องจากเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีตั้งแต่ที่เธอออกจากห้อง ทีน่าจึงสงสัยว่าอาจมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นหรือเปล่า
วาห์นรับรองว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก่อนจะเข้ามาช่วยงานของโรงแรม
มิลานใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำอาหารและเตรียมส่วนผสมต่างๆ ขณะที่ทีน่าจะเป็นผู้ล้างผ้าปูที่นอนทั้งหมดที่แขกใช้และยังทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟในช่วงเวลาอาหารด้วย
เนื่องจากวาห์นรับมือกับคนแปลกหน้าได้ไม่ดีนัก เขาจึงไปช่วยมิลานทำอาหารในครัวแทน
อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มิลานจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหยอกล้อวาห์นอย่างสนุกสนาน
วาห์นรู้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาอยู่ฮาร์ธเอ็มเบรสใหม่ๆ แล้วว่าหญิงสาวมีนิสัยแบบนี้ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีใจที่เห็นว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดก็คือวิธีที่เขาตอบสนองและบางครั้งก็ถือโอกาสแกล้งเธอกลับด้วยซึ่งต่างจากการโดนเล่นอยู่ฝ่ายเดียวแบบในอดีต
วาห์นค้นพบอย่างรวดเร็วว่าแม้มิลานจะแกล้งคนอื่นเก่ง แต่เธอนั้นกลับรับเรื่องการถูกแกล้งได้ไม่ค่อยดีนัก
แถมเขายังได้เรียนรู้ด้วยว่าถ้าแกล้งเธอหนักไป ท่าทางร่าเริงนั่นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นท่าทางเย็นชาทันที
แถมเธอยังคอยมองค้อนมาด้วยสายตาน่ากลัวสุดๆ จนทำเอาเสียวสันหลังวาบได้ทุกครั้ง
รอบนี้นั้นเธอกำลังสับหัวไชเท้าขนาดใหญ่ด้วยมีดพร้อมสบตากับเขาไปเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่มีดตัดผ่านหัวไชเท้าและชนเข้ากับเขียง วาห์นก็จะรู้สึกเจ็บปวดแทนเจ้าหัวไชเท้านั่นเหลือเกิน
ในที่สุดเวลางานก็สิ้นสุดลงและพนักงานกะกลางคืนก็เข้ามาดูแลลูกค้าแทน
พวกเขาเป็นคู่หนุ่มสาวที่มีชื่อว่าดาวี่และซาช่าตามลำดับ
วาห์นรู้มาว่าทั้งสองนั้นได้หมั้นหมายกันและเข้ามาทำงานที่โรงแรมในช่วงเย็นเพื่อเก็บเงินและหวังจะเปิดธุรกิจของตัวเองในอนาคต
แม้จะไม่ได้พูดอะไรกับทั้งสองเป็นการส่วนตัว แต่วาห์นตัดสินใจว่าเขาจะบริจาคเงินเป็นจำนวนมากเพื่อสนับสนุนความฝันของพวกเขาเมื่อมิลานปิดกิจการโรงแรมในอนาคต
หลังจากที่มีคนมารับช่วงต่อแล้ว วาห์น มิลาน และทีน่าก็มานั่งรอบโต๊ะเล็กๆ ในห้องครัวและเพลิดเพลินกับมื้ออาหารอย่างสนุกสนาน
ทีน่าอยู่ในโหมดตื่นเต้นสุดๆ เพราะทั้งสามได้มาทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าเป็นครั้งแรกและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการบอกกับมิลานเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านของวาห์นและอนูบิสแฟมิเลีย
มิลานมีความสุขที่ได้เห็นลูกสาวของเธอทำตัวร่าเริงเพราะทีน่านั้นมีเพื่อนไม่มากตั้งแต่ที่เธอเริ่มเข้ามาช่วยงานในโรงแรม
เมื่อเวลาอาหารเย็นสิ้นสุดลง วาห์นก็ช่วยพวกเธอล้างจานและเตรียมงานบางส่วนสำหรับวันพรุ่งนี้
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปที่ห้องนอนหลักและวาห์นเห็นได้ชัดเลยว่ามิลานนั้นดูกังวลอยู่บ้าง
มิลานได้คุยกับลูกสาวไปก่อนหน้านี้แล้วและตัดสินใจว่าคืนนี้วาห์นจะมานอนรวมเตียงกับพวกเธอด้วย
หกปีแล้วที่หญิงสาวไม่ได้นอนร่วมกับชายอื่นเลย แม้ว่าวาห์นนั้นจะถือได้ว่ายังเป็น ‘เด็ก’ อยู่ก็ตาม
วาห์นมองเห็นออร่าที่ผันผวนไปมาของเธอ แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ติดใจเรื่องนี้ก่อนเดินตามทีน่าเข้าไปในห้องราวกับมันเป็นเรื่องปกติ
เนื่องจากเขาใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์กับสาวมนุษย์แมวตัวน้อย วาห์นจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเธอและไม่มีท่าทางอึดอัดหรือตื่นเต้นเท่าไหร่
มิลานจ้องมองทั้งสองเปลี่ยนชุดด้วยอารมณ์หลากหลายอย่างโดยที่ตนยังไม่ได้ทำอะไรเลย
จนกระทั่งทั้งสองนอนประจำที่กันหมดแล้วและหันมามองเธอแบบแปลกๆ แทน มิลานจึงเริ่มเตรียมตัวเข้านอนบ้าง
ช่วงเวลาที่มิลานเปลี่ยนเสื้อผ้า วาห์นก็หันหน้าไปทางอื่นเพื่อให้เธอมีความเป็นส่วนตัว
ทีน่าสังเกตการกระทำของเขาและพยายามกระซิบกระซาบเพื่อยุยงบางอย่างจนวาห์นต้องเอื้อมมือมาบีบจมูกของเด็กสาว ‘ตัวแสบ’ และพยายามหันหน้าหนีต่อไป
หลังจากนั้นไม่กี่นาที มิลานก็เดินมาที่เตียงคนละฝั่งกับวาห์น และเขาก็เห็นว่าเธอนั้นสวมชุดนอนแบบเดียวกับทีน่าซึ่งแน่นอนว่าดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อเทียบกับเด็กสาวจอมแก่น
มิลานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบตากับวาห์นซึ่งกำลังยิ้มให้อย่างเป็นกำลังใจ
เธอมองออกว่าไม่มี ‘ความต้องการ’ ในสายตาของเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนโยนไม่ต่างจากช่วงที่เขาเคยอยู่ที่นี่
หลังจากถอนหายใจสั้นๆ เธอก็ยกผ้าห่มขึ้นและคลานเข้ามานอนถัดจากลูกสาว
เนื่องจากเตียงนั้นไม่ใหญ่มากและไม่ได้ถูกออกแบบมาให้นอนรวมกันถึงสามคน พวกเขาจึงต้องเบียดเข้าหากันเล็กน้อย
เพราะไม่สามารถนอนแบบเต็มตัวได้ วาห์นจึงต้องนอนหันข้างและเห็นมิลานที่จ้องกลับมาด้วยสีหน้าเขินอายนิดๆ ขณะที่ทีน่านั้นนอนอย่างมีความสุขระหว่างพวกเขาทั้งสอง
วาห์นเห็น ‘ความกลัว’ และ ‘ความกังวล’ บนใบหน้าของหญิงสาว แต่เขาก็ได้แต่ยิ้มให้ก่อนจะเสยผมของทีน่าและจูบเด็กสาวตรงหน้าผาก
เธอหัวเราะอย่างสุขใจก่อนเข้ามาซบกับแผงอกของวาห์นเล็กน้อย ขณะที่มิลานจ้องมองทุกอย่างแบบเหม่อลอยแต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น
วาห์นใช้คางถูศีรษะของเด็กสาวไปพักหนึ่งก่อนจะขยิบตาให้มิลานและวางศีรษะตัวเองลงบนหมอน
มิลานขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับท่าทางนั่น ขณะเปลี่ยนไปจ้องแผ่นหลังของลูกสาวแทน
เมื่อเห็นวาห์นนอนลงบนหมอนและหลับตาลง เธอจึงถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะสวมกอดทีน่าจากด้านหลังซึ่งก็ทำใบหน้ามาอยู่ติดกับวาห์นแบบพอดิบพอดี
ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนมิลานจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเด็กหนุ่มที่เข้ามาปะทะใบหน้าของเธอ
พอเห็นว่าทั้งสองดูผ่อนคลายลงแล้ว มิลานจึงเริ่มมองสลับไปมาระหว่างใบหน้าหล่อเหลาและยังดูเด็กอยู่มากของวาห์นและทีน่าซึ่งดูเหมือนจะกำลังหลับอย่างสบายภายใต้อ้อมกอดหลวมๆ ของเด็กหนุ่ม
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่าจะเลิกลังเลและเข้ามากอดทีน่าร่วมกันกับวาห์นซึ่งดูมีความเป็น ‘พ่อ แม่ ลูก’ แบบสุดๆ
มิลานพบว่าหลังจากที่เธอสัมผัสถูกแขนของเด็กหนุ่ม เขาก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเปิดตาขึ้นก่อนจะเอนตัวมาข้างหน้าและประทับจูบลงที่หน้าผากของเธอเช่นกัน
มิลานหน้าแดงให้กับการแสดงความรักแบบไม่ทันตั้งตัวและก้มลงไปที่คางเพื่อไม่ให้วาห์นมองเห็นใบหน้าในตอนนี้
นับเป็นครั้งแรกในรอบหกปีที่มิลานรู้สึกเหมือนได้พบใครบางคนที่ปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยนคล้ายกับสามีผู้ล่วงลับไปแล้ว
วาห์นยังทำดีกับลูกสาวของเธอมากและทุกอยากที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ
เธอกอดลูกสาวอย่างใกล้ชิดกว่าเดิมและร้องไห้เงียบๆ ก่อนที่ความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวในช่วงหกปีที่ผ่านมาจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากร่างของทั้งสอง
ไม่นานมิลานก็ร้องไห้จนหลับไปขณะสวมกอดลูกสาวที่หลับไปนานแล้ว
วาห์นนั้นตื่นอยู่ตลอดและรู้สึกเศร้ากับปฏิกิริยาของมิลานหลังจากที่เขาแสดงความใกล้ชิดออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขาเดาไว้ไม่ผิดเลยว่าเธอคงเหงามากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและรู้สึกดีใจที่สามารถโน้มน้าวเธอได้สำเร็จ
วาห์นอยากช่วยดูแลแม่ลูกคู่นี้ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านี้ก็ตาม
เขาไม่ต้องการแยกพวกเธอออกจากกันเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง และยังรู้สึกเห็นด้วยหน่อยๆ กับเรื่องที่มิลานไม่อยากแบ่งปันผู้ชายร่วมกับลูกสาว
เนื่องจากทีน่ายังมีอายุเพียงสิบปีเท่านั้น วาห์นจึงสามารถใช้เวลาอีกสี่ปีหรือมากกว่านั้นเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคนที่ทั้งคู่สูญเสียไปเมื่อนานมาแล้วให้ดีที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้
ไม่กี่นาทีหลังจากที่พวกเธอหลับไป วาห์นก็หลับตาลงอีกครั้งและปล่อยให้สติล่องลอยเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันเช่นกัน
เขาหวังว่าวันที่มีความสุขและสงบสุขแบบนี้จะดำเนินต่อไปอีกเรื่อยๆ
มีหลายอย่างที่เขาต้องจัดการในช่วงนี้ เช่นการขึ้นเป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก], แต่งงานกับเฮเฟสตัสและเอน่า, มีลูกกับสาวๆ อีกหลายคน, เลี้ยงดูเด็กที่เกิดมา และแข็งแกร่งให้มากกว่าเดิมเพื่อที่จะได้ปกป้องทุกคนเอาไว้
วาห์นตระหนักว่าหากต้องการทำทุกอย่างที่ว่ามา เขาต้องมีพลังและอิทธิพลมากพอที่จะจัดการกับปัญหาทุกอย่างและทุกคนที่อาจเข้ามาวุ่นวาย
ตอนนี้เขาอยากได้คนที่เคารพและทำตามคำสั่งของเขาอย่างจริงใจและไม่ลังเลเหลือเกิน…