Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 208
การกล่าวอำลาอย่างสนิทสนมหลังจบมื้อกลางวันนั้นทำให้วาห์นรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อต้องกลับไปทานอาหารเย็นที่นั่นอีกครั้ง
เขาใช้เวลาภายในลูกแก้วตามปกติและเกือบลืมไปซะสนิทว่าต้องไปหามิลานละทีน่าตามแผนที่วางเอาไว้
เมื่อได้พบกันอีกครั้ง โคลอี้ก็เริ่มหัวเราะหลังเห็นท่าทางเขินอายของเด็กหนุ่ม
ขณะกำลังเสิร์ฟอาหารให้กับทั้งสาม เธอก็ยังคงหยอกล้อเขามากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีมิลานและทีน่าอยู่ด้วยก็ตาม
เมื่อวาห์นออกมาจากร้านและกลับไปที่โรงแรม เขาก็รู้สึกตึงเครียดอยู่บ้างขณะรอคอยใครบางคนอยู่ภายในห้องพักและเฝ้ามองที่หน้าต่างเป็นครั้งคราว
การเย้าแหย่ของโคลอี้ทำให้เขารู้สึกประหม่าหน่อยๆ เกี่ยวกับการมาเยี่ยมเยือนของเธอจนได้แต่นอนดิ้นไปมาอยู่หลายชั่วโมง
ขณะนอนเล่นอยู่บนเตียงนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่ากว่า ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ จะปิดก็ดึกเอาเรื่องและโคลอี้คงต้องทำงานอยู่ที่นั่นจนถึงตอนนั้น
เนื่องจากยังมีเวลาอีกสองสามชั่วโมง วาห์นจึงตัดสินใจงีบสักครู่โดยเปิดพลังเขตแดนทิ้งเอาไว้
วาห์นสามารถแยกแยะออร่าของโคลอี้จากคนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจะรู้ตัวทันทีที่เธอมาถึง
—
พอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตี 2 วาห์นก็ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไปรับโคลอี้ที่กำลังพยายามแอบย่องเข้ามาทางหน้าต่าง
เมื่อเห็นวาห์นออกมาเปิดหน้าต่างให้ทันทีที่เธอกำลังจะเข้าไป โคลอี้ก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนจะต้องล้มเลิกแผนแกล้งที่คิดเอาไว้
หลังจากมองไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง หญิงสาวก็เดินไปนั่งที่เตียงและถอดเสื้อคลุมด้านนอกออกขณะถามขึ้น
“นี่นายมารอฉันอยู่ตรงหน้าต่างตลอดเลยเหรอ~เมี๊ยว?”
เพราะมาพร้อมชุดที่ใส่ออกไป ‘ทำงานตอนกลางคืน’ โคลอี้จึงสะบัดรองเท้าบูทออกก่อนจะเริ่มนั่งไขว่ห้างแทน
วาห์นส่ายหัวเป็นการตอบก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมพร้อมรอยยิ้ม
“ตอนแรกก็ใช่อยู่หรอก แต่พอจำได้ว่าที่ร้านเลิกดึกขนาดไหนก็เลยงีบไปพักนึง”
วาห์นนำสกิลอำพรางออกจากพลังเขตแดนและลดขนาดของมันลงมาให้ครอบคลุมแค่ในห้องจนโคลอี้ต้องเลิกคิ้วและถามต่อ
“นี่นายซ่อนสัมผัสของพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยเหรอ?
เป็นสกิลที่มีประโยชน์จังเลยนะ เห็นแล้วอิจฉาเลยล่ะ~เมี๊ยว”
วาห์นหัวเราะให้กับคำถามนั่นก่อนจะมานั่งลงข้างๆ และเตรียมฟังเรื่องราวของเธอ
โคลอี้ไม่ได้เริ่มเล่าในทันทีทันใด เธอถอดถุงมือและหย่อนมันลงบนพื้นก่อนจะตามมาด้วยเสื้อสีน้ำเงินเข้มที่ซ่อนหน้าอกขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเอาไว้ภายใต้บราสีดำเรียบๆ
วาห์นค่อนข้างประหลาดใจกับการกระทำดังกล่าวจนกระทั่งหญิงสาวนอนคว่ำลงบนเตียงก่อนจะถอดบราออกไปเช่นกัน
ตอนนี้บนเรือนร่างของโคลอี้เหลือเพียงแค่กางเกงขาสั้นสีขาวและถุงน่องสีดำเท่านั้น
เธอจ้องมองวาห์นด้วยแววตาเปล่งประกายและดูซุกซนมากกว่าครั้งไหนๆ
วาห์นโดนเรือนร่างเพรียวบางและและหางแมวสีดำที่ส่ายไปมาอยู่เหนือกางเกงขาสั้นของหญิงสาวเข้าเล่นงานอย่างจัง
ใบหน้าของเขาแทบจะส่ายไปตามจังหวะของหางราวกับถูกมันสะกดจิตจนเธอต้องร้องเรียกเพื่อทำให้เขาตื่นจากภวังค์
โคลอี้หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ได้ยินว่านายนวดเก่งมากเลยนี่ ถ้างั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับเรื่องราวในอดีต นายก็มานวดเอาใจฉันหน่อยละกันนะ~เมี๊ยว”
ข้อต่อรองนั่นทำให้วาห์นยิ้มแฉ่งและกล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าให้ฉันนวดแบบปกติ เธอจะไม่เหลือแรงไว้ขยับปากด้วยซ้ำ~”
คำเตือนนั่นทำให้ดวงตาของโคลอี้หรี่ลงเล็กน้อย
หลังไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดต่อ
“ฟังดูน่าสนใจมากเลยนะ~เมี๊ยว
งั้นรอบนี้ก็ออมมือให้หน่อยละกันนะ~เนียะฮะฮ่า”
วาห์นพยักหน้าก่อนจะวางมือบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าทันที
แม้จะงดใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมวิธีนวดตามไปด้วย
จริงอยู่ที่มันอาจดูไม่เห็นผลเท่ากับการใช้สกิลควบคู่กัน แต่ทักษะของเขาก็ยังเทียบเคียงกับหมอนวดมืออาชีพได้แบบสบายๆ
โคลอี้ดิ้นไปมาเล็กน้อยขณะหัวเราะอย่างร่าเริงเหมือนอย่างเคย
ดูเหมือนเธอจะเพลิดเพลินไปกับการนวดมากจนวาห์นรู้สึกมั่นใจในทักษะของตัวเองยิ่งกว่าเดิม
การเห็นผู้ถูกนวดมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้โดยไม่ต้องพึ่งพา [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] นั้นทำให้เขารู้สึกพึงพอใจกับความก้าวหน้าของตัวเองมาก
วาห์นยังคงวาดลวดลายบนแผ่นหลังของโคลอี้และบรรเทาความตึงเครียดสะสมในร่างกายของเธอได้อย่างแม่นยำ
เขาประหลาดใจกับความแข็งของจุดต่างๆ บนร่างบางซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าโคลอี้ใช้งานมันอย่างหนักตลอดทั้งวัน
ขณะที่วาห์นนวดต่อไปอย่างจริงจัง โคลอี้ก็ให้ความสนใจกับสีหน้าของเด็กหนุ่มและวิธีเขาปฏิบัติกับเธอ
หญิงสาวรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นว่าวาห์นไม่ได้ขาดสติทันทีที่เธอถอดบราออกและปล่อยให้เขานวดได้ตามใจชอบ
แม้จะไม่ได้ห่วงเรื่องนี้มากนัก แต่โคลอี้ก็กังวลว่าวาห์นอาจยังพึ่งพาเรื่องใต้สะดือมากเกินไปจนต้องมาทดสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ทว่าในตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะทำตัวเป็นปกติพร้อมดูแลร่างกายของเธออย่างทนุถนอมและมีสมาธิมากจนไม่หลุดอาการน่าเป็นห่วงใดๆ ออกมาเลย
ทันใดนั้นโคลอี้ก็เริ่มรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นและเพลิดเพลินไปกับการนวดวาห์นอย่างแท้จริง
มันเป็นความฝันของเธอที่จะมีเด็กหนุ่มมาตามปรนนิบัติและถึงแม้ว่าวาห์นจะโตเร็วมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังอยู่ในแบบที่เธอชอบแบบพอดีๆ
ตอนนี้เขากำลังตามเอาใจเธออย่างช่ำชอง โคลอี้เลยรู้สึกเหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความฝันที่น่ารื่นรมย์ราวกับสิ่งทีโหยหามานานกำลังถูกเติมจนเต็ม
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ วาห์นก็เริ่มคิดว่าโคลอี้อาจผล็อยหลับและลืมจุดประสงค์ของการมาเยือนในครั้งนี้ไปแล้ว
เนื่องจากต้องเข้าสู่ลูกแล้วในอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เขาจึงอยากฟังเรื่องราวของเธอก่อนจะเข้าไปอยู่ในมิติขาวดำนานถึง 3 วัน
เขาเห็นว่าเธอมีสีหน้าผ่อนคลายมากและดูใกล้จะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราเต็มทีแล้ว
มันไม่เหมือนกับตอนที่คนอื่นๆ หมดสติหลังผ่านการนวดอย่างเต็มรูปแบบเพราะโคลอี้นั้นดูผ่อนคลายอย่างแท้จริง
วาห์นรู้สึกอยากแกล้งเธอเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ดังนั้นเขาจึงลากนิ้วโป้งผ่านบริเวณโคนหางที่ติดกับแผ่นหลังส่วนล่างของเธอ
สติของโคลอี้กลับเข้าร่างทันทีก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของวาห์นด้วยความสงสัยและดันข้อศอกขึ้นเล็กน้อยเพื่อหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อตระหนักว่าเขาทำอะไรลงไป โคลอี้ก็แสดงรอยยิ้มซุกซนที่ดูเหมือนเป็นการเย้าแหย่วาห์นแบบตรงๆ
วาห์นยิ้มตอบขณะเปลี่ยนตำแหน่งการวางนิ้วและกลับไปดูแลแผ่นหลังที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเล็กน้อยตามเดิม
ตอนที่เธอหันหลังกลับ วาห์นก็เผลอไปเห็นจุดสีชมพูบนทรวงอกคู่งามที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นมาก่อน
ตอนนี้โคลอี้หลุดออกจากอาการเคลิ้มแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะแกล้งต่อและปรนนิบัติเธอต่อไปเรื่อยๆ
หญิงสาวหัวเราะคิกคักก่อนจะหันลำตัวมาทางวาห์นโดยไม่คิดจะปิดบังอะไรไว้เลย
เธอนอนหงายลงบนเตียงก่อนจะตบตรงบริเวณที่อยู่ถัดไปซึ่งวาห์นเข้าใจว่ามันเป็นการเชื้อเชิญ
เมื่อลงมานอนด้วยกันแล้ว โคลอี้ก็หันกายมาหาและเริ่มลูบแผงอกกำยำอย่างเหม่อลอยขณะจ้องมาที่ใบหน้าของเขา
ถึงเธอจะยังยิ้มอยู่แต่วาห์นก็สังเกตเห็นความเศร้าในดวงตานั่นพร้อมกับออร่าที่ผันผวนหน่อยๆ
เขาแทรกมือเข้าไปใต้ร่างบางและดึงหญิงสาวเข้ามากอดจนหน้าอกของทั้งสองแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันขณะที่โคลอี้ยังคงจ้องมาที่ใบหน้าโดยไม่สนใจอย่างอื่น
วาห์นใช้มือซ้ายลูบใบหน้าของเธอขณะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ได้โปรดเล่ามาเถอะ… ฉันอยากจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ… ไม่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม”
คำพูดนั่นทำให้ดวงตาของโคลอี้เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เธอจะถอนหายใจและหย่อนหัวลงบนหมอนใบเดียวกับเด็กหนุ่ม
ทั้งสองเงียบกันไปพักหนึ่งและแล้วโคลอี้ก็เริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตกับช่วงชีวิตก่อนที่พวกเขาจะได้มาพบกัน
—
เรื่องราวของโคลอี้เริ่มขึ้นก่อนที่เธอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เธอเกิดในแฟมิเลียที่เชี่ยวชาญด้านการลอบสังหารและดูแลความปลอดภัยให้กับองค์กรอาชญากรรมต่างๆ ในจักรวรรดิที่ตั้งอยู่ทางตะวันตก
พ่อแม่ของเธอเป็นหนึ่งในผู้คุมกฎของแฟมิเลียโดยพ่อของเธอนั้นเชี่ยวชาญในการลอบสังหารเป็นอันดับต้นๆ
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่จำความได้ โคลอี้ก็เข้ารับการฝึกฝนให้เจริญรอยตามผู้เป็นพ่อและพัฒนาสกิลที่จำเป็นสำหรับการทำงานตั้งแต่ตอนอายุแปดขวบ
ในฐานะมือสังหารรุ่นเยาว์ เด็กสาวสามารถเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายและเริ่มลงมือก่อนจะมีใครไหวตัวทันเสียอีก
เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำงานได้ดี เธอก็จะได้รับคำชมเชยจากผู้เป็นพ่อและสมาชิกคนอื่นๆ ในแฟมิเลีย
ถึงแม่ของเธอจะต่อต้านเรื่องที่ลูกสาวต้องไปเผชิญหน้ากับอันตรายตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักและไม่อาจเปลี่ยนความคิดของใครได้เลย… แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นสามีของตัวเองก็ตาม
โคลอี้เป็นนักฆ่าที่มีพรสวรรค์และเรียนรู้สกิลใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วจนแทบไม่มีงานไหนเลยที่เธอทำพลาดพลั้ง
เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองผิดปกติมากแค่ไหนและยังคงสังหารเป้าหมายต่อไปเรื่อยๆ อย่างตั้งออกตั้งใจเพื่อที่จะได้รับคำชมเชยมากกว่าเดิม
เธอฝึกตัวเองให้มีนิสัยร่าเริงเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงคนอื่นและใช้ความพยายามที่เหลือในการพัฒนาทักษะต่างๆ ของนักฆ่า
ผู้เป็นแม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตใจและความสุขในอนาคตของโคลอี้มาก ดังนั้นเธอจึงเริ่มปล่อยให้โคลอี้ไปเล่นกับเด็กในวัยเดียวกันที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใกล้เคียง
นั่นเป็นครั้งแรกที่โคลอี้ได้รู้จักกับเด็กคนอื่น ความคิดของเธอจึงเริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะเล่นสนุกสนานไปวันๆ
น่าเสียดายเพราะประสบการณ์ในฐานะมือสังหารทำให้บุคลิกภาพของโคลอี้ผิดแผกไปจากคนทั่วไป
เธอพบว่ามันยากมากที่จะปรับตัวให้เข้ากับ ‘สามัญสำนึก’ ของพวกเพื่อนๆ ในตอนนั้น
เมื่อมีเด็กคนหนึ่งถูกผู้ดูแลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลงโทษอย่างรุนแรง โคลอี้จึงแอบเข้าไปในห้องของชายคนนั้นในช่วงกลางคืนก่อนจะปาดคอหอยของเขาอย่างเงียบเชียบ
เพราะคิดว่า ‘เพื่อน’ ของเธอจะมีความสุขเมื่อคนที่ลงโทษเสียชีวิตไปแล้ว โคลอี้จึงปรากฏตัวในวันต่อมาพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง
ทว่าเด็กสาวที่เธอ ‘ให้ความช่วยเหลือ’ กลับร้องไห้จะเป็นจะตายเสียแทน
นั่นเป็นครั้งแรกที่โคลอี้สังหารผู้อื่นแต่แทนที่จะได้รับคำชมเชยเหมือนเคย มันกลับไปทำร้ายคนที่เธอห่วงใยแทน
หลังจากนั้น เธอก็ไม่ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกเลยพร้อมทั้งปฏิเสธการทำภารกิจทุกชนิดอย่างไม่แยแส
ผู้เป็นพ่อรู้สึกผิดหวังมากจนถึงขั้นตราหน้าว่าเธอเป็นความล้มเหลวของตระกูล ทว่าแม่กลับปฏิบัติต่อเธอด้วยความเมตตาและคอยปลอบโยนเธอในยามค่ำคืน
สองสามปีผ่านไป โคลอี้ก็กลับมารับภารกิจอีกครั้งแต่ต้องหลังจากที่เธอตรวจสอบข้อมูลของเป้าหมายอย่างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น
เธอตระหนักแล้วว่าแฟมิเลียที่ตัวเองสังกัดอยู่เป็นองค์กรชั่วร้ายและเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือใช้สอยในการกำจัดเสี้ยนหนามตามที่เบื้องบนสั่งการลงมาเท่านั้นเอง
คนเดียวที่ดูเหมือนจะห่วงใยเธอจริงๆ ก็คือผู้เป็นแม่ที่มักจะมาปลอบโยนหลังจากที่ภารกิจลุล่วง
โคลอี้ไม่ได้ต้องการคำชมเชยจากคนอื่นอีกแล้วและรู้สึกเกลียดอาชีพของตัวเองแบบเข้าไส้
เธอต้องการเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่าฟันแต่ไม่ว่าจะพยายามมากขนาดไหน สุดท้ายเธอก็ต้องทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายอยู่ดี
เธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้มากเกินไปและยังถูกทางแฟมิเลียล้างสมองจนเกือบถึงขั้นที่กลายเป็นคนสองบุคลิก
เพราะพยายามต่อต้านและปฏิเสธภารกิจต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เธอกับแม่จึงถูกสมาชิกคนอื่นๆ กลั่นแกล้งสารพัดจนถึงขั้นแตกหักที่แม้แต่ผู้เป็นพ่อยังต้องขอหย่าร้างและไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก
หลังจากเหตุการณ์นั้น สมาชิกบางส่วนก็พยายามลอบเข้าไปในบ้านขณะที่เธอกับแม่กำลังหลับอยู่
ผู้เป็นแม่พยายามปกป้องโคลอี้อย่างสุดความสามารถจนต้องจบชีวิตลงในคืนเดียวกันนั้นเอง
ตั้งแต่นั้นมา โคลอี้ก็ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเอง
ถ้าไม่ใช่เพราะคำสาบานที่ผูกมัดเธอไว้และตราสัญลักษณ์บนแผ่นหลัง เธอก็คงหลบหนีไปจากที่นั่นนานแล้วและทิ้งฝันร้ายนี้เอาไว้โดยไม่หันกลับมามองอีก
ในที่สุดเธอก็สามารถโน้มน้าวเทพธิดาของแฟมิเลียให้ยอมปล่อยเธอไปได้สำเร็จ แต่ก่อนที่จะเป็นแบบนั้น เธอจะต้องกำจัดอัศวินมีชื่อของจักรวรรดิด้วยมีดเพียงเล่มเดียวให้ได้เสียก่อน
โคลอี้เกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพราะเป้าหมายนั้นไม่ใช่หมูๆ เลย แต่ในที่สุดแล้วเธอก็สามารถคว้าชัยชนะเอาไว้ได้เพราะอีกฝ่ายเกิดความมั่นใจมากเกินไปจนตัดสินใจผิดพลาด
เพราะเห็นว่าเธอ ‘น่ารัก’ เขาจึงอยากให้โคลอี้มาอยู่ด้วยและจะช่วยฝึกเธอในฐานะลูกศิษย์ส่วนตัว
แม้จะมีอายุเพียง 11 ปีในตอนนั้น แต่โคลอี้ก็มีความสามารถเทียบเท่ากับนักผจญภัยเลเวล 3
อัศวินหนุ่มเห็นว่าเธอน่าจะเป็นเครื่องมือชั้นดีที่เขาสามารถอบรมสั่งสอนยังไงก็ได้ตามที่ตนเองเห็นสมควร
โคลอี้แสร้งทำเป็นยอมจำนนต่อเป้าหมายและคำสั่งแรกที่ได้รับก็คือให้เธอถอดเสื้อผ้าออกจนหมดและทิ้งมันไว้เบื้องหลังเพื่อที่เธอจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่และอุทิศกายให้ ‘อาจารย์’ แต่เพียงผู้เดียว
เขาบอกว่านับจากนี้ไป เธอจะต้องทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง สวมใส่สิ่งที่เขาซื้อมาโดยไม่ปริปากบ่น และใช้ชีวิตตามที่เขากำหนดให้เท่านั้น
โคลอี้ตกปากรับคำทุกอย่างและเริ่มถอดเสื้อผ้าออกขณะที่ชายหนุ่มมองมาด้วยรอยยิ้ม ‘ชั่วร้าย’
ทันทีที่เอื้อมมือลงมาและดึงกางเกงชั้นในลงไปที่พื้น โคลอี้ก็หยิบมีดขึ้นมาด้วยก่อนจะพุ่งเข้าไปเสียบคอหอยของเป้าหมายในขณะที่เขาไม่ทันระวังตัว
อัศวินหนุ่มเผยสีหน้างุนงงก่อนจะหงายหลังล้มลงกับพื้นพร้อมกับโคลอี้ที่ยังนั่งอยู่ด้านบน
สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนสติจะจางหายไปในความมืดก็คือร่างเล็กๆ ในสภาพเปลือยเปล่าของโคลอี้ที่ชุ่มไปด้วยเลือดและใบหน้าสะอิดสะเอียนแบบสุดๆ
หลังจากเหตุการณ์นั้น โคลอี้ก็ขึ้นเป็นนักผจญภัยเลเวล 4 อย่างเป็นทางการและได้รับการผ่อนผันให้ออกจากแฟมิเลียตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก
จากนั้นเป็นต้นมา เธอก็เดินทางไปทั่วพื้นทวีปจนกระทั่งมาถึงโอราริโอ้ในอีก 1 ปีให้หลัง
พอได้เข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว โคลอี้ก็ประสบปัญหากับการหางานทำเพราะเธอไม่นึกอยากเป็นนักผจญภัยเพื่อตะลุยเข้าไปในดันเจี้ยนเลยสักนิด
ไม่นานเด็กสาวก็วนกลับไปทำเรื่องเดิมๆ อีกครั้ง
เธอเริ่มลอบสังหารอาชญากรภายใต้ฉายา ‘แมวดำ’ และกลายเป็นที่รู้จักในโลกด้านมืด
แม้จะไม่ใช่วิธีใช้ชีวิตที่ดีที่สุดแต่เธอก็ได้รับรางวัลค่าหัวมามากพอควร
จนกระทั่งมาถึงตอนที่เธอยอมรับงานลอบสังหารนักผจญภัยชั้นหนึ่งที่มีชื่อว่าชาค์ทีซึ่งเป็นกัปตันของกาเนสช่าแฟมิเลีย
มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและเธอต้องการเงินเป็นอย่างมาก ดังนั้นโคลอี้จึงยอมรับงานนี้แม้เป้าหมายจะไม่ใช่อาชญากรเหมือนทุกครั้งก็ตาม
แย่หน่อยที่ชาค์ทีนั้นแข็งแกร่งกว่าที่คาดเอาไว้มาก และโคลอี้ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดหลังเข้าปะทะกันเพียงช่วงสั้นๆ
จากนั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่รับงานลอบสังหารนักผจญภัยชั้นหนึ่งอีกเลยและมุ่งเน้นไปที่การล่าค่าหัวอาชญากรเพียงอย่างเดียว
ชีวิตของเธอดำเนินต่อไปจนกระทั่งได้รับงานๆ หนึ่งซึ่งก็คือการตามล่า ‘ริว ไลอ้อน’ ผู้มีค่าหัวถึง 80 ล้านวาลิส
ท้ายสุดแล้วภารกิจก็พลันล้มเหลวเมื่อโคลอี้ตระหนักว่าริวนั้นเป็นคนดีที่ถูกตั้งค่าหัวเพราะโดนใส่ร้ายว่าเป็นผู้สังหารสมาชิกในแฟมิเลียของตัวเอง
ทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้นหลังจากความจริงถูกเปิดเผยและลงเอยด้วยการเข้าร่วม ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ด้วยกัน
ลูนัวร์ซึ่งเพื่อนที่ดีของโคลอี้หลังจากเข้าเมืองมาได้ไม่นานก็ตามมาทำงานด้วยหลังจากทราบข่าวนี้
นานมากแล้วที่โคลอี้รู้สึกมีความสุขและสนุกไปกับการทำงานที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ แถมยังได้เข้าร่วมแฟมิเลียใหม่ที่เมเล็นเมื่อเธอไปที่นั่นพร้อมกันกับซีล
แฟมิเลียนั่นมีชื่อว่าฟยอร์ดแฟมิเลีย (Fjord Familia) และพวกเขาเชี่ยวชาญด้านการตกปลามากซึ่งเป็นสิ่งที่โคลอี้สนใจเนื่องจากอาหารจานโปรดของเธอก็คือปลานั่นเอง
แต่แม้จะพบงานที่ดีและเข้าร่วมแฟมิเลียแห่งใหม่แล้ว โคลอี้ก็ไม่อาจมองข้ามพวกต่ำช้าที่เดินลอยหน้าลอยตาไปวันๆ อยู่ได้
เธอมักจะออกไปทำงานยามค่ำคืนในฐานะนักฆ่าและรับภารกิจเพื่อตามล่าอาชญากรเป็นครั้งคราว
แม้จะเกิดปัญหาเล็กน้อยเมื่อมามามีอารู้เรื่องนี้เข้า แต่ซีลก็พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยจนโคลอี้ได้ใช้ชีวิตอยู่ทั้งในแสงสว่างและความมืดของสังคมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
—
วาห์นฟังเรื่องเล่าของเธออย่างเงียบๆ ขณะลูบหลังให้อย่างอ่อนโยน
เขาบอกได้เลยว่าการที่โคลอี้เล่าทุกอย่างออกมาให้ฟังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้เธอจะพยายามทำให้ช่วงเศร้าๆ เบาบางลงด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มก็ตามที
เมื่อเรื่องเล่าจบลงแล้ว วาห์นก็ยกคางของเธอขึ้นและจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวด้วยสีหน้าแสนเศร้า
พอโคลอี้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็พลอยหวั่นไหวไปด้วยจนดวงตาของตัวเองเริ่มเปียกชื้นนิดๆ
เมื่อเห็นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา วาห์นก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเข้าจูบที่ริมฝีปากของหญิงสาว
เธอไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านแต่อย่างใดและยังจูบเขากลับอย่างแผ่วเบาเช่นกัน
เมื่อลิ้นของเธอรุกล้ำเข้ามาในปากและซ้อนทับกับลิ้นของเขา วาห์นก็รู้สึกว่ามันให้รสสัมผัสที่ต่างไปจากผู้หญิงคนอื่นๆ ค่อนข้างมาก
เขาหยุดคิดฟุ้งซ่านและเริ่มดื่มด่ำไปกับช่วงเวลานี้ ขณะพยายามปลอบใจหญิงสาวที่ภายนอกนั้นดูแข็งแกร่งแต่กลับต้องแบกอดีตอันหนักอึ้งมานานแสนนาน
ผ่านไปอีกหลายอึดใจ ทั้งสองก็แยกออกจากกันก่อนที่วาห์นจะเช็ดคราบน้ำให้ด้วยนิ้วโป้ง
เขาจูบเธอที่หน้าผากก่อนจะพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดที่ฉันเคยรู้จักมาเลย ขอบใจนะที่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง โคลอี้…”
แม้สีหน้าของโคลอี้จะยังดูเศร้าอยู่บ้าง แต่เธอก็รู้สึกเหมือนภาระอันหนักหน่วงนั้นเบาบางลงไปเมื่อได้เล่าเรื่องนี้ให้วาห์นฟัง
การได้เห็นความใส่ใจและท่าทางห่วงใยที่เขามีให้นั้นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นลึกๆ อยู่ภายใน
เธอให้ความสนใจกับสีหน้าของเขาอยู่ตลอดเวลาที่เล่าเรื่อง และไม่มีครั้งไหนเลยที่บ่งบอกว่าเด็กหนุ่มกำลังตัดสินเธอจากเรื่องที่ทำไว้ในอดีต
แม้เธอจะสังหารคนเป็นจำนวนมากและกลายเป็นเครื่องมือสำหรับผู้อื่น แต่วาห์นก็ดูไม่สนใจเรื่องนี้แถมเธอยังดูออกว่าเขารู้สึกเห็นใจเธออย่างแท้จริง
ความอบอุ่นในร่างกายของหญิงสาวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อพวกเขาเริ่มจูบกันและโคลอี้รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า แม้จะเคยรู้สึกเกลียดชังผู้ชายมากนับตั้งแต่เหตุการณ์ลอบสังหารอัศวินหนุ่ม
หนึ่งในเหตุผลที่เธอชอบเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าก็เพราะพวกเขายังดูไร้เดียงสาซึ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนคุมเกมมากกว่าเป็นฝ่ายตาม
เพราะจำได้ขึ้นใจในตอนที่อัศวินหนุ่มแสดงสีหน้าเหยียดหยามและเห็นเธอเป็นเหมือนทรัพย์สินส่วนตัว โคลอี้จึงพยายามหลีกเลี่ยงคนที่ดูมีอายุมากกว่ามานานถึง 8 ปี
พอถูกวาห์นสวมกอดอย่างแนบแน่น ความกลัวต่างๆ ก็เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่มและได้ยินคำพูดขอบคุณนั่น ความอบอุ่นในทรวงอกก็เริ่มเข้ามาละลายหัวใจที่ถูกแช่แข็งเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
โคลอี้มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“วาห์น… ฉันว่าฉันคงตกหลุมรักนายเข้าแล้วแหละ…”