Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 195
เมื่อได้ยินคำพูดของวาห์น โคลอี้ก็ส่ายหัวช้าๆ ขณะเก็บมีดสั้นเข้าฝัก
เธอจ้องประสานตากับวาห์นก่อนจะพูดแบบเรียบๆ
“ฉันจะอธิบายเพิ่มทีหลังนะ… แต่หลักๆ แล้วอาชีพเก่าของฉันก็คือนักฆ่านี่แหละ น่าตกใจใช่ไหมล่ะ?”
ขณะถาม หญิงสาวก็เอียงศีรษะอย่างร่าเริง ทว่าวาห์นกลับมองเห็นออร่าที่ผันผวนหน่อยๆ
ถึงจะแสร้งทำตัวปกติ แต่เด็กหนุ่มก็เข้าใจว่าเธอกำลังเฝ้ามองการตอบสนองของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
วาห์นถอนหายใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“เธอจะคงมีเหตุผลส่วนตัว… และสักวันฉันหวังว่าจะได้ฟังเรื่องนั้นนะ
สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่ฉันรู้ดีก็คือเธอเป็นคนอ่อนโยน คิดอะไรรอบคอบ และชอบให้ฉันตามเอาใจ”
วาห์นยิ้มขณะพูดซึ่งโคลอี้เห็นว่าแววตาของเด็กหนุ่มนั้นไม่มีความลังเลหรือหวาดกลัวอยู่เลย
แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่วาห์นก็รู้ว่าโคลอี้กำลังดีใจเพราะออร่าของเธอเริ่มกลับมาเสถียรอีกครั้ง
วาห์นเอื้อมมือลงไปแตะตรงพื้นที่ลาเวอร์น่าหายไปและพูดต่อ
“ขอโทษนะโคลอี้… ที่เธอต้องทำในสิ่งที่ฉันยังตัดใจทำเองไม่ได้… ฉันมันขี้ขลาด”
น่าแปลกเพราะเมื่อเขาพูดมันออกมา โคลอี้ก็หัวเราะนิดๆ ขณะเดินเข้ามาหาแล้วก้มตัวลงข้างๆ
ก่อนจะได้ถามอะไร โคลอี้ก็เข้ามาผลักไหล่เล็กน้อยจนเด็กหนุ่มลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
หญิงสาวหรี่ตามองวาห์นก่อนจะพูดขึ้น
“คนขี้ขลาดน่ะไม่บุกเข้ามาที่นี่ด้วยตัวคนเดียวเพื่อช่วยคนอื่นหรอกนะวาห์น
นายคิดว่ามิลานกับทีน่าจะเชื่อสิ่งที่นายเพิ่งพูดออกมาเหรอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ วาห์นก็รู้สึกลังเลหน่อยๆ ก่อนจะนึกไตร่ตรองและพยายามพูดอีกครั้ง
พอเห็นว่าเขาสรรหาตำตอบได้แล้ว โคลอี้ก็ชิงพูดก่อน
“บอกฉันหน่อยสิวาห์น ว่าหลังจากช่วยมิลานกับทีน่าได้แล้ว… นายได้ฆ่าไปกี่คน?”
แม้ว่าวาห์นจะงงๆ กับคำถาม เขาก็ตอบหลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่
“ไม่เลย…”
โคลอี้ดึงหน้ากากลงและยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม
“พอช่วยคนได้หมดแล้วนายก็ฆ่าใครไม่ลง… ถึงอีกฝั่งจะพยายามฆ่านายก็ตาม”
ขณะพูด เธอก็หันไปจิ้มๆ ร่างไร้สติของคูจิที่อยู่ใกล้เคียง
พอเห็นว่าชายหนุ่มยังไม่ตาย โคลอี้ก็พูดต่อ
“นายเป็นคนดีนะวาห์น… ไม่ใช่คนขี้ขลาดหรือขาดความกล้าหาญ
ถ้าจะให้พูดล่ะก็ นายน่ะเหมือนพวกวีรบุรุษที่ขาดสามัญสำนึกมากที่สุดเลย”
โคลอี้เริ่มหัวเราะให้กับคำพูดของตัวเองก่อนจะสงบลงและจ้องมองวาห์นอย่างอ่อนโยนและเป็นห่วง
“ฉันมั่นใจว่านายอาจรู้แล้ว แต่นายมีแรงดึงดูดที่ทำให้คนมากมายอยากเข้าหานะ… รู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
วาห์นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบกลับ
“เพราะฉันทำดีด้วยและพยายามทำให้ทุกคนมีความสุขเหรอ…?”
โคลอี้ก็เริ่มขำให้กับคำตอบนั่นก่อนจะลงมานั่งข้างๆ และเอนตัวซบไหล่
ผ่านไปอีกไม่กี่อึดใจ เธอก็พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เป็นเพราะว่านายรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นอย่างแท้จริงต่างหากเล่า…
นายตอบสนองต่อความกังวลและความต้องการของคนอื่นได้เป็นอย่างดีและละเอียดอ่อนมาก มากซะจนการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ ไม่ใช่แค่คำพูดเปรียบเปรย…”
โคลอี้จับมือซ้ายของวาห์นขึ้นมานวดเล่นขณะถามแบบเนือยๆ
“อะไรคือเหตุผลที่นายฆ่าเธอไม่ลงงั้นเหรอ?”
วาห์นนิ่งเงียบไปหลายวินาทีเพื่อไตร่ตรองคำถามนั้น
เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ เพราะแม้อยากจะระเบิดโทสะออกมา แต่วาห์นก็ทำไม่ลงหลังจากรู้เรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ของลาเวอร์น่ากับการที่เธอไม่ได้สั่งให้ทรมานมิลานด้วยตัวเอง
ความผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทพสาวนั้นคือความเลินเล่อ… เธอเป็นแค่เทพธิดาอีกองค์ที่ถูกชะตากรรมบิดเบือนให้กลายมาเป็นแบบนี้
วาห์นถอนหายใจแรงๆ ออกมาก่อนตอบ
“โคลอี้ ฉันจะทำยังไงดี?
ถึงไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำไง…”
โคลอี้ถอนหายใจก่อนจะอธิบายด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“นายทำอะไรได้ไม่มากไปกว่านี้หรอกนะ วาห์น
ยิ่งนายส่องแสงมากเท่าไหร่ ความมืดรอบตัวก็จะยิ่งเด่นชัดตามไปด้วย
แม้ว่านายจะพยายามขจัดความมืดออกไปมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วนายก็อาจกลายเป็นความมืดนั่นซะเอง…”
คำพูดของเธอทำให้วาห์นขมวดคิ้วหนักขณะนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตและวิธีที่เขาใช้จัดการกับมัน
เขารู้ว่าถ้ายิ่งไปคลุกคลีกับคนพวกนี้บ่อยขึ้น จิตใจและความคิดของเขาก็จะมัวหมองลงไปด้วย
เมื่อเห็นใครที่ชอบทรมานคนอื่น เขาก็อยากจะตอบแทนคนๆ นั้นด้วยการทรมานแบบเดียวกัน
แม้จะรู้ว่ามันผิด… แม้ตัวเองจะมีพลังมากพอที่จะฆ่าคนผิดได้ไม่ยาก…
สำหรับวาห์นนั้นการหักห้ามใจตัวเองบางครั้งก็ยากเหลือเกิน
เป็นอย่างที่โคลอี้พูดเลย ถ้าเขาพยายามกำจัด ‘ความชั่วร้าย’ อย่างจริงจัง ไม่นานเขาก็จะกลายเป็นสิ่งที่ตัวเองเกลียดชังมากที่สุด…
ในขณะที่วาห์นตกอยู่ในห้วงความคิด โคลอี้ก็ยังนวดมือของเขาเล่นต่อไปก่อนจะพูดต่อ
“สิ่งที่นายพอทำได้ก็คือเป็นตัวของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
แม้ความมืดจะพยายามเข้ามารุมล้อมนายไว้ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีผู้คนที่หลบหนีจากความมืดมาพึ่งแสงสว่างของนายเช่นกัน
หลายๆ คนต่างก็มีอดีตอันเจ็บปวดซึ่งมีแต่คนแบบนายเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขาก้าวเดินต่อไปได้
นายทำให้ ‘พวกเรา’ มีความหวังว่าสักวันทุกอย่างจะดีขึ้นเอง…”
คำพูดของโคลอี้ทำให้วาห์นนึกถึง [ความปรารถนาของหัวใจ] ทั้งหมดที่เขาได้เห็นมาและเริ่มเข้าใจว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร
ทุกคนที่อยู่รอบตัววาห์นนั้นมักมีอดีตที่อยากจะเอาชนะให้ได้ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผลักดันให้เขาอยากแข็งแกร่งกว่าเดิม
ทว่าคำพูดของโคลอี้นั้นก็ทำให้เขาตระหนักถึงบางอย่างก่อนจะหันไปหาเธอ “นี่เธอ…?”
โคลอี้เอียงศีรษะหน่อยๆ เพื่อเป็นการตอบ ก่อนจะสบตาด้วยจนวาห์นมองเห็นความเศร้าที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้ม
เสียงตอบคำถามที่วาห์นได้ยินกลับมานั้นช่างฟังดูเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
“พวกเราบางคนน่ะอยู่กับความมืดมาตั้งแต่เกิด… มันไม่ง่ายเลยนะที่จะลืมอดีตแบบนั้นไปได้…”
วาห์นรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดนั่นและเริ่มบีบมือของเธอกลับ
ตั้งแต่ตอนที่เธอให้ความช่วยเหลือ วาห์นก็คิดเสมอว่าโคลอี้เป็นคนแข็งแกร่ง เชื่อถือได้ และทำให้เขารู้สึกชื่นชมเธอมาก
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอเคยเป็น ‘เหยื่อ’ มาก่อนและกำลังใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองเพื่อเยียวยาจิตใจของเขา
พอรู้เรื่องนี้แล้ว วาห์นจึงรู้สึกผิดต่อเธอยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้มาก
ก่อนที่เขาจะพูดอะไร โคลอี้ก็ใช้มือข้างที่ว่างมาจิ้มใส่แก้มก่อนจะหัวเราะอย่างสนุกสนาน
จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นๆ
“เห็นไหม นี่แหละที่ฉันบอก~! คือเหตุผลว่าทำไมหลายๆ คนถึงพยายามเข้าหานาย… แต่คนมากปัญหาก็มากตามแหละนะ มันก็จพเหนื่อยๆ หน่อย”
โคลอี้ปล่อยมือของวาห์นก่อนจะลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นเล็กน้อยและหันหน้ามาทางเขา
“ฉันเคยหนีอดีตมาแล้วครั้งหนึ่ง… และจะรู้สึกดีมากถ้านายไม่ต้องทำแบบเดียวกัน แค่เป็นแบบนี้ต่อไปก็พอแล้ว
ฉันหวังว่าแสงของนายจะไม่มีวันถูกความมืดบดบัง ถ้ามีใครพยายามทำแบบนั้นล่ะก็ ไว้เป็นหน้าที่ของฉันเอง~”
วาห์นยืนขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้และสวดกอดเธออย่างแนบแน่นด้วยสีหน้าจริงจัง
เขารู้สึกทั้งโกรธและเสียใจขณะจ้องทะลุผ่าน “หน้ากากยิ้มแย้ม” เข้าไปหาความมืดมนในจิตใจของเธอ
วาห์นพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ฉันยอมรับไม่ได้หรอก… จะให้เธอมาแบกภาระแทนเนี่ยนะ!?”
เมื่อนึกถึงทุกเรื่องที่หญิงสาวทำเพื่อเขา วาห์นรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขณะจ้องประสานตากับเธอ
โคลอี้ไม่เพียงแต่หยิบยื่นความช่วยเหลือตอนเด็กหนุ่มเข้าเมืองมาใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังสังหารเทพธิดาเพื่อปกป้องเขาด้วย
เขารู้สึกผิดกับโคลอี้เพราะไม่ได้ตระหนักว่าเธอต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง
แม้ว่าเธอจะทำอะไรให้เขามากมาย แต่วาห์นกลับทำอะไรให้เธอไม่ได้สักอย่าง…
โคลอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปแตะใบหน้าของวาห์นและกระซิบเบาๆ
“ที่เป็นทางที่ฉันเลือกเอง… แบบเดียวกับตอนที่นายเลือกแบกภาระเอาไว้อีกมากมาย
นายกับฉัน… ดูแล้วเราก็คล้ายๆ กันนะ
นายยอมฝืนธรรมชาติของตัวเองเพื่อปกป้องคนที่ห่วงใย
ฉันเองก็ยินดีที่จะเดินผ่านความมืดเพื่อให้นายส่องแสงต่อไปได้
ถ้าอยากทำอะไรให้จริงๆ ล่ะก็… แค่สัญญากับฉันว่านายจะไม่มีวันเปลี่ยนไปก็พอแล้ว”
เมื่อเธอพูดจบ โคลอี้ก็เขย่งเท้าเล็กน้อยก่อนจะจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม
ถ้าเป็นเวลาปกติ วาห์นก็คงจะเพลิดเพลินไปกับสัมผัสแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าไปกับรสจูบ
เมื่อน้ำตาเริ่มไหลออกมา วาห์นก็เพิ่มแรงเข้าไปในอ้อมกอดขณะจูบเธอตอบเช่นกัน
เขารู้ว่าตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะเปลี่ยนใจเธอ
วิธีที่จะช่วยโคลอี้ได้ก็คือตนเองต้องแข็งแกร่งและพึ่งพาได้มากกว่านี้ในอนาคต
ด้วยอำนาจและอิทธิพลที่เพียงพอ ต่อไปก็หญิงสาวก็จะได้ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก
ผ่านไปเกือบนาที โคลอี้ก็เริ่มถอนจูบออกก่อนจะยิ้มให้
“ฉันต้องออกไปจากที่นี่แล้วล่ะ ไม่งั้นเรื่องจะซับซ้อนกว่าเดิม
ครั้งต่อไปที่เราได้เจอกัน ฉันจะบอกทุกอย่างที่นายอยากรู้เกี่ยวกับอดีตของฉัน โอเคไหม?
อย่าเสียใจไปเลย… เพราะตอนนี้ฉันมีความสุขมาก มากกว่าครั้งไหนๆ อีกนะ
อย่างที่นายเคยบอกกับฉันไง จริงๆ ฉันเองก็ชอบตอนที่นายยิ้มให้มากกว่านะ~”
ขณะที่เธอพูด โคลอี้ก็พยายามคลายขมวดที่คิ้วของวาห์นออกด้วยนิ้วมือของเธอเอง
ถึงอยากจะยิ้มเพื่อทำให้เธอสบายใจ แต่วาห์นกลับพูดขึ้นอย่างหนักแน่นและจริงจังแทน
“สักวันนึง ฉันจะดึงเธอออกมาจากความมืดให้ได้
ฉันจะหาทางเก็บกวาดเรื่องโดยไม่ทำให้แสงสว่างเลือนหายไป…”
โคลอี้ยิ้มก่อนจะดึงนิ้วออกมาและจูบเด็กหนุ่มอีกครั้ง
เมื่อรู้สึกพอใจแล้ว เธอก็แยกตัวออกจากวาห์นด้วยใบหน้ามีความสุข
“ฉันเชื่อว่าวันนั้นจะมาต้องถึงแน่นอน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็มาตามเอาใจฉันไปก่อนก็แล้วกันนะ~!
ฉันจะเข้าใกล้แสงสว่างมากขึ้นถ้าได้ ‘วาห์นอ็อบเทเนี่ยม’ มาช่วยเยียวยาจิตใจนะ~เมี๊ยว”
วาห์นคลายสีหน้าลงก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง
“วาห์นอ็อบเทเนี่ยม?”
โคลอี้เอามือป้องปากหัวเราะเบาๆ
“มันคือการแสดงความรักของนายไงล่ะ~เมี๊ยว!
ถึงมันอาจจะไม่ใช่ของหายาก แต่มันก็เป็นทรัพยากรที่ล้ำค่ามากและมีคุณสมบัติขับไล่ความมืดในใจออกไปได้เป็นอย่างดีเลย
ฉันว่าจะเอามันไปเสนอในที่ประชุมครั้งถัดไปด้วยล่ะ ~เนียะฮะฮ่า”
ก่อนที่วาห์นจะได้พูดอะไรต่อ โคลอี้ก็กลับไปสวมหน้ากากและมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่คูจิและลาเวอร์น่าคิดจะใช้หลบหนี
มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกทีมช่วยเหลือพบเจอหากย้อนกลับไปทางเก่า โคลอี้จึงตัดสินใจใช้เส้นทางนี้แทน
วาห์นมองเธอวิ่งหนีไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อก่อนจะได้แต่หัวเราะกับเรื่องสุดท้ายที่ได้คุยกัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่าง วาห์นก็หันไปทางคูจิที่ยังมีรูอยู่ตรงช่องท้องเช่นเดิม
หากไม่ได้รับการรักษาในเร็วๆนี้ เขาอาจตายจากสภาวะเสียเลือดมากหรือไม่ก็อวัยวะล้มเหลว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเผ่ามนุษย์เสือนั้นขึ้นชื่อเรื่องความอดทนและการที่เขาเป็นนักผจญภัยเลเวล 4 คูจิก็คงจะตายไปนานแล้ว
วาห์นเดินเข้าไปหาคูจิและเห็นเปลือกตาของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อยเนื่องยาที่เขาใช้น่าจะหมดฤทธิ์ลงและคงกำลังรู้สึกเจ็บปวดแบบคนปกติทั่วไป
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง วาห์นก็หันหัวไปตามทางที่โคลอี้ใช้หลบหนี
จู่ๆ แววตาสีน้ำทะเลก็ฉายแววมุ่งมั่นมากขึ้นก่อนที่เขาจะนำดาบสีดำไร้ตำหนิออกมาและแทงมันเข้าไปตรงหัวใจของชายเผ่าเสือ
แม้คูจิจะไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างเขากับโคลอี้ แต่วาห์นก็จะไม่ยอมเสี่ยงให้ตัวตนของเธอถูกเปิดเผยจากการที่ตนรักษาแผลให้คูจิและเปิดโอกาสให้เขานำข้อมูลไปบอกคนอื่น
ถ้าโคลอี้เต็มใจที่จะสังหารเทพเพื่อทำให้เขาส่องแสงต่อไป วาห์นก็เต็มใจสังหารอาชญากรเพื่อปกป้องความลับของเธอเช่นกัน
เขาไม่สนใจการแจ้งเตือนเกี่ยวกับค่ากรรมชั่วที่ได้รับก่อนจะเก็บดาบและวิ่งย้อนกลับไปทางเก่า
มีคนมากมายที่กำลังรอเขาอยู่ และวาห์นก็รู้สึกเบื่อทางเดินมืดๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้นี่เต็มทีแล้ว