Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 198
เฮเฟสตัสถอนหายใจหลังได้ยินคำประกาศก้องของโลกิ แต่สีหน้าของเธอก็ยังดูหวั่นๆ ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม
“ลิฟต์นี้จะพาเราไปที่บัลลังก์ของโอรานอส… และยังเป็นผนึกที่ควบคุมดันเจี้ยนนี้เอาไว้ด้วย”
เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมโลกิกับเฮเฟสตัสถึงดูอารมณ์เสีย ทาเคมิคาสึจิจึงถามขึ้น
“ดันเจี้ยนถูกผนึกเอาไว้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? มันยังผนึกมังกรดำตาเดียวเอาไว้ด้วยนี่?”
โลกิสวนกลับไปแทบจะทันที
“ถ้ามันทำแค่นั้นก็ดีสิ แต่พวกนายเคยสงสัยไหมว่าผนึกนี่ไปเอาพลังงานมากมายมาจากไหน?”
พอเห็นว่าไม่มีใครเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ โลกิจึงพูดต่อ
“…พลังชีวิตกับมานาของคนที่เข้าไปในดันเจี้ยนไงล่ะ
ยิ่งมีคนเสียชีวิตในนั้นเยอะและมีการใช้มานาในการสังหารมอนสเตอร์มากเท่าไหร่ ผนึกก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อผนึกแข็งแกร่งขึ้น มอนสเตอร์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วยซึ่งก็ทำให้มีคนเสียชีวิตและมีการใช้มานามากกว่าเดิม… “
คราวนี้เป็นตาของมิอาคที่ถามขึ้นมาบ้าง
“ถึงมันอาจจะฟังดูแย่และอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น แต่อย่างน้อยมังกรก็ยังถูกผนึกเอาไว้นี่?”
โลกิเริ่มหัวเราะให้กับคำพูดของเทพหนุ่มก่อนจะอธิบายต่อ
“ถ้าดันเจี้ยนพัฒนาไปเร็วกว่านักผจญภัยล่ะก็… มันจะนำไปสู่วัฏจักรที่ไม่ใครพิชิตมันได้ในขณะที่มังกรเองก็กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ต่อไปมันจะดำเนินไปถึงจุดที่นักผจญภัยระดับสูงเองก็ไม่สามารถเข้าไปในชั้นล่างได้อีก
เมื่อถึงตอนนั้น คนก็จะฆ่ามอนสเตอร์ได้น้อยลงจนมังกรหนีออกไปได้ในที่สุด
ท้ายสุดแล้ว นักผจญภัยระดับสูงส่วนใหญ่คงต้องเอาชีวิตเข้าแลกแค่เพื่อทำให้ผนึกทำงานต่อไปได้!”
เมื่อมาถึงจุดนี้ทุกคนในลิฟต์ต่างก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขณะกำลังประมวลคำพูดของโลกิ
ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าการพิชิตดันเจี้ยนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
และทุกอย่างที่ทำกันอยู่ตอนนี้ก็เหมือนเป็นการต่อเวลาแห่งความพินาศออกไปเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นว่าทั้งสามเริ่มเข้าใจกันแล้ว โลกิจึงพูดต่อไปอีก
“วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่ามังกรดำตาเดียวจะตายสนิท ก็คือเหล่าเทพต้องร่วมมือกันและใช้อาร์คานั่มเพื่อถล่มมันให้สิ้นซาก
แต่แทนที่จะทำแบบนั้น โอรานอสกลับสร้างเส้นทางจากสวรรค์มาสู่โลกมนุษย์แทน แถมเรายังถูกห้ามไม่ให้ใช้อาร์คานั่มซึ่งถ้าฝ่าฝืนก็จะถูกดีดกลับสวรรค์ทันที
หลังจากที่ซุสกับเฮร่าพิชิตมันไม่สำเร็จ เทพทุกองค์ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปในนั้นด้วยข้ออ้างว่าอาจจะทำให้ดันเจี้ยนพัฒนาไปเป็นบางอย่างที่อยู่เหนือการควบคุม
โอรานอสเรียกร้องให้มนุษย์เป็นผู้สังหารมังกรดำตาเดียว… แต่เจ้าแก่นั่นดันสร้างกับดักมรณะที่ไปลดโอกาสนั่นเสียเอง!”
พอเธอพูดจบ ลิฟต์ก็หยุดพอดีก่อนที่ทุกคนจะก้าวออกไปยังสถานที่มืดๆ ซึ่งมองไม่เห็นแม้แต่เพดาน
แสงสว่างเดียวภายในห้องนั้นกำลังสาดส่องลงมายังบัลลังก์ขนาดใหญ่ที่ซึ่งชายสูงอายุแต่ก็แฝงไปด้วยอำนาจนั่งพำนักอยู่
แม้แต่ตอนกำลังนั่ง โอรานอสก็ยังสูงประมาณสองเมตรและแสดงสีหน้าน่าเกรงขาม
เขามีผมยาวสีขาวและเคราที่ตัดแต่งอย่างเรียบร้อย
ร่างกายเขาดูใหญ่โตและทรงพลังมากขณะสวมใส่ชุดพิธีการแบบดั้งเดิมและเสื้อคลุมยาวแบบมีฮู้ด (TL: ดูรูปได้ที่อัลบั้มนะครับ)
ทันทีที่มาถึง ทุกคนก็รู้สึกถึงได้แรงกดดันขณะจ้องมองโอรานอสที่นั่งหลังตรงก่อนที่น้ำเสียงทรงพลังจะดังสะท้อนออกไปทั่วห้อง
“โลกิ เฮเฟสตัส อนูบิส มิอาค และ ทาเคมิคาสึจิ… พวกเจ้ามีเรื่องด่วนอันใดถึงได้มากันดึกดื่นป่านนี้?”
เพราะพวกเขาได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โลกิจึงเป็นคนตอบคำถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างเคย
“น่าสนใจมากเลยนะที่ท่านถามคำถามนี้ออกมา โอรานอส
ถึงท่านจะทำพิธีสาบานเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าก็คงไม่เชื่ออยู่ดีนั่นแหละ~! “
โอรานอสขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นยอกย้อนกับเจ้าหรอกนะ โลกิ
หากเจ้าไม่มีเรื่องสำคัญจะพูดก็จงกลับไปซะ ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่เจ้าจะมาเล่นซนได้ตามใจชอบ”
โลกิเริ่มหัวเราะราวกับไม่ได้แยแสคำพูดของหัวหน้าแห่งทวยเทพเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของโอรานอสดูบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิมก่อนที่โลกิจะเริ่มจริงจังขึ้นมาบ้าง
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ โอรานอส
ท่านเชื่อจริงๆ เหรอว่าตัวเองสามารถวางแผนตบตาเทพธิดาคนนี้ได้!
ถึงท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องในวันนี้ แต่อย่างน้อยลิ่วล้อของท่านก็ต้องรู้เห็นด้วยแน่นอน
ข้านึกภาพออกเลยว่าท่านคงวางแผนเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘วัลแคน’ มาบ้างแล้วทันทีที่เขาตื่นขึ้นจากอาการบาดเจ็บสาหัส”
โอรานอสไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของเทพสาวในทันทีขณะจ้องมองโลกิอย่างเยือกเย็น
ก่อนที่สายตาของเขาจะลากผ่านไปยังเทพและเทพธิดาองค์อื่นๆ ทางด้านหลัง
เขาทำเป็นเมินคำพูดของเทพสาว ก่อนจะหันไปหาเฮเฟสตัสแทน
“เฮเฟสตัส จงบอกข้ามาว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่”
เฮเฟสตัสเผยสายตาเย็นชาแต่ก็ดูลุกโชนอย่างประหลาดก่อนจะพูดตอบกลับไป
“เรื่องนี้… ข้าเองก็คิดไม่ต่างไปจากโลกิ
ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
มีความบังเอิญหลายอย่างเกินไป โดยเฉพาะเรื่องการวางตัวในหมู่คนของท่าน”
แม้พวกเธอจะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่โลกิกับเฮเฟสตัสก็รู้หลักการทำงานของโอรานอสดี
ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้วาห์นเดินร่อนไปร่อนมาในเมืองโดยไม่ทำอะไรสักอย่างเลย
นับตั้งแต่ตอนที่เฮเฟสตัสเผชิญหน้ากับเฟรย่าและบังคับให้เธอกล่าวคำสาบานต่อหน้าโอรานอส สายตาของหัวหน้าแห่งทวยเทพก็เริ่มเพ่งเล็งไปที่วาห์นแล้ว
ถึงมันจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาโดยตรง แต่โอรานอสก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตนมีส่วนรู้เห็นในเรื่องของวาห์น
แม้จะไม่สามารถบังคับให้เขาสารภาพออกมาได้ แต่ตราบใดที่ร่วมมือกันเข้ากดดัน พวกเขาก็จะสามารถชิงความได้เปรียบโดยใช้ประโยชน์จากลักษณะนิสัยส่วนตัวของโอรานอส
แม้จะคาดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่โอรานอสก็ยังรู้สึกไม่พอใจที่เห็นเฮเฟสตัสเข้าข้างโลกิและสนับสนุนข้อกล่าวหาของเธอ
เขาได้ทำการตรวจสอบเรื่องของวาห์นมาแล้วจริงๆ แถมยังให้ ‘เฟลส์’ ไปหาข้อมูลมาเพิ่มด้วย
เพราะการปกป้องจากเฮเฟสตัสและโลกิ มันจึงยากมากที่จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้เป็นรูปเป็นร่างและนำมาใช้ประโยชน์ในเวลาอันสั้น
วาห์นนั้นอาจเป็นเบี้ยชั้นยอดสำหรับแผนการในอนาคตของเขา
ทว่าตอนนี้ เขาต้องหาทางจัดการกับเทพธิดาจอมจุ้นทั้งสองให้ได้ก่อนแผนจะพังทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้เริ่ม
ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยและเป็นกลางที่สุดบนโลกมนุษย์ โอรานอสนั้นเคยทำพิธีสาบานขั้นสูงมาแล้วว่าจะไม่โกหกเด็ดขาด
แม้จะพูดในทางที่ทำให้คนฟังเข้าใจผิดหรือเมินเฉยใส่ก็ได้ แต่ถ้าเหล่าเทพที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นกดดันต่อไปเรื่อยๆ เขาก็จะไม่สามารถบอกปัดเรื่องนี้ได้เลย
หากเป็นเทพหรือเทพธิดาแค่องค์สององค์ โอรานอสจะสามารถสร้างแรงกดดันจนอีกฝ่ายเงียบไปได้
แต่ตอนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับเทพธิดาอันดันต้นๆ ถึงสององค์บวกกับแรงสนับสนุนจากเทพอีกสามองค์
โอรานอสหรี่ตาก่อนจะพูดอย่างมั่นใจด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“ข้ายอมรับก็ได้ว่ารู้เห็นกับที่เกิดขึ้นในคืนนี้ รวมถึงเรื่องที่ไปตรวจสอบวาห์น เมสันด้วย
แต่ขอยืนยันว่าข้า รวมไปถึงลูกน้องของข้าเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
งานของข้าคือการตรวจสอบเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ ดังนั้นหากเจ้าจะกล่าวหาเรื่องนี้ต่อ จงรู้ไว้ว่ามันเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์”
แต่สิ่งที่อยู่ความคาดหมายของโอรานอสก็บังเกิดขึ้น เมื่อรอยยิ้มของโลกิดูกว้างกว่าเดิมก่อนที่เธอจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
สีหน้าของโอรานอสยิ่งดูเครียดกว่าเดิมขณะจ้องมองเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์ด้วยดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือก
พลังเขตแดนของเขาเริ่มกระจายออกไป แต่แล้วมันก็ถูกโลกิกับเฮเฟสตัสต้านเอาไว้ก่อนที่เทพอีกสามองค์จะเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน
โอรานอสกัดฟันเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาและมุ่งความสนใจไปที่โลกิซึ่งยังคงหัวเราะต่อไป
ผ่านไปไม่นาน เธอก็หยุดลงก่อนจะจ้องโอรานอสด้วยสายตาแหลมคมไม่แพ้กัน
“ถ้าท่านรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว งั้นก็ต้องรู้ด้วยสิว่าวาห์นเมสันไม่ควรต้องมารับผิดชอบการ ‘ตาย’ ของลาเวอร์น่า
แฟมิเลียของเธอเข้ากระทำการกับมิลานและทีน่า ยูเอลซึ่งผลที่ตามมาก็คือวาห์นตามไปช่วยสองแม่ลูก
ลาเวอร์น่าไม่เพียงแต่จะเป็นเทพธิดาของแฟมิเลียผิดกฎหมายเท่านั้น แต่เธอยังฝ่าฝืนกฎหลายอย่างที่เหล่าเทพและเทพธิดาไม่ควรทำเมื่อมาอยู่บนโลกมนุษย์ด้วย”
โอรานอสรับฟังคำพูดของเธออย่างเงียบๆ ก่อนจะสวนกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขณะยังคงต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์จากทั้งห้าต่อไปเรื่อยๆ
“ก็อาจจะจริง แต่การที่ลาเวอร์น่าตายด้วยน้ำมือของมนุษย์เองก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
เด็กหนุ่มอาจไม่ได้เป็นคนลงมือเอง แต่การกระทำของเขาก็ชักนำเธอไปสู่ความตายโดยที่ไม่ได้มีการว่าความหรือพิพากษา
มันไม่ใช่สิทธิ์ของเขาที่จะมา-”
ก่อนที่โอรานอสจะพูดจบ แรงกดดันของเฮเฟสตัสก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิมขณะที่แสงสีแดงอ่อนๆ เริ่มแผ่ออกมาพร้อมกับดวงตาที่กลายเป็นสีแดงสด
เธอจ้องมองโอรานอสอย่างดุเดือดก่อนจะพูดขึ้นบ้าง
“ถ้าลาเวอร์น่าไม่ได้ตายเพราะมือคนอื่น ข้านี่แหละจะเป็นคนลงมือเอง!
หากท่านคิดว่าการลงโทษเหยื่อของเธอเป็นเรื่องชอบธรรมล่ะก็ ขอให้รู้ไว้ว่าข้าเองก็จะไม่อยู่เฉยเหมือนกัน!”
ออร่าสีฟ้าใสและสีม่วงเริ่มแผ่ออกมาจากโอรานอสขณะที่เขาจ้องประสานตากับเฮเฟสตัสและพูดด้วยเสียงที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในอากาศ
“เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ! มิฉะนั้นอาจจะเกิดความวุ่นวายในหมู่ทวยเทพ!”
สำหรับโอรานอสนั้น การรักษาความสงบและความเรียบร้อยถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
เนื่องจากความโกลาหลและวุ่นวายจะนำไปสู่การล่มสลายของทุกอย่างที่เขาต่อสู้ฝ่าฟันมานานนับพันปี
โลกิได้ยินดังนั้นจึงพูดแบบเรียบๆ
“เราได้หารือเรื่องนี้กันแล้ว ท่านไม่มีเหตุผลมากพอที่จะตัดสินให้วาห์นรับผิดชอบทุกอย่าง แต่ท่านสามารถสั่งลงโทษโดยปลดเขาออกจากการเป็นสมาชิกของเฮเฟสตัสแฟมิเลียด้วยข้อหาไม่ยอมให้ความร่วมมือในการสอบสวนได้
เดี๋ยวท่านจะได้รู้ว่าแม้แต่ลาเวอร์น่าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นผู้ลงมือ
และการบังคับให้วาห์นทำพิธีสาบานเพื่อเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ให้คนอื่นฟังก็ไม่ยุติธรรมเช่นกัน
เพราะแค่แผนการของลาเวอร์น่าและข้อมูลที่เธอหามาก็สร้างความลำบากให้กับตัวเขาคนรอบข้างมากพออยู่แล้ว…”
เมื่อมาถึงตรงนี้ โลกิก็หยุดพูดก่อนจะรวบรวมออร่าอันแสนวุ่นวายของเธอให้ดูแจ่มชัดกว่าเดิม
เธอเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“แผนการของลาเวอร์น่านั้นยังเป็นการตบหน้าแฟมิเลียอันดับ 1 และอันดับ 3 ของเมือง!
เธอวางแผนที่จะขโมยทรัพย์สินหลายพันล้านและทำให้สมาชิกคนสำคัญจากกลุ่มพันธมิตรของเราต้องตกอยู่ในอันตราย
หากเธอได้ตัววาห์นไปจริงๆ และบังคับให้เขาทำพิธีสาบานล่ะก็… ท่านเตรียมบอกลา ‘ความสงบ’ ของท่านไปได้เลย!
ที่จริงแล้ว ท่านควรจะให้รางวัลมือสังหารด้วยซ้ำที่ช่วยกำจัดเนื้อร้ายของเมืองนี้ออกไป!
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะท่านยังอาจหาญใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและเสนอให้มีการสอบสวนร่วมกันเพื่อกำจัดอาชญากรกับแฟมิเลียผิดกฎหมายในบริเวณนั้นด้วย!”
ขณะที่โลกิยังคงจัดหนักต่อไป โอรานอสก็นั่งเงียบด้วยสีหน้านิ่งๆ พร้อมกับจ้องมองเทพและเทพธิดาฝั่งตรงข้าม
แต่ละอย่างที่โลกิพูดมานั้นก็เป็นความจริงในระดับหนึ่ง ส่วนการที่เขาใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์เพื่อดำเนินแผนของตัวเองในภายหลังก็จริงเช่นกัน
ที่จริงแล้วโอรานอสนั้นได้ประโยชน์จากการตายของลาเวอร์น่าแบบเต็มๆ
ไม่เพียงแต่จะได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘ลูกครึ่งเทพผู้ลึกลับ’ เท่านั้น แต่ขวากหนามมากมายที่สร้างความรำคาญให้ก็ยังถูกเฮเฟสตัสและโลกิแฟมิเลียเก็บกวาดจนหมด
โอรานอสพิจารณาสิ่งที่จะพูดก่อนจะตอบกลับไป
“ก็ได้ ข้าขอเสนอให้วาห์น เมสัน ถูกเนรเทศออกจากเฮเฟสตัสแฟมิเลียนับจากจากนี้เป็นต้นไป
เขายังถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าร่วมกับแฟมิเลียใดๆ ที่ตัวเขามีส่วนเกี่ยวพันอยู่ในขณะนี้ด้วย
พวกเจ้าต้องทำพิธีสาบานว่าจะไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือใดๆ ให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเวลา 1 ปีและ-”
ก่อนที่โอรานอสจะได้พูดต่อ เฮเฟสตัสก็นำบางอย่างที่เธอแบกไว้บนหลังออกมาข้างหน้า
มันเป็นไอเท็มที่เธอขอยืมมาจากวาห์นเพื่อใช้ในการเจรจาครั้งนี้โดยเฉพาะ
เธอแกะผ้าที่คลุมไว้ออกก่อนจะค่อยๆ ชูดาบขนาดใหญ่ขึ้นมาซึ่งมันก็เริ่มสร้างออร่าของตัวเองเช่นกัน
โอรานอสขมวดคิ้วและจ้องมองเฮเฟสตัสที่อาจหาญถึงขั้นเข้ามาขัดโองการ แต่แล้วเขาก็เริ่มให้ความสนใจกับพลังที่เปล่งออกมาจากตัวดาบ
เท่าที่พอมองออก ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเองซึ่งไอเท็มระดับนี้ไม่ควรจะมาอยู่บนโลกมนุษย์ได้เลย
เฮเฟสตัสลูบ [เลวาไทน์] อย่างรักใคร่ก่อนจะเริ่มอธิบาย
“แม้จะยังไม่ได้เป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] แต่นี่ก็คือดาบที่วาห์น เมสันสร้างขึ้น
ข้าจะประกาศเรื่องๆ หนึ่งในงานเดนาตัสที่กำลังจะมาถึง…
นั่นก็คือเรื่องที่ข้าจะเข้าร่วมพิธีสมรสกับวาห์น เมสันหลังจากที่มอนสเตอร์ฟีเรียจบลง…
ท่านคงจะสัมผัสได้ใช่ไหม ว่านี่ไม่ใช่ดาบธรรมดาทั่วไป?
ข้าจะยอมให้ท่าน ‘บังคับ’ วาห์นให้ถอนตัวจากแฟมิเลีย ข้าจะยอมเห็นด้วยกับเรื่องที่ไม่ให้เขาเข้าร่วมแฟมิเลียของพวกเรา…
แต่… ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตัดเขาออกไปอย่างสิ้นเชิงและตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของท่านหรือพวกที่ต้องการหลอกใช้ประโยชน์จากเขาแทน!”
โลกิรีบเสริมคำพูดของเฮเฟสตัสทันที
“วาห์น เมสันจะกลายเป็นบุคคลสำคัญในอนาคตและเป็นคนที่เชื่อมกลุ่มพันธมิตรเข้าไว้ด้วยกัน
ข้าขอรับประกันได้เลยว่าเมื่อข้อมูงอย่างหนึ่งถูกเปิดเผยออกมา… จะมีเทพกับเทพธิดาจำนวนมากที่อยากเข้าเป็นพันธมิตรของเขาเช่นกัน”
โอรานอสรู้สึกวอกแวกเพราะดาบในมือของเฮเฟสตัส แต่เขาก็หันไปมองโลกิหลังได้ยินคำพูดของเธอ
เขาหรี่ตาก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“งั้นหรอกเหรอ… นั่นคงเป็นเหตุผลที่แม้แต่เจ้าเองก็อยากจะช่วยเขาสินะ?
ข้ารู้ว่าวาห์น เมสันมีส่วนช่วยในการสร้างกลุ่มพันธมิตร แต่ก็เดาไม่ออกสักทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีอะไรที่พิเศษ… มันเกี่ยวกับชาติกำเนิดของเขาใช่หรือเปล่า?”
โลกิหัวเราะให้กับคำถามนั่นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“รับประกันได้เลยว่าจะต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับแผนการในอนาคตของท่านแน่ และมันยังส่งผลกับชีวิตของเทพและเทพธิดาทุกองค์ที่อยู่บนโลกมนุษย์และบนสรวงสวรรค์ด้วย
แม้แต่ยัยบ้าเฟรย่าเองก็คงจะวิ่งแจ้นมาช่วยเขาทันทีที่เธอรู้เรื่องนี้…
ดังนั้นท่านแน่ใจนะว่าอยากจะขวางทางแฟมิเลียอันดับหนึ่งถึงสามเพื่อรักษาเกียรติของเทพธิดาชั้นต่ำนั่นไว้?”
เพราะรู้ว่าคงจะไม่ได้คำตอบใดๆ ในตอนนี้ โอรานอสจึงนิ่งเงียบไปอีกหลายนาทีก่อนจะกลับไปสนใจดาบในมือของเฮเฟสตัส
เขาพูดอย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังดูทรงพลังเช่นเดิม
“ให้ข้าตรวจสอบอาวุธนั่นหน่อย ข้าจะใช้เรื่องนี้เป็นส่วนช่วยในการตัดสินใจด้วย”
เพราะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของแผนตั้งแต่แรก เฮเฟสตัสจึงส่ง [เลวาไทน์] ให้พร้อมกับกล่าวเตือน
“โปรดระวังด้วย เพราะเพลิงที่ดาบปล่อยออกมาจะมีแต่ผู้ถือมันเท่านั้นที่สามารถดับมันลงได้”
เมื่อได้ยินคำเตือนจากเทพสาว คิ้วของโอรานอสก็เลิกสูงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นมาจากบัลลังก์
โอนานอสเป็นเทพที่สูงเกือบสามเมตรเว้นแต่ว่าเขาจะปรับขนาดตัวลงเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมและสถานที่อื่นๆ
พอนำดาบมาถือไว้ในมือ โอรานอสก็รู้สึกชื่นชมฝีมือการออกแบบและพลังที่มันเปล่งออกมาอยู่บ้าง
ถึงสัมผัสจะเบาบางแค่ไหน แต่เขาก็ตรวจพบพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับเปลวเพลิงและความมืดแถมมันยังให้ความรู้สึกกดดันหน่อยๆ ด้วย
แม้ว่าโอรานอสจะเป็นหนึ่งในเทพที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกมนุษย์และบนสวรรค์ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึง ‘ความหยิ่งทะนง’ ที่ออกมาจากดาบเล่มนี้
พอแกว่งมันออกไป โอรานอสก็รู้สึกว่ามานาของตนหายไปบางส่วน ก่อนที่เปลวเพลิงจะหลุดออกมาจากตัวดาบและเริ่มแผดเผาพื้นหินทันที
โอรานอสลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเวทมนตร์บทต่างๆ เพื่อพยายามดับเปลวเพลิงนี้ลง
เป็นดังที่เฮเฟสตัสกล่าวไว้ไม่มีผิดเลย เพราะพลังของเขาไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเปลวเพลิงทั้งสิ้น นอกเหนือไปจากจะทำให้มันแพร่กระจายออกไปเยอะกว่าเดิม
สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องเพ่งจิตใส่ตัวดาบในมือเพื่อสั่งให้มันดับเปลวเพลิงนั้นลง
โอรานอสเริ่มเข้าใจพลังของอาวุธชิ้นนี้และความเปลี่ยนแปลงที่จะตามมาในอนาคต
แม้ว่าคงจะไม่ถึงขนาดที่โลกิกล่าวอ้าง แต่เทพกับเทพธิดาหลายองค์คงให้การสนับสนุนผู้ที่สร้างไอเท็มระดับนี้ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม โอรานอสเองก็เข้าใจว่าอาวุธในมือของเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่โลกิพูดถึงเลย
เพราะแค่เรื่องดาบก็เป็นข่าวใหญ่มากพออยู่แล้ว เขาเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าวาห์นยังซ่อนเรื่องอะไรไว้อีก
จนกว่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีขึ้น โอรานอสจึงตัดสินใจว่าการเข้าหักกับเหล่าเทพตรงหน้านั้นถือเป็นเรื่องที่โง่เขลา
เขาส่งดาบคืนให้เฮเฟสตัส ก่อนจะกลับไปนั่งที่บัลลังก์แบบเดิม
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงพลังอย่างเคย
“ก็ได้ ข้ากำลังฟังอยู่… “
(A/N: ชื่อตอนสำรอง: ‘โลกิเข้าคุมเกม’, ‘โอรานอสชอบเล่นกับไฟ’, ‘เจตนารมณ์ของเฮเฟสตัส’)