Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 207
หลังออกจาก ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ก็เกือบจะบ่ายสามแล้วและวาห์นยังไม่มีแผนอะไรต่อเลย
ตอนแรกเขาคิดว่าจะไปคฤหาสน์สนธยาเพื่อพบกับทีโอน่าและไอส์ แต่นึกไปนึกมาก็คิดว่าช่วงนี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่
เพราะวาห์นเน้นฝึกทักษะต่างๆ ตอนอยู่ในลูกแก้วไปแล้ว เขาจึงเริ่มคิดอย่างจริงจังว่าควรจะทำอะไรในโลกจริงระหว่างรอเฮสเทียดี
เพราะโรงแรมที่ไปพักนั้นอยู่ใกล้กับ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ วาห์นจึงสามารถไปเยี่ยมเฮเฟสตัสและเอน่าได้แบบสบายๆ โดยที่มันจะไม่กระทบกับการไปหามิลานและทีน่า
วาห์นใช้เวลาที่เหลือในช่วงบ่ายไปกับการเดินเล่นขณะชมทิวทัศน์และแสงเสียงต่างๆ พร้อมครุ่นคิดเรื่องของอนาคต
ตอนนี้เองที่เขาเริ่มได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวเองและเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน
แม้จะถูกบังคับให้ออกจากเฮเฟสตัสแฟมิเลียไปเมื่อเช้าวันนี้ แต่ดูเหมือนข่าวลือก็กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมแล้วและเป็นประเด็นที่เผ็ดร้อนมากด้วย
ในช่วงที่ผ่านมานั้นเชื่อเสียงของวาห์นเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้จักกันดี
มีเพียงหน้าตาและรูปร่างของเขาเท่านั้นที่ดูจะไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่
แต่ว่าตอนนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าสายตาที่กำลังสอดส่องมองมาหานั้นดูต่างไปจากเดิมมาก
เพราะข่าวสารน่าจะกระจายออกไปเป็นวงกว้างและมีรายละเอียดมากกว่าเดิม วาห์นจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปเดินเล่นในร่างพยัคฆ์ขาวแทน
ถึงจะดูเด่นมากแต่คนส่วนใหญ่ย่อมมองไม่ออกแน่นอนว่านี่คือ ‘อดีต’ วัลแคน
หลังออกจากเฮเฟสตัสแฟมิเลีย ฉายาของวาห์นก็ถูกริบคืนเช่นกันและทำให้มีบางคนเรียกเขาว่า ‘ผู้ฆ่าเทพ’ แทนถึงตัวข่าวจะมีการระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ใช่ผู้ลงมือเองก็ตาม
วาห์นไม่คิดเลยว่าข่าวลือจะแพร่กระจายออกไปเร็วแบบนี้และแต่ละอย่างที่ได้ยินมานั้นฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แม้จะไม่ได้กังวลกับความคิดเห็นของคนอื่นมากนัก แต่มันก็ทำให้วาห์นรู้สึกเซ็งๆ ที่เห็นผู้คนมากมายปักใจเชื่อเรื่องนี้แม้ว่าพวกเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนยังไง
ถึงลาเวอร์น่าจะเป็นผู้นำของ ‘แฟมิเลียอาชญากรรม’ แต่วาห์นก็ยังถูกตราหน้าว่าเป็นภัยคุกคามต่อผู้อื่นและชอบกระทำการเกินกว่าเหตุ
โชคดีที่ชื่อของมิลานและทีน่าดูเหมือนจะถูกปิดเอาไว้ ขณะที่ตัวตนของผู้ฆ่าเทพตัวจริงก็ยังคงเป็นปริศนาเช่นเดิม
เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น วาห์นก็มานั่งอยู่บนอาคารสูงที่สามารถมองเห็นตัวเมืองได้เกือบทุกส่วน
ด้วยสกิลอำพรางตัวและค่าความว่องไวที่สูงมาก มีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่วาห์นไม่สามารถเข้าถึงได้และอย่างน้อยๆ สถานที่ดังกล่าวก็ต้องมีการวางข่ายเวทมนตร์ป้องกันเอาไว้อีกชั้น
ขณะที่นั่งอยู่บนอาคารสูง 7 ชั้น วาห์นก็ชมวิวเรื่อยเปื่อยขณะครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นราบและมุ่งหน้าเข้าสู่ลูกแก้ว
ภายในนั้น วาห์นใช้เวลากับเอวาและสังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
เธอไม่ได้โหยหาสัมผัสใกล้ชิดอย่างรุนแรงแบบเมื่อก่อนแต่กลับเปลี่ยนไปใช้ท่าทางให้กำลังใจแถมยังดูอ่อนน้อมลงกว่าเดิมมาก
แทนที่จะแสวงหาความสุขและความอบอุ่นอย่างไม่รู้จักพอ ทั้งสองเปลี่ยนไปนอนกอดกันอย่างสงบและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของอนาคตและปัญหาที่คาใจ
นับเป็นครั้งแรกที่วาห์นได้ยินเกี่ยวปัญหาระหว่างเอวาและ (ไร้นาม)
แม้จะพยายามปฏิบัติกับมันให้ดียิ่งขึ้น แต่เธอก็ไม่สามารถสื่อสารกับมันได้ดีนักและดูเหมือนว่าเจ้าโคโบลด์มักจะอยู่ไม่สุขหากถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง
มันเริ่มติดนิสัยขุดพืชในสวนออกมาเพื่อคลายเครียดซึ่งทำให้หญิงสาวแทบจะเป็นลมทั้งยืน
แม้จะให้อาหารมันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อเอาใจ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยจนเอวารู้สึกยอมแพ้
ฟางเส้นสุดท้ายก็คือตอนที่เธอพยายามจับมันมันอาบน้ำซึ่งนั่นกลับทำให้กลิ่นตัวของมันแย่กว่าตอนก่อนอาบเสียอีก
วาห์นเห็นว่าค่าความภักดีของ (ไร้นาม) นั้นลดลงไปมากพอสมควร แต่แล้วมันก็พุ่งขึ้นสู่ระดับปกติอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาเล่นกับมันนิดหน่อย
(ไร้นาม) คงรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ในมิติแห่งนี้ แต่อย่างน้อยมันก็มีท่าทางดีอกดีใจทันทีที่เขามาอยู่ใกล้ๆ
มีความผูกพันและการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณบางอย่างที่ทำให้ลูกน้องและผู้เป็นนายคู่นี้เข้าใจกันเป็นอย่างดีแถมยังสื่อสารกันได้ด้วย
โดยส่วนตัวนั้นวาห์นไม่เคยคิดดูถูกมันเลย แถมเขายังเอ็นดูมันอย่างจริงใจด้วย
แม้ (ไร้นาม) จะไม่ได้ดูเท่หรือว่ากันตรงๆ ก็คือ ‘อัปลักษณ์’ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบละเลยผู้ติดตามของตัวเองไม่ว่าผู้ติดตามคนนั้นจะเป็นใครหรือตัวอะไรก็ตาม
ตั้งแต่ที่ (ไร้นาม) กลายมาเป็นลูกน้องและนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสหายที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกยาว วาห์นจึงอยากให้มันมีความสุขมากกว่านี้
แม้จะช่วยได้ไม่มากนัก แต่เขาก็ซื้ออาหารมื้อใหญ่ออกมาเลี้ยงมันพร้อมกับปลอกคอติดป้ายชื่อทองคำ (ยังไม่ได้สลักชื่อ)
ดูเหมือนว่ามันจะมีความสุขมากและพยายามเลียมือของวาห์นอย่างรักใคร่อยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปลูบหัวให้แทนเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นปากของมัน
เมื่อถึงเวลาอาบน้ำ เอวาก็บังคับให้วาห์นล้างมือหลายต่อหลายรอบและยังขู่ว่าถ้าลืมล้างมือหลังเล่นกับ (ไร้นาม) ในอนาคตล่ะก็… อย่าหวังว่าจะได้แตะต้องตัวเธออีกเลย
วาห์นหมายมั่นว่าจะหาชื่อที่ดีให้กับ (ไร้นาม) แน่นอน ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมันกลับเป็นก้อนคริสตัลและนำไปเก็บไว้ในช่องเก็บของ
เอวาดูเหมือนจะรู้สึกดีขึ้นแม้ต้องอยู่คนเดียวเพราะวาห์นได้มอบทั้งหนังสือและไอเท็มอีกเพียบไว้ให้เธอใช้ฆ่าเวลา
เท่านั้นยังไม่พอเพราะเขายังซื้อวัสดุก่อสร้างที่มีมูลค่าเกือบ 100,000 OP เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยพูดเรื่องอยากสร้างปราสาทสักหลัง
เอวาใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างและดูแลสวนที่พวกเขาปลูกขึ้นมาด้วยกัน วาห์นจึงคิดว่าเรื่องนี้น่าจะทำให้เธอสนใจไปได้อีกนาน
พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกหลายชั่วโมงโดยที่เอวาดูตื่นเต้นมากขณะพูดคุยเรื่องการปราสาทแบบต่างๆ จนสรุปกันออกมาได้ว่าจะออกแบบให้มันเหมือนปราสาทใน ‘เทพนิยาย’
ย้อนกลับไปที่โลกจริง วาห์นรู้สึกดีขึ้นมากหลังได้ใช้เวลากับเอวาภายในลูกแก้ว
เขากลับไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เพื่อทานอาหารเย็นกับทีน่าและมิลานและได้พูดคุยสั้นๆ กับริวก่อนจะเตรียมกลับโรงแรม
วาห์นค่อนข้างประหลาดใจเพราะเอลฟ์สาวดูเหมือนจะสนใจอยากเข้าร่วมแฟมิเลียด้วยเมื่อเขาอธิบายแบบแผนและโครงสร้างของแฟมิเลียให้เธอฟัง
วาห์นไม่รู้เลยว่าริวนั้นได้ตกลงปลงใจไปแล้วว่าจะสนับสนุนเขาพร้อมกันกับสมาชิกคนอื่นๆ ในร้านอย่างโคลอี้และซีล
สามสาวได้ตกลงกันแล้ว (แบบไม่บอกวาห์น) และตัดสินใจว่าพวกเธอจะช่วยขยายเครือข่ายข้อมูลของวาห์นและพยายามจัดการเรื่องบางเรื่องเองเพื่อปกป้องวาห์นจากการตัดสินใจแย่ๆ และคอยขจัดเสี้ยนหนามบางส่วนออกไปแบบเงียบๆ
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เขาก็รู้สึกเหงาแบบประหลาดๆ ขณะลงไปนอนบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย
แม้จะไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้มาก่อนแต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้นเด็กหนุ่มมักจะมีคนมานอนอยู่เคียงข้างด้วยเสมอ
พอได้นอนบนเตียงคนเดียวแบบนี้ วาห์นก็รู้สึกว่าอากาศยามค่ำคืนช่างหนาวอย่างน่าประหลาดจนต้องใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขณะชวนพี่สาวคุยเรื่องแผนการในอนาคตและแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ
จากคำแนะนำของเธอ วาห์นตัดสินใจใช้เวลาสองสามวันถัดจากนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายและปรับพื้นฐานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้จะช่วยเพิ่มค่าสถานะได้ไม่มากนัก แต่มันก็จะทำให้วาห์นเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้นและยังช่วยเสริมให้เขารองรับค่าสถานะต่อเลเวลได้มากกว่าเดิมด้วย
ไอเท็มเสริมส่วนใหญ่ที่ซื้อออกมาจากระบบนั้นเป็นตัวยาที่สามารถทานและดูดซึมเข้าร่างกายได้ทันที ซึ่งแต่ละอย่างก็ทำให้วาห์นรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ขณะที่ฤทธิ์ของมันค่อยๆ ส่งผลกับร่างกายของเขาโดยตรง
วาห์นฝืนทานจนครบทุกชนิดก่อนจะเตรียมเข้านอนและวางแผนที่จะกลับไปใช้ ‘น้ำยาเสริมแกร่งร่างกาย’ ในการอาบน้ำครั้งถัดไป
—
เวลาเช้าตรู่มาเร็วกว่าที่เขาคาดไว้และวาห์นก็ยังคงรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเช่นเดิม
เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะกลับเข้าไปในลูกแก้วใช้เวลาร่วมกับเอวาอีกครั้ง
เพราะมีเวลาถึงสี่ปีในการก่อสร้าง ตอนนี้ปราสาทขนาดย่อมๆ ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วและเอวายังขยายกำแพงของบ้านและสวนออกมาอีกและเปลี่ยนให้มันกลายเป็นลานบ้านขนาดใหญ่แทน
สิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของวาห์นมากที่สุดก็คือรูปปั้นต่างๆ ที่เอวานำมาวางประดับไว้รอบๆ สถานที่
แค่เห็นรูปปั้นอันแรก สมองของวาห์นก็พลันขาวโพลนทันทีเพราะมันคือรูปปั้นสูง 5 เมตรของตัวเขาเองขณะกำลังโพสท่าฮีโร่และอุ้มเอวาเอาไว้ในอ้อมแขน… โดยที่ทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
แม้จะเป็นงานฝีมือที่งดงามจนน่าเหลือเชื่อ แต่วาห์นก็รู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เห็นรูปปั้นของตัวเอง
วาห์นคิดว่าเอวานั้นทำรูปปั้นออกมาได้ดูดีกว่าตัวจริงมาก… มากจนเขารู้สึกกดดันไปกับความรู้สึกคาดหวังของเธอ
เนื่องจากมิติแห่งนี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้น หญิงสาวจึง ‘จัดเต็ม’ และไม่รู้สึกเขินอายที่จะนำงานศิลปะต่างๆ ออกมาแสดงซึ่งส่วนใหญ่ก็มีวาห์นและตัวเธอเองเป็นแบบแทบทั้งสิ้น
มีรูปภาพหลายรูปที่แสดงภาพของทั้งสองกำลังนั่งอย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม
ในขณะที่รูปอื่นๆ ยังแสดงฉากแสนแปลกประหลาดที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์แบบเคียงบ่าเคียงไหล่
ยังมีพื้นที่ในปราสาทบางส่วนที่เอวาประกาศให้เป็นเขตหวงห้ามและไม่ให้วาห์นเข้าไปโดยเด็ดขาดซึ่งเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกลืนน้ำลายอึกใหญ่และตกปากรับคำ
นับเป็นเรื่องดีที่เขายอมฟังเธอเพราะของที่อยู่ในนั้น… เรียกได้ว่าสามารถทำให้ของที่เอามาตั้งแสดงด้านนอกดู ‘เบา’ ไปเลย
เธอเห็นการตอบสนองของวาห์นต่อผลงานชิ้นต่างๆ จนเริ่มจิตตกและไม่กล้าโชว์ ‘ผลงานชิ้นเอก’ ที่เก็บรักษาเอาไว้ในพื้นที่ดังกล่าว
เมื่อถึงเวลาที่วาห์นต้องออกไปข้างนอก ความคิดของเขาก็ปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิมมากแถมยังได้ฝึกฝีมือการหลอมสร้างให้ก้าวหน้าขึ้นอีกหน่อยด้วย
เขาได้รับคำแนะนำจากพี่สาวว่าให้ลองใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อช่วยในการสร้างไอเท็ม
วาห์นจึงลองปรับใช้มันและฝึกวิธีนี้ดู แต่น่าเสียดายที่วิธีนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานสิ้นเปลืองมากจนเขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่และยังสร้างไอเท็มเวทมนตร์ออกมาไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เมื่อกลับมาที่โลกจริง วาห์นก็แช่น้ำที่ผสมกับ [น้ำยาเสริมแกร่งร่างกาย] ก่อนจะนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงที่ต้องไป ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เพื่อทานมื้อกลางวัน
เพราะตัวร้านจะเปิดตอนสิบโมงเช้า พวกเขาจึงไม่มีบริการอาหารเช้า
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือทางร้านต้องใช้เวลาทำความสะอาดนานพอสมควรหลังจากเปิดให้บริการถึงดึกดื่น
ทีน่านั้นนั่งทานอาหารบนตักของวาห์นแบบไม่ลุกไปไหนเลย ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าเธอกำลังมีพฤติกรรมคล้ายกับลิลลี่ในช่วงแรกๆ ที่อยากพึ่งพาคนอื่นมากเป็นพิเศษ
มิลานดูสงวนท่าทีมากกว่าแต่ก่อน แต่เธอก็ยังมานั่งข้างๆ เขาและเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารด้วยกัน
วาห์นคิดถึงนิสัยขี้เล่นและชอบหยอกล้อของเธอมากและหวังว่าหญิงสาวจะกลับมาร่าเริงได้อีกครั้งในเร็วไวเพราะนั่นจะเป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของทีน่าไปในตัวด้วย
ในช่วงมื้อกลางวันนี้เองที่วาห์นได้พบกับโคลอี้อีกครั้งทว่าเธอกลับทำตัวสุภาพและเอาการเอางานมากเพราะมีมิลานและทีน่าอยู่ด้วย
วาห์นรู้สึกเสียใจหน่อยๆ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมานั้นทำให้เขาอยากเป็นฝ่ายตามเอาใจเธอมากกว่า
โคลอี้เป็นคนที่รู้ใจวาห์นดีอยู่แล้ว เธอสังเกตเห็นทันทีว่าเขาอยากจะทำอะไรและเริ่มพูดจาหยอกล้อทันทีที่มิลานและทีน่ากลับไปทำงานต่อ
โคลอี้เข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มซุกซนขณะลูบหน้าอกและหน้าท้องของวาห์นอย่างสนุกสนาน
วาห์นเริ่มตอบโต้ด้วยการกอดรัดเอวบางและพยายามจะเข้าจูบ แต่เธอก็เพียงก้มหัวลงเล็กน้อยและทำให้วาห์น ‘พลาดเป้า’ ไปโดนหน้าผากแทน
หญิงสาวมนุษย์แมวได้แต่หัวเราะขำขันด้วยน้ำเสียง ‘เนียะฮะฮ่า’ เหมือนอย่างเคย
วาห์นยิ้มให้กับความขี้เล่นนั่นและสวมกอดเธอไว้แบบนั้นอีกครู่หนึ่งจนโคลอี้เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง โคลอี้ก็กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้านายยังอยากรู้เรื่องของฉัน… เดี๋ยวคืนนี้จะไปหาที่โรงแรมนะ… เราจะได้คุยกันไง~เมี๊ยว”
คำพูดนั่นทำให้วาห์นรู้สึกจั๊กจี้ตรงส่วนหูก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
พอหันไปสบตาด้วย เขาก็เห็นทั้งแววตาแห่งความกังวลกับออร่าที่สั่นไหวไปมา
วาห์นถอนหายใจข้างในเพราะรู้ว่าเธอต้องรู้แน่ๆ ว่าเขากำลังรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน
เขาถามกลับแบบเบาๆ
“นี่หน้าฉันมันอ่านออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
คำพูดของเด็กหนุ่มเทำให้โคลอี้หัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะวางมือบนแก้มของเขา
เธอกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เบามากจนใครก็ตามที่อาจแอบฟังอยู่แถวนั้นก็คงไม่มีทางได้ยิน
“ง่ายยิ่งกว่าง่ายอีกนะ~เมี๊ยว แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในข้อดีของนายเหมือนกัน… เพราะมันทำให้คนอื่นรู้ว่าเชื่อใจนายได้และเข้าใจว่านายกำลังรู้สึกยังไง
คืนนี้อย่าลืมปลดล็อคที่หน้าต่างด้วยล่ะ~เมี๊ยว”
วาห์นยิ้มและกอดเธออย่างแนบแน่น ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของโคลอี้อีกครั้งและนำหน้าผากของตนเองมาพิงด้วย
การเฝ้ามองเธออย่างใกล้ชิดทำให้วาห์นรู้ว่าไม่มีอะไรจะมาขวางกั้นพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ได้
เขารู้สึกว่าโคลอี้เป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตและอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้เพื่อที่ทั้งสองจะได้สนิทกันมากขึ้น
“ฉันจะรอนะ…”