Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 2
“นี่เราอยู่ที่ไหน…?” วาห์นกำลังคิดในใจ
“อ๊ะ เราคงสลบไปอีกแล้วสินะ” เขาพูดขณะมองไปที่เครื่องจักรที่ติดอยู่กับวาล์วที่สะโพกของเขา เขาจำวันที่มันถูกติดตั้งเมื่อหกปีที่แล้วได้ดี เหล่าแพทย์เริ่มหัวเสียกับการพยายามนำเลือดออกมาจากทางเส้นเลือดที่แขนและขาของเขา พวกนั้นจึงวางยาสลบและทำการผ่าตัดเพื่อติดกลไกที่ด้านซ้ายของสะโพกเขาเพื่อให้การนำเลือดออกมาเป็นไปได้ง่าย ตอนนี้แทนที่จะต้องติดท่อไว้ที่แขนของเขา เหล่าแพทย์แค่ต้องติดท่อลำเลียงเลือดกับตัวกลไกเพื่อนำเลือดของเขาออกมาได้อย่างรวดเร็ว เขามักกังวลว่าตัววาล์วอาจรั่วไหลออกมาและว่าถ้ามันจะได้รับความเสียหายแล้วเขาจะตายหรือเปล่า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วาห์นได้คิดเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง เด็กหนุ่มซึ่งตอนนี้อายุย่างเข้า 14 ปีแล้ว มีร่างกายที่ผอมแห้ง แม้ว่าผิวพรรณของเขาจะดูไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่แรกเกิด ตอนนี้มันกลับดูขาวซีดและไม่แข็งแรง แม้ว่าเหล่าแพทย์จะให้เขาทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงแถมยังต่อท่อสารอาหารเพื่อส่งวิตามินหลากชนิดโดยตรงเข้าสู่ร่างกายของเขา แต่มันก็ไม่สามารถซ่อนความเสียหายที่เกิดจากการทดลองต่างๆ ได้หมด
วาห์นถอนหายใจ “เดาว่าเรายังไม่ตายงั้นสิ”
เขามักคาดหวังว่าทุกครั้งที่เขาหลับนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย… เขายอมแพ้ต่อความเป็นไปได้ที่จะฆ่าตัวตายมานานแล้วเพราะพวกแพทย์คอยเฝ้าดูการกระทำของเขาอยู่ตลอดเวลา ในครั้งหนึ่ง เมื่อเขาฟื้นตัวจากการทดลองที่แสนสาหัส เขาพยายามที่จะฆ่าตัวตายด้วยการทุบหัวของตัวเองเข้ากับกำแพง น่าเสียดายที่ความพยายามของเขาจบลงอย่างความล้มเหลวและหลังจากนั้นกำแพงทุกตารางนิ้วก็ถูกบุนวมอย่างดี ในการประท้วงต่อไป เขาพยายามที่จะอดอาหารแต่แพทย์กลับแค่ฉีดยาคลายกล้ามเนื้อให้และต่อท่อเขาเข้ากับถุงน้ำเกลือที่เต็มไปด้วยสารอาหารเท่านั้นเอง
ขณะที่เขาคิดอยู่ก็มีแพทย์หญิงที่มีผมสีน้ำตาลสั้นพร้อมสวมแว่นหนาเตอะเข้ามาหาเขา “ตื่นแล้วใช่ไหมคะ? คุณเมสัน”
“ตื่นแล้วครับ คุณหมอคีนลี่ย์ ผมรู้สึกเหมือน… จะเป็นโรคโลหิตจาง ” วาห์นกล่าวด้วยวาจาที่ถากถาง
เธอยิ้มและหยิบแท็บเล็ตของเธอขึ้นมาดู “ก็ดีค่ะ ไม่ต้องกังวลหรอกนะ กระบวนการเกือบจะจบแล้ว วันนี้เธอเป็นยังไงบ้าง? “เธอแสร้งถามอย่างกังวล เธอผู้นี้ได้รับมอบหมายให้มาดูแลวาห์นหลังจากที่เขาพยายามฆ่าตัวตาย แม้วาห์นจะรู้ว่าเธอไม่ใช่เป็นเพื่อนจริงๆ ของเขา แต่เธอก็เป็นคนเดียวที่อย่างน้อยก็แสร้งปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมนุษยธรรม
“รู้สึกดีขึ้นมากแล้วครับ ผมเพิ่งจะอ่านนารูโตะเล่มล่าสุดจบไป เมื่อไหร่ถึงจะได้อ่านเล่มต่อไปเหรอครับ?“ วาห์นถามอย่างคาดหวัง เขาเริ่มสนุกกับการอ่านมังงะและดูอนิเมะในช่วงปีที่ผ่านมานี้เอง คุณหมอคีนลี่ย์แนะนำให้เขารู้จักกับสิ่งเหล่านี้เมื่อพวกเขาเจอกันครั้งแรกๆ เพื่อเป็นกลไกในการชักนำให้เขาเชื่อฟัง
“เธอคงชอบอ่านมันมากเลยสินะ อันที่… ใช่แล้ว อันที่มีเด็กนินจาผมบลอนด์ใช่ไหม? ฉันคิดว่าคำขอเพิ่งถูกส่งไปเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นอีกไม่นานก็คงได้เล่มใหม่มาแล้วล่ะ แต่แน่นอนว่าต้องเป็นหลังจากที่การทดลองครั้งหน้าผ่านไปด้วยดีนะ”
เธอมักจะหลอกล่อวาห์นด้วยวิธีนี้ประจำ มันถูกค้นพบตั้งแต่แรกเริ่มว่าสภาพจิตใจที่ดีของวาห์นมีส่วนช่วยให้คุณภาพของเลือดในระหว่างการทดสอบนั้นสูงขึ้นเล็กน้อย มันไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายนัก แต่คนกลุ่มหนึ่งในห้องทดลองได้รับอนุญาตให้สังเกตและติดตามผลข้างเคียงนี้ นั่นคงทำให้เรื่องสภาพจิตใจของเขาได้รับการเอาใจใส่มากขึ้น อย่างน้อยเราก็ได้อะไรมาแก้เบื่อแหละนะ
วาห์นพยักหน้า “แน่นอนครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด” เขายิ้มให้อย่างดีที่สุดตามที่ตัวเองซ้อมมา
“ดีมากค่ะ คุณเมสัน” เธอพูดขณะจดบันทึกลงบนแท็บเล็ตของเธอ
“ฉันจะคอยดูการทดลองในเย็นวันนี้อย่างละเอียด ตอนนี้ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันจะไปตรวจสอบเรื่องคำขอที่ฉันส่งไปสักหน่อย” เธอหันหลังกลับและเดินออกจากประตูไปพร้อมพยักหน้าให้กับยามเมื่อเธอผ่านออกไป
หลังจากที่เธอไปแล้ว วาห์นก้มหน้าลงนาบโต๊ะและพยายามจัดท่าที่นั่งสบายที่สุดในขณะที่เครื่องจักรค่อยๆ ดูดเอาของเหลวอุ่นๆ ออกจากร่างกายของเขา
“หวังว่าพรุ่งนี้คงได้เล่มใหม่มานะ… สงสัยบ่ายวันนี้คงต้องพยายามขึ้นอีกหน่อยแล้วสิ” เขาคิดกับตัวเองในขณะที่สติเริ่มเลือนลางและเข้าก็หมดสติไปอีกครั้ง แม้ว่าเขาเคยกลัวการ ‘หมดสติ’ มาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อนอนหลับผ่านขั้นตอนทดลองต่างๆ โดยเฉพาะพวกการทดลองที่นำเลือดออกจากร่างกายของเขา
ขณะที่เอนหลังลง เขาเริ่มปล่อยให้จิตใจเร่ร่อนไปยังเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้อ่านเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องที่เขาชื่นชอบมากก็คือ นารุโตะ บลีช แล้วก็ดันมาจิ (Dunge○n ni deai wo motom○ru) เขาชอบจินตนาการว่ามันจะเป็นยังไงนะ ถ้าได้ไปยังในโลกเหล่านั้น ไปให้ห่างจากเครื่องจักรและการทดลองที่แสนเจ็บปวดนี่ มีหลายครั้งที่เขาสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าที่เขาเองก็ยังไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง โดยหวังให้ความทุกข์ทรมานที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้จบลงเสียที เนื่องจากว่าเขาไม่อาจจะจบมันเองได้
ในขณะที่ภาพและสิ่งต่างๆ แล่นผ่านหัวของเขา สติของวาห์นก็เริ่มจางหายไป…
(…)
ปัง! ปัง! ปัง! ตู้ม!
ทันใดนั้นเขากลับตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน วาห์นหันหัวไปยังทิศทางของเสียงนั่น จากประตูที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการถูกจองจำของตน เขาได้ยินเสียงระเบิดและการสั่นไหวเล็กน้อย
จากการพยายามตั้งใจฟังอย่างมาก เขาได้ยินเสียงตะโกนของชายและหญิงหลายคนที่พยายามควบคุมสถานการณ์เอาไว้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ดูเหมือนจะเป็นเสียงของพวกหมอที่คอยดูเราผ่านหน้าต่างอยู่ตลอดนี่นา… แล้วนั่นมันเสียงปืนใช่ไหม?”
แทนที่จะกลัวเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นนอกห้องตัวเอง เขากลับมีความรู้สึกคาดหวัง เขามักจะได้ยินจากนักวิจัยบางคนว่ามีองค์กรต่างๆ ที่ต้องการ ‘ช่วยเหลือ’ และ ‘ปลดปล่อย’ เขา ตามข่าวลือบางอย่างที่เขาได้ยินมา นอกห้องทดลองที่หนาวเหน็บและน่าชังนี้นั้นมีคนมากมายนับไม่ถ้วนที่นับถือเขาเยี่ยงวีรบุรุษหรือพระผู้มาโปรด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเข้าใจแนวคิดของสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้า ในขณะที่นักวิจัยบางคนก็พยายามที่จะ ‘พูดปลอบใจ’ เขาโดยกล่าวว่างานวิจัยที่เขา ‘ช่วย’ อยู่นั้นได้ช่วยชีวิตคนทั้งโลกไว้มากแค่ไหน
ในขณะที่เฝ้าดูประตูอย่างใกล้ชิด เขาก็ได้ยินเสียงที่ใกล้เข้ามามากขึ้น หลังจากผ่านไปหลายนาที เสียงทุกอย่างกลับเงียบลงไปและวาห์นก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ที่เกิดขึ้นจากนอกประตู
ตุ้บ! ตุ้บ…
ทันใดนั้นรอยต่อรอบๆ ประตูก็ส่งเสียง ‘ฟู่’ และสั่นสะเทือนขึ้นซึ่งทำให้วาห์นสะดุ้งและสับสนเล็กน้อย
ขณะที่ประตูล้มลงก็มีชายกลุ่มหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสไตล์ทหารสีเข้มรีบรุดเข้ามาในห้อง พวกเขากระจายออกไปอย่างรวดเร็วและชายสองคนก็เข้ามาหาวาห์นที่ตัวยังติดอยู่กับเครื่องกลไก
แม้ยังสับสนอยู่เล็กน้อย วาห์นก็มองตรงไปที่ชายสองคนนั้น “นะ… นี่พวกคุณมาช่วยผมเหรอ?” เขาพูดตะกุกตะกักพร้อมความรู้สึกกังวลที่เพิ่มขึ้น
“เราคือหน่วยทหารจากองค์กรที่มีชื่อว่า ‘รุ่งอรุณ’ ครับ เธอคือวาห์น เมสันใช่ไหม?” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมมองไปที่กลไกที่ติดอยู่กับตัวของวาห์น
“ใช่ครับ ผมมีชื่อว่าวาห์น เมสัน แล้วพวกคุณเป็นใครกันแน่?” เขาถามอย่างตื่นเต้น
ชายคนนั้นดึงหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าครึ่งล่างของเขาลง “ฉันชื่อแม็กซ์เวลล์ และใช่แล้ว เรามาที่นี่เพื่อพาเธอหนีออกไป” เขาพูดแบบยิ้มๆ
ชายคนที่สองที่เข้าไปใกล้วาห์นเพื่อดูกลไกที่ยึดติดกับสะโพกของเขาพร้อมกับพยายามที่จะปลดมันออก เนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ เขากลับทำให้ปลายของกลไกที่ติดอยู่กับท่อนั้นหักเข้า
ทันใดนั้น เลือดก็เริ่มไหลอย่างรวดเร็วออกจากวาล์วที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้นมัน
“ไม่นะ นี่คุณทำอะไรลงไป!?” วาห์นกรีดร้องอย่างหวาดกลัวที่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ชายทุกคนในห้องหันไปหาเด็กหนุ่มที่ตื่นตกใจในขณะที่ชายที่ชื่อแม็กซ์เวลล์ก็พยายามปิดแผลอย่างรวดเร็ว เนื่องจากธรรมชาติของวาล์วและความจริงที่ว่ามันเชื่อมต่อโดยตรงกับหลอดเลือดแดงใหญ่เขา จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขัดขวางการไหลของเลือด
ภายในไม่กี่วินาทีวาห์นก็เริ่มหมดสติ ความคิดสุดท้ายที่ผ่านเข้ามาในจิตใจของเขาก่อนที่ความมืดมิดจะกลืนกินเขาก็คือการที่เขากังวลอยู่เสมอว่าวาล์วนี้คงจะฆ่าเขาเข้าสักวัน…
(…)
?
(เด็กน้อยที่น่าสงสาร)