Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 199
วาห์นยังคงเดินทางต่อไปพร้อมกับคนอื่นๆ ขณะอุ้มทีน่าน้อยไว้ในอ้อมแขนโดยไม่รู้เรื่องการเผชิญหน้ากันของเหล่าเทพเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนเดินกันแบบเงียบๆ เพราะบรรยากาศที่อึมครึมมากเป็นพิเศษ
แม้แต่ซีลที่มีท่าทางร่าเริงอยู่เสมอก็ยังดูสงวนท่าทีขณะเดินนำทางต่อไปเรื่อยๆ
คนเดียวที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยก็คืออาเนีย
หญิงสาวยังคงกระซิบกระซาบกับริวเพื่อถามเรื่องต่างๆ จนทำให้เอลฟ์สาวผู้เงียบขรึมได้แต่ถอนหายใจออกมา
มิลานเดินคู่กับวาห์นขณะพยายามก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาและให้ความสนใจกับทีน่าและเด็กหนุ่มเป็นระยะๆ
วาห์นบอกได้ว่าออร่าของเธอยังคงดูสับสนวุ่นวาย ดังนั้นเขาจึงขยายพลังเขตแดนออกไปประมาณ 5 ห้าเมตรบวกกับการใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า]
ทุกคนหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงพลังงานอบอุ่นก่อนจะหันไปหาวาห์นที่กำลังมองมิลานด้วยสีหน้าเป็นกังวล
มิลานเองก็หยุดชะงักเช่นกันและหันไปเห็นสีหน้าแสนกังวลของเด็กหนุ่ม
หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่นมาก ขณะที่พลังงานยังค่อยๆ ไหลซึมผ่านอากาศและขับไล่ความหนาวเย็นยามค่ำคืนออกไป
การได้เห็นเขาโอบกอดทีน่าอย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ยังให้ความสนใจกับสภาพจิตใจของเธอด้วยนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกโชคดีอยู่บ้าง
หากไม่ใช่ว่าเพิ่งจะผ่านเรื่องเลวร้ายมาแบบสดๆ ร้อนๆ และยังรู้สึกถึงอาการปวดหลอน (Phantom Pain) อยู่ เธอก็คงจะมีความสุขแบบล้นเหลือไปแล้ว
วาห์นเห็นว่าแม้ออร่าของเธอจะทรงตัวขึ้นมาบ้าง แต่สภาพจิตใจของมิลานก็ยังดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ฟังดูหนักแน่น
“มิลาน ฉันขอสาบานว่าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อไปฉันจะปกป้องเธอกับทีน่าเอง”
มิลานเริ่มยิ้มแกมาก่อนจะพยักหน้าและเข้ามายืนใกล้กว่าเดิม
แม้จะยังเชื่อคำพูดของเขาแบบสนิทใจไม่ได้ แต่ดูจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น มิลานก็รู้ว่าวาห์นคงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาคำพูด
มิลารได้เรียนรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีก่อนหน้านี้แล้ว และมันก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของหญิงสาวเป็นอย่างมาก ทว่าเธอก็ไม่ได้กล่าวโทษวาห์นเลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความละโมบกับการตัดสินใจของเทพธิดาที่ผิดเพี้ยน
ตอนนี้มิลานรู้สึกถึงความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่าเดิมและอยากให้บุตรสาวมีความคิดแบบเดียวกัน
เธอรู้ว่าการคบหาสมาคมกับวาห์นและคนรอบๆ ตัวเขานั้นจะเป็นการรับประกันความปลอดภัยของพวกเธอได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ความคิดนั่นก็ทำให้มิลานรู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย
หากวาห์นปฏิเสธที่จะรับพวกเธอมาดูแล (และแม้หญิงสาวจะเชื่อว่าเขาคงไม่ทำแบบนั้นแน่นอน)… เธอกับลูกสาวก็จะไม่เหลืออะไรเลย
นั่นคือเหตุผลหลักที่เธอยอมรับข้อเสนอเพื่อมาอยู่และทำงานที่เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อมแทน
แม้อยากจะเชื่อมั่นในตัววาห์นจริงๆ แต่ตอนนี้มิลานก็ยังไม่พร้อมที่จะเชื่อใจผู้ชายคนไหนทั้งนั้น
พวกเขาเดินทางต่อไปจนมาถึงทางเข้าด้านข้างของตัวร้านที่อยู่ในตรอกเล็กๆ
หลังจากแลกเปลี่ยนคำพูดกันอีกเล็กน้อย วาห์นก็กอดมิลานอย่างอ่อนโยนหลังจากส่งทีน่ากลับไปให้ผู้เป็นแม่
แม้จะรู้สึกว่าร่างของหญิงสาวยังสั่นอยู่บ้าง แต่วาห์นก็ยังอยากช่วยและใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] อย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้เธอสงบลง
อาการของมิลานเริ่มดีขึ้นหลังผ่านไปไม่นาน ก่อนที่เธอจะหันมายิ้มให้และตามอาเนียเข้าไปข้างใน
ซีลยังคงอยู่ด้านนอกก่อนที่เธอจะวางมือลงบนไหล่ของวาห์น
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราดูแลพวกเธอเอง
หมั่นแวะมาเยี่ยมด้วยล่ะ… ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยนะ”
พอพูดจบแล้ว ซีลก็สวมกอดวาห์นแบบสั้นๆ ก่อนจะตามสาวๆ คนอื่นเข้าไปข้างใน
คนที่ยังอยู่ตรงนั้นก็เหลือแค่ ทีโอน่า ไอส์ นาซ่า ลิลลี่ และริวที่เริ่มเดินเข้ามาหาวาห์นจากด้านหลัง
แม้จะไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้า แต่ริวก็ยังยิ้มให้ขณะวางมือขวาบนแผงอกของวาห์น
เธอหลับตาอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกมาเบาๆ
“จังหวะหัวใจปกติดี… ไม่เป็นไรแล้วนะ
ทางเดินที่ถูกต้องน่ะมันไม่ได้เดินกันง่ายๆ หรอก
แค่จำว่าวันนี้นายช่วยชีวิตพวกเธอได้ก็พอแล้ว”
วาห์นมองเห็นออร่าของริวที่กำลังผันผวนอย่างหนัก พร้อมกับดวงตาที่ดูเศร้าเพราะเธอคงพูดเรื่องนี้จากประสบการณ์ตรง
เขารู้มาจากในมังงะว่าริวเคยอยู่ในแฟมิเลีย ‘ฝ่ายธรรมะ’ ที่มีชื่อว่าแอสเทรียแฟมิเลีย
แฟมิเลียที่ว่านี้ได้ถูกกวาดล้างจนหมดเนื่องจากแผนขององค์กรชั่วร้าย
เพื่อเป็นการล้างแค้น เธอจึงตามสังหารสมาชิกขององค์กรดังกล่าวเป็นจำนวนมากก่อนจะพลาดท่าและตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส
หากไม่ใช่เพราะซีลไปพบเข้า เธอก็คงจะได้รับจุดจบเช่นเดียวกับแฟมิเลียของตัวเองไปแล้ว
วาห์นวางมือขวาลงบนมือของริวก่อนจะพูดอย่างหนักแน่น ราวกับกำลังทำพิธีสาบาน
“มีคนมากมายเหลือเกินที่พึ่งพาฉัน… และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันต้องการ
ฉันจะไม่ยอมละทิ้งเส้นทางที่เลือกไปแล้ว… ฉันจะแข็งแกร่งกว่านี้เพื่อชะล้างความเสียใจในวันข้างหน้า
ฉันอยากเป็นแสงสว่างที่นำทางให้กับคนอื่น”
ริวยิ้มขณะเฝ้ามองฝ่ามือของพวกเขาที่กำลังซ้อนทับกันอยู่
ความแน่วแน่และจิตใจของเด็กหนุ่มนั้นเป็นดั่งภาพสะท้อนของสิ่งที่เธอเชื่อมั่นจนความปรารถนาอยากจะช่วยเหลือเริ่มผุดขึ้นมาในใจของเอลฟ์สาว
เธอเชื่อว่าวาห์นคือแสงที่จะส่องสว่างไปทั่วและอยากเห็นอนาคตที่เขาสร้างขึ้นเพื่อเบิกทางให้กับคนอื่น
แม้จะไม่ได้เดินเคียงข้างกัน แต่ริวก็ไม่รังเกียจที่จะเดินอยู่ด้านหลัง… หรือแม้แต่ด้านหน้าเพื่อช่วยปัดเป่าความมืดออกไปบ้าง
หลังจากมือของทั้งสองแยกออกจากกัน ริวก็ยิ้มให้พร้อมกับที่วาห์นมองเห็นแสงสว่างในดวงตาสีฟ้าซึ่งเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน
เธอพยักหน้าให้เด็กหนุ่มก่อนจะทำแบบเดียวกันกับสาวๆ คนอื่น
จากนั้นริวก็หันมามองวาห์นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินตามคนอื่นๆ เข้าไปในร้าน
ลิลลี่ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่ใกล้วาห์น ก่อนจะเดินมาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มด้วยท่าทางลังเล
วาห์นเห็นความกังวลบนใบหน้าของหญิงสาวตัวเล็กและจำได้ว่าเธอดูเงียบผิดปกติตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกันแล้ว
เขาเอื้อมมือออกไปลูบเส้นผมของเธออย่างอ่อนโยนและรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำแบบนี้มานานมาก
เธอยิ้มแบบเพ้อๆ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและกอดรอบเอวของเขาไว้
เนื่องจากสูงเพียง 110 ซม. เมื่อเทียบกับวาห์นที่สูง 162 ซม. ลิลลี่นั้นสูงประมาณสองในสามของเขาเท่านั้นเอง
แม้จะเคยยืนซบกับแผงอกของเด็กหนุ่มได้ แต่ตอนนี้เธอคงได้แต่พิงหัวตรงหน้าท้องของเขาแทน
วาห์นยังคงลูบเส้นผมของลิลลี่ต่อไปขณะรู้สึกได้ถึงความชื้นที่เสื้อและเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้และกอดเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม
แม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ลิลลี่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงวาห์นทุกครั้งที่เขาทำอะไรแบบนี้
นาซ่ากำลังยืนดูอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกเหงานิดๆ ขณะใช้มือขวาที่วาห์นเคย ‘ช่วย’ ไว้ออกมาเสยผมของตัวเอง
เธอเองก็เป็นห่วงวาห์นไม่แพ้คนอื่นจนถึงขั้นติดต่อกับมิอาคแฟมิเลียเพื่อขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมในกรณีที่เด็กหนุ่มหรือคู่แม่ลูกได้รับบาดเจ็บสาหัส
แม้อยากจะให้วาห์นสัมผัสและเข้าไปปลอบโยนเขาเช่นกัน แต่นาซ่าก็รู้สึกไม่สบายใจกับการแสดงความรักใคร่ต่อหน้าคนอื่น
เธอรู้ว่าทั้งทีโอน่าและไอส์กำลังคบหาอยู่กับวาห์น และความคิดที่จะไปกอดเขาต่อหน้าผู้หญิงสองคนนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
ทั้งคู่เป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจและยังสามารถบุกฝ่าเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มได้แบบสบายๆ ขณะที่เธอนั้นได้แต่รออยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวาย
เมื่อยกมาเปรียบเทียบกันแล้ว นาซ่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก ‘ด้อยกว่า’
ทีโอน่ามองเธออย่างสงสัยก่อนจะเดินเข้ามาในท่ามือไขว้หลัง
เพราะนาซ่าก้มหัวลงต่ำมาก ทีโอน่าจึงก้มให้ต่ำกว่าเพื่อที่จะสบตากับเชียนโธรปสาว
เธอยิ้มแบบรู้กันก่อนจะถามขึ้น
“แล้วเธอไม่ไปกอดวาห์นกับเค้าด้วยเหรอ?”
ไอส์เองก็กำลังมามองมาเช่นกันและไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนาซ่าต้องลังเลด้วย
เธอพูดขึ้นแบบเรียบๆ สั้นๆ ตามแบบฉบับของตัวเองขณะเอียงหัวอย่างสงสัย
“ทำไมต้องลังเล?”
ราวกับเป็นการตอบสนองคำพูดของตัวเอง ไอส์เริ่มเดินเข้าไปหาวาห์นที่ยังคงปลอบลิลลี่อยู่ก่อนจะอ้อมไปทางด้านหลังของเด็กหนุ่มแทน
เมื่อวาห์นมองข้ามไหล่มา ไอส์ก็ยื่นมือไปโอบรอบแขนของเขาแบบหลวมๆ ก่อนจะแนบตัวกับแผ่นหลังและวางศีรษะไว้บนหัวไหล่ตรงตำแหน่งที่มองเห็นนาซ่ากับทีโอน่าได้อย่างชัดเจน
เธอยิ้มและพูดขึ้นราวกับเป็นการยืนยันบางอย่าง
“รู้สึกดี…”
เนื่องจากวาห์นยังคงใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ที่ผสานเข้ากับพลังเขตแดนตั้งแต่ตอนก่อนหน้านี้ ดังนั้นยิ่งเข้ามาใกล้เขาเท่าไหร่ก็จะยิ่งรู้สึกสบายมากขึ้น
ทีโอน่าเดินลากนาซ่าที่ยังลังเลไม่เลิกเข้ามาอยู่ข้างๆ ไอส์ และแม้จะรู้สึกเสียดายหน่อยๆ แต่ไอส์ก็ยอมขยับออกจากด้านหลังของวาห์นขณะที่เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร
ถึงจะรู้สึกอึดอัด แต่ก็รู้ว่าพวกเธอแค่พยายามปลอบใจเขาหลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้
นาซ่ายังคงยืนเฉยแม้จะถูกทีโอน่าสะกิดพร้อมกระซิบเชียร์เล็กน้อย
แต่พอไอส์ทำท่าว่าจะ ‘ยึดที่คืน’ ในที่สุดเชียนโธรปสาวก็ก้าวไปข้างหน้าและคว้าแขนเสื้อของวาห์นด้วยมือซ้าย
นาซ่าค่อยๆ ก้มศีรษะลงก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอโทษนะ…”
จากนั้นเธอก็ทำคล้ายๆ กับไอส์แต่ไม่ถึงกับเข้าไปพิงแบบเต็มตัว
นาซ่ารู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของวาห์นซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าคนทั่วไปและผลจากพลังเขตแดน
เธอรู้สึกผ่อนคลายมากเมื่อได้ซบเข้ากับแผ่นหลังที่โหยหามานาน… ก่อนจะเผลอทำสิ่งที่ทุกคนยกเว้นลิลลี่ (กำลังอยู่ในโหมดโลกส่วนตัว) อึ้งไปตามๆ กัน
ดูเหมือนสัญชาตญาณของนาซ่าเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน เพราะเธอเริ่มทำจมูกฟุดฟิดขณะส่ายหางไปมา
พอผ่านไปอีกหลายอึดใจ นาซ่าก็เริ่มสงสัยว่าทำไมทุกอย่างมันดูเงียบผิดปกติ
เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าแปลกๆ ของวาห์นที่ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้แบบเดิม
จากนั้นเธอก็หันไปหาทีโอน่าที่แทบจะหลุดขำ ก่อนจะไปจบลงที่ไอส์ซึ่งกำลังมองดูหางอย่างสนใจ
“ดมกลิ่นวาห์นแล้วมีความสุขเหรอ?”
คำถามของไอส์ทำเอานาซ่าหน้าแดงจนต้องกลับไปซบแผ่นหลังและไม่ยอมตอบคำถามหรือมองหน้าใครทั้งสิ้น
เธอรู้สึกอับอายสุดๆ เพราะแม้แต่ตอนนี้ก็ยังต้องหักห้ามใจไม่ให้ดมมันต่อ
เนื่องจากวันนี้ได้ออกแรงเกือบทั้งวัน เหงื่อของวาห์นจึงชุ่มอยู่เต็มเนื้อผ้าและทำให้หญิงสาวรู้สึกหวั่นไหวหน่อยๆ
เพราะสงสัยพฤติกรรมของนาซ่ามาก ไอส์จึงเดินเข้ามาบ้างก่อนจะพบ ‘ที่ว่าง’ และยื่นหน้ามาตรงซอกคอของเขา
จากนั้นเธอก็เริ่มทำการทดลองเพื่อหาคำตอบว่าทำไมนาซ่าถึงมีอาการแบบนั้น
ไอส์ได้กลิ่นเหงื่อของวาห์นแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะดีอะไรขนาดนั้น ทว่ายิ่งดมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกติดใจขึ้นเรื่อยๆ จนไอส์เริ่มเข้าใจนาซ่าขึ้นมาบ้างแล้ว
ทีโอน่าเห็นท่าทางของไอส์แล้วก็ต้องเดินมาที่ซอกคอฝั่งตรงข้ามเพื่อ ‘ทำการทดลอง’ ดูบ้าง
ไม่นานเธอก็ยิ้มและพูดขึ้น
“มันเหมือนกลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นดิน
จริงๆ ก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก แต่ฉันว่านายกลับไปอาบน้ำก่อนเข้านอนด้วยก็ดีนะ~”
คำพูดของทีโอน่าทำให้วาห์นเริ่มหัวเราะกระอักกระอ่วน แถมเธอยังกลับลงไป ‘ทดลอง’ ต่อซึ่งสร้างความงุนงงอย่างมากให้กับเด็กหนุ่ม
พอมาถึงจุดนี้แล้ววาห์นจึงตระหนักว่าแม้แต่ลิลลี่เองก็กำลังสูดดมกลิ่นเสื้อจากด้านหน้าแบบเงียบๆ เช่นกัน
การมีผู้หญิงสี่คนเข้ามาดมกลิ่นพร้อมกันนั้นเป็นความรู้สึกที่แปลกเอามากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่วาห์นเพิ่งตระหนักได้ก็คือตอนนี้เขาไม่อาจขยับไปไหนได้เลย…
หลังจากทนกับสถานการณ์แปลกๆ นี่อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดวาห์นก็ต้องตามกระแสและเริ่มสูดดมกลิ่นกายของทั้งสี่คนเช่นกัน
(A/N: ชื่อตอนสำรอง: ‘กระทบกระเทือนทางจิตใจ’, ‘ไอส์อยากรู้อยากเห็น’, ‘เจ้าพวกคลั่งไคล้กลิ่น’)