Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 201
วาห์นตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยความรู้สึกหนักๆ ตรงหน้าอก
พอแง้มดูใต้ผ้าห่ม เขาก็เห็นว่าลิลลี่ได้เปลี่ยนตำแหน่งการนอนใหม่เป็นท่า ‘โคอาล่าเกาะต้นไม้’ แทน
เพราะว่าตัวหญิงสาวมีน้ำหนักเบามาก เขาจึงไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไหร่นัก… จะติดก็ตรงคราบน้ำลายขนาดใหญ่ที่เสื้อนี่แหละ
วาห์นหันหัวไปทางขวาและเห็นว่านาซ่านั้นนอนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
เธอยังคงนอนพิงหัวไหล่ของเขาขณะจับแขนเสื้อไว้แน่น
เนื่องจากมือขวาถูกตรึงจนขยับไปไหนไม่ได้ วาห์นจึงใช้มือซ้ายดึงลูกแก้วออกมาแทน
ก่อนจะเพ่งจิตเข้าไปในนั้น เขาก็มองไปทางหูขนาดเล็กสีขาวบนหัวของลิลลี่ก่อนจะเป่าใส่มันเบาๆ
หูเสือกระตุกหน่อยๆ ก่อนที่ลิลลี่จะหันหัวไปอีกด้านเพื่อสร้างรอยเปื้อนตรงจุดใหม่แทน
วาห์นยิ้มให้กับปฏิกิริยาของเธอ จากนั้นเขาก็เพ่งจิตใส่ลูกแก้วเพื่อไปพบกับเอวาและหาทางสงบจิตใจที่ว้าวุ่นลง
เอวานั้นเริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่เขาคาดไว้ไม่ถึงเลย เพราะหญิงสาวตัวน้อยไม่ได้ ‘ตกลงมา’ แบบครั้งก่อนๆ
เธอกำลังนั่งรออยู่ข้างๆ ในชุดเดรสแขนกุดสีขาวโดยผูกผมที่ยาวเลยสะโพกเอาไว้ด้านหลัง
เมื่อทั้งสองสบตากัน เอวาก็ถามขึ้นก่อน “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าจบไม่ค่อยสวยใช่ไหม?”
วาห์นถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงพร้อมกับที่เอวาเข้ามาซุกข้างๆ และรอฟังคำอธิบาย
วาห์นเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบเพราะสำหรับเอวานั้น ทุกอย่างได้ผ่านมา 4 ปีแล้ว
เธอนั่งฟังอย่างเงียบๆ ขณะวางศีรษะลงบนไหล่ของเขาไปด้วย
พอเล่าจบ เอวาก็ถามอย่างแผ่วเบา
“แล้วตอนนี้นายอยากทำอะไรต่อล่ะ?
อยากกลับไปฝึกตีเหล็กต่อ? หรือว่าอยากฝึกเพิ่มความแข็งแกร่งแทน?”
มาถึงตรงนี้ เอวาก็ขยับตัวออกก่อนจะแปลงเป็นร่างผู้ใหญ่และนำศีรษะของวาห์นมาไว้ในทรวงอกนุ่มนิ่ม
เธอกระซิบด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“หรือว่าอยากให้ฉันเอาใจสักหน่อย…?”
วาห์นยอมให้กอดอย่างว่าง่ายก่อนจะนำแขนมาโอบรอบเอวของเธอไว้
ทันทีที่เด็กหนุ่มกอดตอบ เอวาก็เริ่มลูบผมของเขาอย่างแผ่วเบาโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง วาห์นก็ถามอย่างเหม่อลอย
“เอวา ฉันไม่แน่ใจเลยว่าจะทำยังไงต่อดี…
ฉันอยากจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ใช้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่ก็ยังอยากทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเฮเฟสตัสโดยเร็วที่สุดด้วย”
วาห์นถอนหายใจใส่หน้าอกคู่งามก่อนจะเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“ฉันอยากเป็นวีรบุรุษ… เป็นแสงสว่างที่ช่วยนำทางผู้คนให้ออกจากความมืดมิด… แต่เอาจริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไง
คนอื่นบอกให้ฉันเป็นตัวของตัวเองต่อไป แต่ทุกอย่างที่ทำอยู่มันเหมือนการเตะถ่วงไปวันๆ ซะมากกว่า
ยิ่งฉันพยายามมากเท่าไหร่ ผู้คนก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น… แต่ฉันรู้สึกว่านั่นเป็นการสร้างช่องว่างในจิตใจเพื่อรอให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมาอีก
ฉันอยากมีความสุข แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วคนอื่นต้องมาต้องมาทนทุกข์…”
ตอนนี้น้ำตาอุ่นก็เริ่มไหลลงมาตามส่วนโค้งเว้าของเอวาขณะที่วาห์นยิ่งกอดแน่นกว่าเดิม
เธอวางแก้มบนศีรษะและคอยลูบหลังของเด็กหนุ่มต่อไปเรื่อยๆ ขณะรอให้เขาใจเย็นลง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง วาห์นก็เริ่มพูดต่อ
“ฉันไม่อยากทำอะไรแย่ๆ… ไม่อยากทำตัวโหดร้าย… แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนหนทางเดียวที่จะปกป้องทุกอย่างไว้ก็คือการออกไปไล่ล่าและทำลายคนพวกนั้นแทน
วิธีเดียวที่ฉันสามารถปกป้องพวกเธอได้ก็คือทำให้ทุกคนไม่กล้าลงมือ… แต่ฉันก็ไม่อยากให้พวกเธอมาเห็นตัวเองในสภาพแบบนั้น… ไม่อยากให้ทุกคนมากลัวฉันแทน”
เอวายังคงลูบหลังของวาห์นต่อไปอีกนานพอสมควร
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยน
“นั่นคือสาเหตุที่เรื่องราวของวีรบุรุษส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมไงล่ะ…
เพราะโลกน่ะมีความมืดมนมากเกินกว่าที่คนๆ เดียวจะต้านทานเอาไว้ได้
ยิ่งนายพยายามมากเท่าไหร่ ผู้คนก็จะหวังพึ่งพลางแสวงหาความอบอุ่นและความปลอดภัยจากนายมากขึ้น
เพราะความมืดนั้นมีอยู่ในตัวทุกคน นายก็จะต้องแบกรับภาระของพวกเขารวมถึงคอยรับมือกับแผนร้ายต่างๆ ที่ตามมา…”
วาห์นฟังคำพูดของเอวาแบบเงียบๆ และรู้ว่าเธอกำลังพูดความจริง อย่างน้อยก็เท่าที่เข้าพอจับใจความได้
หากพยายามไม่สุงสิงกับใครใน ‘เรคคอร์ด’ ดันมาจิ เขาก็จะไม่ต้องมาเจอเรื่องพวกนี้… แต่ก็จะไม่ได้มีความสุขแบบที่ผ่านๆ มาเช่นกัน
ลิลลี่คงจะต้องทนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเบลล์จะมาช่วย และนาซ่าเองก็คงเสียแขนของเธอไป
เขาไม่นึกเสียใจกับการกระทำที่ผ่านๆ มา และมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่อยากจะปกป้องไว้
แต่วาห์นก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างหนักอึ้งเหลือเกิน
ถ้าไม่ใช่เพราะมี ‘ที่ระบายลับๆ’ แบบตอนนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้แค่ไหน
จู่ๆ วาห์นก็รู้สึกเหมือนตัวเบาลงไปเสี้ยววินาที ก่อนจะเริ่มได้กลิ่นหอมแปลกใหม่
เขายกหัวขึ้นจากหน้าอกของเอวาและสังเกตเห็นว่าหญิงสาวได้เคลื่อนย้ายเตียงมายังสวนที่เธอทำขึ้นภายในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา
ต้นไม้ที่ทั้งคู่ปลูกเมื่อนานมาแล้วได้เติบใหญ่ขึ้นพอสมควร และรอบๆ ช่างดูเหมือนเป็นสรวงสวรรค์ซึ่งถูกจัดเรียงอย่างประณีตพร้อมด้วยลำธารสายเล็กๆ ที่เอวาทำเองกับมือ
เอวาลูบแก้มของวาห์นและมองเขาอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอนกายไปข้างหน้าและจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก
วาห์นนิ่งไปพักหนึ่งแต่ก่อนจะได้ทันจูบตอบ เธอก็ขยับออกไปแล้ว
พอเห็นปฏิกิริยานั่น เอวาก็ยิ้มๆ และพูดขึ้นบ้าง
“วิธีแก้ปัญหาน่ะง่ายนิดเดียว และฉันมั่นใจว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่นายเคยคิดไว้แล้วแต่ลืมไปเพราะมัวแต่คิดอย่างอื่น…”
วาห์นหันมาตั้งใจฟังขณะรอให้เธอพูดต่อ
เอวาหัวเราะให้กับท่าทางกระตือรือร้นนั่นขณะเริ่มอธิบาย
“นายมีคนพร้อมช่วยแบ่งเบาภาระอยู่รอบตัวตั้งมากมายไม่ใช่เหรอ?
แทนที่จะพยายามแบกทุกอย่างไว้เอง นายน่าจะฝากฝังบางเรื่องให้กับคนที่นายไว้ใจได้แทน
…เหมือนกับแบบที่ฉันกำลังช่วยนายอยู่นี่ไง
ฉันมั่นใจว่าคนอื่นๆ เองก็พร้อมทำแบบนี้เหมือนกัน
นายเองยังชอบพูดเรื่องที่เฮเฟสตัสอะไรนั่นคอยช่วยเหลืออยู่บ่อยๆ เลยนี่นะ”
คำพูดของเอวาทำให้วาห์นเริ่มนึกถึงผู้คนมากมายในชีวิตและตระหนักว่ามีคนจำนวนมากที่พยายามทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น
ที่จริงแล้ว วาห์นแทบนึกไม่ออกเลยว่ามีใครบ้างที่ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยตอนที่ตนกำลังลำบาก
ความช่วยเหลือจากทุกคนและความตั้งใจของตัวเองที่อยากให้ทุกคนมีความสุข… นั่นคือสิ่งที่ขับเคลื่อนวาห์นมาโดยตลอด
ขณะที่เขานึกย้อนไปถึงความสัมพันธ์ต่างๆ เอวาก็พูดต่อ
“ฉันคิดว่าปัญหาใหญ่ๆ เลยก็คือนายยึดติดกับเรื่องตอบแทนพวกเธอมากเกินไปหน่อย
ถ้าเปลี่ยนไปเรียนรู้ที่จะทำงานและคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นายก็จะสามารถป้องกันจุดอ่อนและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ลงได้
นายไม่ต้องไปเผชิญหน้าทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวหรอก…”
ตอนนี้เอวากลับไปใช้ร่างปกติอีกครั้งก่อนจะคลานมาที่ตักของวาห์นและหันหน้าออกโดยพิงหลังไว้กับแผงอกของเด็กหนุ่ม
เธอหันหัวไปด้านข้างพร้อมกับเอียงตัวและจูบที่คางของวาห์นก่อนจะพูดต่อ
“นายคงรู้ดีนะว่าฉันพึ่งพาช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมากแค่ไหน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในทุกๆ 4 ปีสำหรับฉันก็ตาม
นั่นเป็นเพราะสิ่งที่นายมอบให้ตั้งมากมาย และสิ่งที่เราเผชิญร่วมกันที่ทำให้ฉันสามารถไปต่อและหยุดการสลายตัวของมิตินี้ลงได้
ฉันคิดว่าถ้านายเรียนรู้ที่จะพึ่งพาคนอื่นแบบที่ทำกับฉัน ชีวิตของนายคงจะง่ายขึ้นเยอะ”
วาห์นไตร่ตรองคำพูดของหญิงสาวไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเพื่อคลายความเหนื่อยล้า
เขาเริ่มกอดเอวาอย่างแนบแน่นจนไม่เหลือที่ว่างใดๆ ระหว่างทั้งสอง ก่อนจะอ้อมหน้าไปจูบริมฝีปากเรียวบางของเธอ
เพราะเอวากำลังหันข้างอยู่ วาห์นจึงไม่ต้องทำอะไรมากขณะจูบเธอแบบนั้นไปเกือบนาที
เมื่อการจูบสิ้นสุดลง วาห์นก็จ้องมองดวงตาสีฟ้าของเอวาและกระซิบเบาๆ
“จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำให้… ฉันรู้สึกว่าคงต้องตอบแทนเธอหน่อยแล้วล่ะ”
เอวาเริ่มหัวเราะอย่างซุกซนขณะเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของเด็กหนุ่ม
“พูดผิดอีกแล้วนะ เจ้าลูกศิษย์งี่เง่า…
ต้องบอกว่า ‘เราต้องช่วยกันทำให้อีกฝ่ายมีความสุข’ ต่างหากล่ะ
ความใกล้ชิดที่นายแสดงออกมา… ฉันจะ ‘สนองคืน’ ให้อย่างสาสมเลย
ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็จะต้องสร้างความสุขให้มากขึ้นเรื่อยๆ… สร้างมันไปด้วยกัน”
เพื่อตอบสนองต่อคำพูดของเธอ วาห์นจึงใช้มือลากไปตามหน้าท้องของหญิงสาวและรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของมานาอย่างแผ่วเบาขณะที่ชุดสีขาวค่อยๆ สลายหายไป
วาห์นถอดชุดของตนออกบ้าง ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มแสดงความรักใคร่แก่กันอย่างนุ่มนวลและไม่รุนแรงแบบที่ผ่านๆ มา
ทั้งสองเข้าสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายและค้นพบสิ่งใหม่ๆ มากมายซึ่งก็สร้างความสุขอย่างล้นเหลือ… ให้กับทั้งคู่
เมื่อวาห์นเดินออกจากสวนขณะที่เอวาหลับไปแล้ว เขาก็รู้สึกสดชื่นมากเป็นพิเศษ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเอวานั้นอ่อนแอต่อการลูบไล้แบบอ่อนโยนมากกว่าการกระตุ้นอย่างรุนแรง
หลังจากกอดร่างเล็กเอาไว้และปล่อยให้หญิงสาวดูดเลือดได้ตามสบาย เธอก็ผลอยหลับขณะที่เขาลูบเส้นผมสีทองไปเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าเมื่อความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่รู้สึกตื่นเต้นหนัก เอวาก็ต้องให้เขาช่วยจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นแทน
เนื่องจากว่าเขา ‘ไม่มีเบรก’ กับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก ความรู้สึกของหญิงสาวจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งใบหน้าของเธอเกือบจะเป็นสีแดงเข้มและวาห์นรู้สึกว่าแทบจะมีควันออกมาจากหูนั่นเต็มทีแล้ว
และเพราะนี่เป็นปฏิกิริยาที่ผิดแผกไปจากพฤติกรรมซุกซนปกติ เขาจึงตาม ‘เอาใจ’ เธอมากเกินไปหน่อย
วาห์นพบ (ไร้นาม) กำลังนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้และสังเกตเห็นว่าร่างกายของมันแทบไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
นอกเหนือจากอายุที่เพิ่มขึ้น มันก็ไม่มีความแตกต่างจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วเลย
พอเห็นวาห์น เจ้า (ไร้นาม) ก็ลุกขึ้นจากพื้นและวิ่งเหยาะๆ มาทางเขาแบบโซซัดโซเซ
วาห์นใช้เคลื่อนย้ายในพริบตาเพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องวิ่งต่ออย่างน่าสงสาร
เพราะไม่มีความสามารถด้านเวทมนตร์อยู่เลย (ไร้นาม) จึงไม่สามารถดูดซับมานาบางส่วนจากอากาศได้ และต้องคงสภาพร่างกายด้วยการกินวัตถุดิบต่างๆ ที่วาห์นทิ้งไว้ให้เอวาใช้ทำอาหาร
ถึง (ไร้นาม) จะดูไม่น่ารักเท่าไหร่ แต่วาห์นก็ปฏิบัติกับมันอย่างรักใครแถมยังเกาใบหูขณะเติมพลังงานให้มันด้วย
(ไร้นาม) ดูเหมือนจะซาบซึ้งกับการกระทำของเขามาก และเด็กหนุ่มเพิ่งจะรู้ในภายหลังว่าเอวานั้นดูแลมันได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก
ถึงจะพยายามทำดีด้วยและเลี้ยงดูไม่ให้มันอดตาย แต่เธอก็ยังไม่ชอบหน้าตาของมันอยู่ดี
เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับมันได้แบบฟาฟเนียร์ ทั้งเธอกับเจ้าโคโบลด์จึงแทบจะ ‘ต่างคนต่างอยู่’ ในตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
หลังจากเติมพลังงานจนเต็มแล้ว วาห์นก็มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานโดยมี (ไร้นาม) คอยเดินตามต้อยๆ
วาห์นยอมให้มันทำตามใจชอบเพราะคิดว่าคงไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไรนัก และเขาแค่ต้องสั่งให้มันอยู่ห่างจากเตาไฟเล็กน้อยเท่านั้นเอง
น่าประหลาดใจมากเพราะแม้จะไม่มีคำสั่งของวาห์น (ไร้นาม) ก็ไปยืนอยู่บนพื้นห้องทำงานของเอวาขณะเฝ้ามองเขาทำงานอย่างเรื่อยเปื่อย
ถ้าเป็นสุนัขทั่วไปล่ะก็ การกระทำของมันนั้นคงจัดได้ว่าน่ารักมาก
แต่วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ เมื่อมีสุนัขคล้ายมนุษย์มานอนเท้าคางเฝ้าดูเขาอย่างสนใจ
วาห์นรู้สึกมุ่งมั่นว่าเมื่อใช้ [ผู้ดูแลบันทึกแห่งนภา] ได้เมื่อไหร่ เขาก็จะตั้งชื่อที่ทำให้ (ไร้นาม) ดูเท่มากกว่าเดิม… หรืออย่างน้อยก็ดูดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ (TL: ดูรูปได้ที่อัลบั้มนะครับ)
วาห์นคิดไว้บ้างแล้วว่าจะใช้ชื่อ [เฟนเรียร์] โดยอิงจากตำนานที่คล้ายกับของฟาฟเนียร์
แต่เขาก็ยังสองจิตสองใจว่าการนำชื่อของสิ่งที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น ‘ตัวทำลายล้าง’ มาตั้งชื่อให้ลูกน้องนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีจริงหรือเปล่า
ฟาฟเนียร์เองก็ดู ‘ชั่วร้าย’ มากพอแล้ว หากมีหมาป่า ‘ผู้กลืนกินโลก’ มาร่วมวงด้วย… วันที่ผู้คนจะเรียกเขาว่าราชันปีศาจนั้นคงใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว