Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 206
หลังจากร่ำลากันอย่างสวยงามแล้ว วาห์นก็รีบเผ่นออกไปจากที่นั่นก่อนที่สึบากิจะตั้งตัวได้
เขานึกถึงครั้งก่อนที่ร่ำลากันเพราะรู้สึกว่ามันคล้ายกันมากจริงๆ
พอตัวต้นเหตุหนีออกไปนอกระยะโจมตีประชิด สึบากิก็เริ่มหายจากอาการมึนงงและนำค้อนคู่ใจขึ้นมาถือไว้
เธอเล็งอย่างแม่นยำและขว้างออกไปด้วยความเร็วเหนือเสียงก่อนที่มันจะลอยเฉียดหัวของวาห์นไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
วาห์นหลบค้อนได้อย่างง่ายดายเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีอะไรลอยตามมาแน่ๆ แต่เขาก็ต้องเหงื่อตกเมื่อเห็นรอยร้าวบนกำแพงที่เป็นรูปคล้ายใยแมงมุม
เขารีบเปลี่ยนเป็นร่างพยัคฆ์ขาวก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาใกล้เคียงและหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
สึบากิดูเหมือนจะ ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ แต่ทุกคนก็มองเห็นใบหน้าสีแดงก่ำได้อย่างชัดเจนซึ่งเจ้าตัวก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองค้อนกลับมา
สาวๆ ต่างรีบเบือนหน้าหนีทันที เว้นก็แต่อนูบิสที่กำลังหัวเราะขณะเอามือป้องปาก
“ได้ข่าวว่ามีเรื่องตอนคุยกันด้วยงั้นเหรอ?
เธอก็น่าจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วนะว่าต้องโดนแบบนี้
ยิ่ง ‘ใหญ่ที่สุด’ แบบเธอ… ไม่โดนทำให้พิการทั้งวันก็ดีแค่ไหนแล้ว”
สึบากิขมวดคิ้วพลางใช้สีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองมายังหางที่กำลังส่ายไปมาแบบเรื่อยๆ ของอนูบิส
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนที่เธอจะแอบเดินมาข้างหลังและใช่ฝ่ามือตบเข้าที่แก้มก้นของเทพธิดาแบบเต็มรัก
อนูบิสส่งเสียงร้องออกมาทันที แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่ามันมีบางอย่าง ‘ทะแม่งๆ’ แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั่นด้วย ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวเขินจนหน้าแดง
สึบากิเริ่มกลับมาหัวเราะแบบปกติได้อีกครั้งพลางพูดแซวเทพสาว
“ของเธอก็ใช่ย่อยนี่! แถมยัง… ชอบแบบแรงๆ ด้วยสินะ~”
เพราะไม่รู้จะรับมือกับคน ‘เปิดเผย’ แบบสึบากิยังไงดี อนูบิสจึงขอตัวกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับนานูอย่างรวดเร็ว
นาซ่าและลิลลี่สบตาและพยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจว่า ‘ต่อไปห้ามแหย่สึบากิตอนที่เธอกำลังเขินอยู่เด็ดขาด’
ถึงจะดูไม่เจ็บอะไรนัก แต่เสียงจากการตบก็ดังมากและทำให้คนเดินผ่านไปมาแถวนั้นพากันหันมามองอย่างสงสัย
—
พอหนีตายออกมาจนอยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้ว วาห์นก็กลับสู่ร่างปกติและหดขนาดของพลังเขตแดนลงให้เหลือเพียง 5 เมตรรอบตัว
แม้จะเป็นเขตแดนขนาดเล็ก แต่มันก็จะสามารถตอบสนองต่อการโจมตีจากนักผจญภัยเลเวล 5 ได้อย่างแน่นอน
นับตั้งแต่การซุ่มโจมตีครั้งล่าสุด วาห์นก็เปิดมันไว้ตลอดเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ในทำนองเดียวกัน
แม้จะเป็นการดึงดูดสายตาของเทพหรือเทพธิดาที่เดินผ่านไปมา แต่ตราบใดที่บีบอัดพลังให้เล็กที่สุด วาห์นก็คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ตอนนี้เองที่วาห์นตระหนักเป็นครั้งแรกว่าตนไม่มีบ้านให้กลับไป
เขาเกิดความคิดเล็กๆ ว่าจะกลับไปอยู่ในถ้ำกลางป่าและพักที่นั่นสักสองสามวัน แต่ความคิดนั่นกลับหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อภาพของทีน่าและมิลานปรากฏขึ้นมาในใจ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเฮสเทียและโครงสร้างแฟมิเลียที่เขาต้องคิดไว้ล่วงหน้าด้วย
วาห์นจะเป็นสมาชิกคนแรกในฐานะกัปตันแถมยังต้องรับหน้าที่รวบรวมและเกณฑ์สมาชิกในช่วงแรกๆ
เขาคิดว่ากว่าเบลล์จะเดินทางเข้าเมืองมาในอีก 2 ปี เฮสเทีสแฟมิเลียก็คงจะกลายเป็นองค์กรขนาดย่อมๆ ไปแล้ว
วาห์นคิดถึงขั้นที่จะทำให้มันกลายเป็นแฟมิเลียระดับ A หรือ S เพื่อเป็นตัวช่วยดึงดูดสมาชิกในอนาคตอีกด้วย
เพราะความคิดต่างๆ ในหัว เขาจึงเริ่มสงสัยว่าควรจะซื้อที่อยู่ตอนนี้เลยหรือว่าจะรอไปเดินหาพร้อมกับเฮสเทียดี
วาห์นรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวต้องได้คอย ‘ตามเอาใจ’ เทพตัวเล็กแน่นอน แต่เขาก็อยากให้เวลานั้นมาถึงเร็วๆ เช่นกัน
ไม่ว่าจะต้องลำบากแค่ไหน เขาก็ไม่หนักใจเลยสักนิดเพราะเฮสเทียนั้นเป็นตัวละครที่ตนชื่นชอบไม่ต่างไปจากเอน่า
ถึงจะไม่ได้รู้สึกหลงรักหรืออยากเขาหาเธอในทำนองแบบนั้น แต่พอนึกถึงเรื่องที่คุยกับโลกิและเทพธิดาคนอื่นๆ วาห์นก็รู้ว่าตนอาจเป็นฝ่ายโดนเข้าหาเสียเอง
แม้เฮสเทียจะชอบเบลล์ในมังงะ แต่วาห์นก็อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเองอย่างอิสระและพยายามไม่ไปกังวลกับเรื่องพวกนั้น
สิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดก็คือความคิด การกระทำ และความรู้สึกของผู้คนรอบตัวในปัจจุบัน
เขาอาจจะไม่ได้เป็นฝ่ายทำอะไรเกินเลยเฮสเทีย แต่วาห์นคาดว่าพวกเขาน่าจะใกล้ชิดกันมากหากดูจากนิสัยส่วนตัวของเธอเอง
ในฉากส่วนใหญ่นั้น นอกเหนือจากตอนที่เธอทำงานพิเศษหรือเป็นตัวดำเนินเนื้อเรื่อง เฮสเทียก็จะพยายามเข้าไปเกาะแกะเบลล์อยู่ตลอด
ความรู้สึกผิดนิดๆ มลายหายไปแทบจะทันทีกับที่มันผุดขึ้นมาเพราะวาห์นเชื่อว่าเขาได้เปลี่ยนชะตากรรมของทุกอย่างในเรคคอร์ดนี้ไปหมดแล้ว
เฮสเทียจะอยู่กับคนที่เธอเลือกเองและหากคนๆ นั้นคือวาห์น เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรอยู่แล้ว
กว่าเบลล์จะเดินทางมาที่นี่ก็คงอีกประมาณ 2 ปี และวาห์นไม่คิดว่าการฝืนชะตาให้บางอย่างตรงตามเนื้อเรื่องหลักนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสม
เขาหมั้นกับเอน่าไปแล้วและยังได้มีประสบการณ์อันลึกซึ้งกับตัวละครสำคัญอย่างไอส์และทีโอน่าอีกด้วย
นั่นยังไม่รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซีลและริว
วาห์นจึงสรุปได้สั้นๆ ว่าตนคงไม่ต้องมารั้งรออะไรเพื่อใครอีกแล้ว
ถ้าเขาปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ลิลลี่ก็จะต้องทรมานไปอีก 2 ปี และทีโอน่าคงจะกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก
น่าซ่าจะเสียแขนไปและคงกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่ขณะเฝ้าดูแฟมิเลียของตัวเองล่มสลายไปกับตา
ส่วนสึบากินั้นก็คงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตที่เหลือ
เพราะวาห์นให้ความสำคัญกับพวกเธอแต่ละคนมาก เขาจึงไม่รู้สึกเสียใจเลยกับสิ่งที่ทำไปแล้วและจะพยายามทำต่อไปให้ดีที่สุด
วาห์นรู้ว่าเบลล์เองก็มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนให้เข้าหาเช่นกัน เขาก็เลยไม่ค่อยกังวลกับอนาคตของ ‘มือใหม่ตัวน้อย’ (Little Rookie) เท่าไหร่นัก
เขาตั้งใจว่าจะผูกมิตรกับตัวเอกหนุ่มและช่วยทำให้เบลล์เติบโตจนได้เป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง
(TL: สอนเรื่องผู้หญิงให้หน่อยก็ดีนะ ซุสมันสอนอะไรมาก็ไม่รู้ บ้าๆ บอๆ)
ถึงเฮเฟสตัสจะไม่ได้เป็นคนตีอาวุธให้แบบในมังงะ แต่วาห์นนี่แหละจะเป็นคนจัดหาทั้งอาวุธและอุปกรณ์ให้ด้วยตัวเอง รวมถึงการใช้อิทธิพลและอำนาจที่มีเพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มด้วย
เบลล์สามารถติดตามโลกิแฟมิเลียได้ตั้งแต่ในช่วงแรกเริ่มและยังมีโอกาสได้ฝึกกับยอดฝีมือจากแฟมิเลียอันดับหนึ่งแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง วาห์นก็ตัดสินใจไปพักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘คมเขี้ยวหมูป่า’ ซึ่งอยู่ใกล้กับใจกลางเมือง
เนื่องจากเขาต้องไปๆ มาๆ หลายแห่ง ที่นี่จึงถือว่าเหมาะสมมาก
เขาจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์แม้คาดว่าจะได้อยู่แค่สามวันเท่านั้น
อย่างน้อยหญิงสาววัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของโรงแรมก็จะได้รับค่ามัดจำที่เหลือเป็นโบนัสพิเศษ
เมื่อหาที่พักพิงเรียบร้อยแล้ว วาห์นก็มุ่งหน้าไปยัง ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เพื่อเยี่ยมมิลานและทีน่า
นอกจากนี้เขายังอยากทานอาหารกลางวันกับโคลอี้และคอยตามใจเธอให้มากเป็นพิเศษกว่าเดิม
แม้วางแผนจะเพลาๆ เรื่อง ‘ตอบแทนคนอื่น’ แต่วาห์นก็ยังอยากตามดูแลเธออยู่ดี
ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นหนี้เธอ แต่เพราะเขารู้สึกมีความสุขมากจริงๆ ตอนได้มาอยู่ด้วยกัน
นอกจากนี้เขายังอยากได้ยินเรื่องอดีตของโคลอี้และเชื่อว่ามันน่าจะเป็นหนทางที่ทำให้ค่าความชื่นชอบของเธอขึ้นมาเต็มร้อยแบบคนอื่นเขาบ้าง
ถ้าได้รู้ความปรารถนาในหัวใจของเธอ วาห์นรู้สึกว่าเขาจะเข้าใกล้วิธีที่จะช่วยดึงเธอออกจากความมืดได้อีกก้าวหนึ่ง
เมื่อมาถึงด้านนอกร้าน วานห์ก็ต้องประหลาดใจเพราะมีร่างเล็กวิ่งผ่านประตูออกมาก่อนจะโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
แม้จะเปลี่ยนไปสวมชุดพนักงานเสิร์ฟของ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ แต่วาห์นก็จำทีน่าได้ทันที ก่อนจะเข้ารับเธอไว้โดยไม่สูญเสียสมดุล
เด็กสาวเข้ามาซุกหัวกับแผงอกของเขาและทำให้วาห์นนึกถึงท่าทางของลิลลี่เอามากๆ
เขาลูบหัวเบาๆ ก่อนจะปล่อยให้เธอลงไปยืนเอง
แต่ถึงจะกลับไปยืนบนพื้นแล้ว ทีน่าก็ยังคงเกาะติดราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป
วาห์นรู้สึกเจ็บปวดกับท่าทางนั่นเพราะมันดูห่างไกลจากพฤติกรรมปกติของเธอมาก
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ฉันอยู่นี่แล้ว” เขาลูบหลังพลางพูดด้วยเบาๆ
ทีน่าไม่ได้เงยหน้ามามองแต่กลับกำลังจะร้องไห้ออกมาแทน
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“พอตื่นขึ้นมา นายก็ไม่อยู่แล้ว ฉันฝันร้ายด้วย…”
ร่างกายของเธอเริ่มสั่นเทิ้มและทำให้วาห์นรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังแตกสลายลง
เขาพยายามปลอบเธอต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
“ฉันเป็นคนอุ้มเธอมาตลอดทางเลยนะ แล้วก็คอยดูเธอกับแม่ของเธอด้วย ที่นี่ปลอดภัยมาก และฉันจะเยี่ยมบ่อยๆ…”
มือที่อยู่รอบเอวของเขาเริ่มโอบแน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับที่ทีน่าเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วย
“เราควรจะได้อยู่ด้วยกัน… ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่
ถึงทุกคนจะดีกับฉันมาก แต่ฉันก็อยากอยู่กับนายมากกว่า
ให้แม่ไปอยู่กับเราด้วยนะ… เราจะได้อยู่อย่างมีความสุข…”
น้ำตาของทีน่าเริ่มไหลออกมาไม่หยุดขณะที่คำบอกเล่าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นคำวิงวอนแทนแล้ว
วาห์นคุกเข่าลงพร้อมกอดเด็กสาวอย่างใกล้ชิดแม้ว่าพวกเขาจะกำลังเป็นที่ดึงดูดสายตาไปทั่วก็ตาม
มิลานเองก็เดินออกมาจากด้านในพร้อมกับซีลที่ยืนอยู่ข้างๆ
ทั้งสองแสดงสีหน้าเศร้าใจขณะมองดูวาห์นที่กำลังเฝ้าปลอบทีน่า
พวกเธอรู้ว่าเด็กสาวนั้นแสร้งทำตัวเข้มแข็งและพยายามบริการลูกค้าอย่างดีที่สุดแล้ว แต่พอจับกลิ่นของวาห์นได้ ความเข้มแข็งทุกอย่างก็มลายหายไปก่อนที่เธอจะวิ่งออกจากร้านจนด้านในเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย
วาห์นมองไปรอบๆ พร้อมอุ้มทีน่ามาไว้ในอ้อมแขนและหันไปถามซีล
“ฉันขอใช้ห้องประจำได้ไหม?”
ซีลยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่เธอกับมิลานจะเดินตามวาห์นเข้าไปในห้องส่วนตัวที่เขาลงจองไว้แบบถาวรในช่วงมื้อกลางวัน
เมื่อมาถึงบูธ วาห์นก็จับทีน่านั่งตักและใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อช่วยทำให้เธอสงบลง
จากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกสาวๆ ฟัง และพยายามทำให้ทีน่าเข้าใจว่าตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เขาพูดให้กำลังใจทีน่าและบอกว่าเธอเองก็ต้องคอยดูแลมิลานด้วย ขณะเดียวกันก็บอกให้เธอคอยเรียนรู้และฝึกงานกับพวกสาวๆ คนอื่นในร้าน
แม้จะไม่รู้เรื่องราวของแต่ละคนแบบละเอียดนัก แต่วาห์นก็รู้ว่าพวกเธอต่างมีอดีตอันน่าเศร้าหรือผ่านโศกนาฏกรรมเลวร้ายมาก่อน
มิลานนั้นต้องการเวลาและไม่อยากสุงสิงกับผู้ชายมากนัก เธอจึงรับหน้าที่เป็นพนักงานในครัวขณะที่ทีน่าพยายามรักษาความมีชีวิตชีวาเอาไว้โดยทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มและของทานเล่น
แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่วาห์นก็โน้มน้าวให้ทีน่าอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวภายใต้การดูแลของมิลานและซีล
บรรยากาศดูเศร้ายิ่งกว่าเดิมเมื่อมีมิลานเข้ามานั่งด้วยก่อนที่เธอจะเริ่มร้องไห้อยู่ภายในอ้อมแขนของเขา
ซีลนั้นได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เธอพยายามพูดปลอบใจคู่แม่ลูกขณะทำให้วาห์นสัญญาว่าจะต้องมาทานอาหารที่นี่บ่อยๆ จนกว่าจะหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งได้
วาห์นพยักเห็นด้วยและบอกเรื่องที่ตนจะเข้าร่วมกับเฮสเทียแฟมิเลียในอีกสามวันข้างหน้า
คำพูดของเขากระตุ้นให้มิลานถามขึ้นมาว่าเธอจะสามารถเข้าร่วมแฟมิเลียนี้ด้วยได้หรือเปล่า
ทีน่านั้นอยากเข้าร่วมด้วยเช่นกันซึ่งวาห์นก็พยักหน้ารับและพูดเสริม
“ก่อนอื่นฉันคงต้องเพิ่มความปลอดภัยให้กับแฟมิเลียสักหน่อยน่ะ
เริ่มจากการเกณฑ์นักผจญภัยเลเวลสูงให้ได้ก่อน”
หากทั้งสองอยากเข้าร่วมแฟมิเลียตอนนี้เลย วาห์นก็แนะนำให้ไปที่โลกิแฟมิเลียก่อน
เนื่องจากเขากับโลกิแฟมิเลียคงจะได้ไปสำรวจดันเจี้ยนด้วยกันเกือบตลอดหลังครบกำหนด 1 ปี
ทีน่าปฏิเสธทันทีและบอกว่าจะเข้าร่วมกับแฟมิเลียที่มีเขาเท่านั้น ทว่ามิลานคิดอยู่พักหนึ่งก่อนตัดสินใจว่าการตามไปอยู่แฟมิเลียเดียวกับที่น่าอาจจะเป็นการดีที่สุด
จากมุมมองของหญิงสาว ทันทีที่วาห์นกลายมาเป็นกัปตันของแฟมิเลีย มันก็จะช่วยรับประกันความเป็นอยู่ของเธอและลูกสาวให้มั่นคงยิ่งขึ้น
แม้จะไม่ชอบคิดในแง่มุมนี้โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวาห์น แต่เหตุการณ์จากคืนที่ผ่านนั้นทำให้เธอต้องยอมรับกับความเป็นจริง
เพราะเกือบปล่อยให้ให้ทีน่ากลายเป็นเด็กกำพร้า เธอจึงคิดทำทุกวิถีทางเพื่อรับประกันอนาคตและความปลอดภัยของลูกสาวโดยไม่สนใจว่ามันจะฟังดูแย่หรือเห็นแก่ตัวแค่ไหนก็ตาม
หลังตกลงกันได้แล้ว วาห์นก็ทานอาหารกลางวันกับทั้งสองพร้อมให้ทิปหนักเป็นพิเศษเพื่อเป็นการชดเชยให้กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
ซีลรับหน้าที่ดูแลบูธในวันนี้และบอกสิ่งที่วาห์นกำลังสงสัยอยู่ราวกับอ่านใจเขาออก
เธอบอกว่าโคลอี้ได้มาขอลาหยุดไว้เมื่อตอนเช้ามืด
เธอออกไปจัดการเรื่องต่างๆ มากมายในช่วงกลางดึกและอยากพักฟื้นเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำงานวันพรุ่งนี้
วาห์นรู้สึกประหลาดใจที่ซีลรู้เรื่องนี้แบบหมดเปลือก แต่หญิงสาวก็อธิบายว่ามันเป็น ‘หน้าที่’ ของเธออยู่แล้ว
เธอรู้ความเป็นมาของสาวๆ แต่ละคนเป็นอย่างดีและมักพยายามทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะราบรื่น
เหตุผลเดียวที่พูดเรื่องนี้ให้วาห์นฟังก็เพราะเธอ ‘เชื่อใจ’ เขาและรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มกับโคลอี้
วาห์นเริ่มกล่าวขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทั้งหมดที่เธอหยิบยื่นให้จนซีลนั้นนิ่งไปพักหนึ่งขณะจ้องมองใบหน้าของเขา
ก่อนที่วาห์นจะได้ถามอะไรออกไป เธอก็โน้มตัวมาข้างหน้าและจูบเข้าที่มุมปากของเขาเบาๆ
วาห์นได้อึ้งและไม่แน่ใจว่าเธอพยายามเข้ามาหอมแก้มหรือว่าเล็งตรงริมฝีปากแต่ดันพลาดเป้าไป
ซีลรู้สึกพอใจกับท่าทางงงๆ ของเด็กหนุ่มก่อนจะหัวเราะเบาๆ และพูดแหย่เขา
“คิดมากทำไม ต่อไปเราก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่~?
ฉันเองก็รู้สึกหลงใหลไปกับ ‘แสงสว่าง’ ของนายเหมือนกันนะ อย่าลืมซะล่ะ…”
หลังมื้อกลางวันจบลง มิลานก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองขณะที่ทีน่านั้นถูกส่งกลับไปพักที่ห้อง
นั่นทำให้วาห์นได้อยู่กับซีลตามลำพังและหญิงสาวก็กำลังเดินออกไปอย่างมีความสุขหลังจากแกล้งเขาได้สำเร็จ
การกระทำของเธอทำให้วาห์นรู้ว่าโคลอี้คงพูดทุกอย่างให้เธอฟังแน่นอน
ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอุโมงค์ รวมถึงเรื่องที่เขาคุยกับเธอด้วย
จนถึงตอนนี้นั้นวาห์นไม่เคยคิดเรื่องอิทธิพลที่เธอมีต่อร้านแห่งนี้มาก่อนเลย
จู่ๆ เขาก็จำได้ว่าซีลมักจะได้รับการละเว้นหน้าที่หลายๆ อย่างโดยที่มามามีอาไม่เคยว่ากล่าวอะไรเธอแม้แต่ครั้งเดียว
ตอนนี้วาห์นพอเข้าใจแล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ จริงๆ นั้นน่าจะเป็นซีลมากกว่า ถึงมามามีอาจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านก็ตาม
หากวิเคราะห์ไอเท็มที่ได้รับจากภารกิจของเธอแล้ว อีกเรื่องที่เขาพอเดาได้ก็คือซีลน่าจะเป็นลูกครึ่งเทพความอุดมสมบูรณ์และมีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่อของร้านนี้ด้วยแน่นอน
วาห์นอยากรู้จริงๆ ว่าเธอจะมีสีหน้าแบบไหนหากเขาบอกเรื่องที่ตนเองก็เป็น ‘ลูกครึ่งเทพความอุดมสมบูรณ์’ เช่นกัน