Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 210
หลังจากที่วาห์นเช็ดตัวเสร็จแล้ว เขาก็รู้สึกคันๆ ตรงหัวไหล่จนต้องหันไปตรวจสอบ
เนื่องจากเคยอ่านหนังสือนิเวศวิทยาและลักษณะของเผ่าพันธุ์ต่างๆ มาแล้ว วาห์นจึงรู้ว่าเผ่ามนุษย์แมวนั้นจะผลิตเอนไซม์ในปากเมื่อรู้สึกตื่นเต้น
เอนไซม์ตัวนี่จะทำให้แผลปิดเร็วแต่จะยับยั้งไม่ให้มันหายสนิท
นั่นคือวิธีที่เผ่าพันธุ์นี้ ‘ทำเครื่องหมาย’ โดยฝ่ายหญิงจะกัดผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองของพวกเธอ
มันจะกันผู้หญิงคนอื่นออกไปโดยเป็นการบอกกลายๆ ว่าผู้ชายคนนี้ ‘มีเจ้าของแล้ว’
เนื่องจากร่างกายของวาห์นสามารถกรองสารต่างๆ เช่นสารพิษได้ เอนไซม์ที่โคลอี้สร้างขึ้นเองก็อยู่ในสิ่งที่จะถูกกรองออกด้วยเช่นกัน
หากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ ร่างกายของเขาคงจะฟื้นตัวตามธรรมชาติและรอยแผลเป็นก็จะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง
ในขณะที่เขากำลังคิดหาทางแก้ไข พี่สาวก็พูดขัดขึ้น
(*ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก แค่พยายามคิดว่าจะเก็บรอยแผลนี่ไว้ก็พอแล้ว*)
วาห์นรู้สึกประหลาดใจที่เธอพูดออกมาตอนนี้เพราะพี่สาวมักจะเงียบตลอดเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย
ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามในใจ เธอก็อธิบายต่อ
(*จำไว้นะว่าร่างกายของเธอถูกสร้างขึ้นจาก ‘พลังงานต้นกำเนิด’ และจะปรับตัวตามความคิดกับความปรารถนาที่แท้จริงของเธอ
ตราบใดที่เธออยากเก็บมันไว้ แผลเป็นก็จะไม่หายไปไหน*)
คำพูดของพี่สาวทำให้วาห์นหน้าตื่นทันที เพราะถ้าการคาดคะเนของเขาถูกต้อง นั่นก็หมายความว่าร่างกายของเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนไปหากเขาปรารถนาให้มันเป็นแบบนั้น…
พี่สาวพูดต่อเพื่อยืนยันข้อสงสัยนั่น
(*ถูกต้องแล้วล่ะวาห์น ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ร่างกายของเธอก็จะไม่เติบโตหรือแก่ลงแบบคนทั่วไป
กายเนื้อนี่มีความใกล้เคียงกับร่างของเทพบนโลกใบนี้มาก และหากเธอต้องการ มันก็จะไม่เปลี่ยนไปมากกว่านี้อีกแล้ว*)
วาห์นจำได้ว่าตอนมาถึงโลกใบนี้ใหม่ๆ พี่สาวก็เคยแจ้งให้ทราบแล้วว่าร่างกายของเขาจะตอบสนองตามความคิดและแรงปรารถนาของตัวเอง แต่เขาไม่ได้มาสนใจหรือคิดไตร่ตรองว่ามันหมายความว่ายังไงในเวลานั้น
ตอนแรกเขานึกว่าเธอคงหมายถึงร่างกายที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่และไม่รู้ว่าผลของมันจะสืบเนื่องมาจนถึงตอนนี้
นั่นก็หมายความว่าเหตุผลเดียวที่วาห์นกำลังเปลี่ยนไปก็เพราะเขาอยากให้มันเป็นแบบนั้นเอง
ส่วนเหตุผลที่ร่างกายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วก็เพราะเขาอยากเป็นที่พึ่งพิงให้คนอื่นได้มากกว่านี้
วาห์นอยากจะยืนยันบางอย่าง เขาจึงถามพี่สาวต่อไปอีก
(“งั้นก็หมายความว่า… ผมสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายตัวเองยังไงก็ได้เหรอ?”)
พอถามออกไปแบบนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่สาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตอบกลับ
(*ต้องเป็นความปรารถนาที่แท้จริงเท่านั้นนะ
ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ล่ะก็ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ช้ามากหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย*)
วาห์นถอนหายใจโล่งอกเพราะถ้าสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองตอนไหนก็ได้ตามต้องการ เขากลัวว่าอาจจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองเมื่อเวลาผ่านไป
มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะถูกความต้องการของคนอื่นเข้าแทรกแซงซึ่งจะจะทำให้ความสัมพันธ์ต่างๆ ของเขาพัฒนาไปในทางที่พิสดารกว่าเดิม
มันสร้างความหวังเล็กน้อยให้กับวาห์นเพราะเขารู้สึกกังวลเรื่อง ‘อาวุธคู่กาย’ ของตัวเองมาโดยตลอด
หากเรียนรู้วิธีที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองได้สำเร็จ มันอาจทำให้กิจกรรมบางอย่าง ‘ง่ายขึ้น’ สำหรับเหล่าคนรักในอนาคต
เมื่อความคิดนั่นแล่นเข้ามาในหัว วาห์นก็ได้ยินเสียงหัวเราะกึกก้องอีกครั้ง
เด็กหนุ่มแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นพี่สาวเป็นแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องค้างคาที่เขาต้องถามต่อ
เพราะรู้อยู่แล้วว่าวาห์นจะถามอะไร พี่สาวจึงตอบด้วยน้ำเสียง ‘ร่าเริง’
(*นอกเหนือจากระดับของดวงวิญญาณที่เพิ่มขึ้นแล้ว อย่างอื่นรวมไปถึงระบบก็ยังเหมือนเดิมนะ
ฉันแค่หัวเราะเพราะเรื่องที่เธอกังวลมันน่ารักมากเลยล่ะ~*)
วาห์นพยายามคิดตามและอยากจะแย้งว่าแม้แต่เธอเองยังเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลย… แต่พี่สาวก็ยืนยันว่ามันเป็นผลมาจากการเติบโตทางจิตใจของเขาเท่านั้น
วาห์นจึงยอมรับคำอธิบายนั่นในที่สุดก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับโคลอี้
อาจดูเหมือนเวลานั้นผ่านไปนานพอสมควร แต่เขาก็คุยกับพี่สาวไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นในขณะที่โคลอี้ยังคงหอบหายใจและเรียบเรียงสติของตัวเองอยู่
หลังได้รับการแจ้งเตือนว่าภารกิจลุล่วงไปก่อนหน้านี้ วาห์นสังเกตเห็นว่าสายตาของโคลอี้ที่มองมาทางเขานั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ถึงค่าความชื่นชอบของเธอจะเคยหยุดอยู่ที่ 99 แต้ม ทว่ามันก็เป็นแค่ [เชื่อใจ] แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็น [หลงรัก] เมื่อค่าความชื่นชอบขึ้นมาถึง 100 แต้ม
ดูผิวเผินแล้วมันอาจต่างกันแค่แต้มเดียว แต่นี่ก็เป็นแต้มที่สำคัญเพราะมันได้เปลี่ยนความเชื่อใจให้กลายเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก
เมื่อโคลอี้ปรับลมหายใจได้แล้ว วาห์นก็ช่วยเช็ดเหงื่อตามร่างกายออกให้ก่อนที่จะลงไปนอนกอดเธออย่างสบายอารมณ์
เป็นครั้งแรกเลยที่วาห์นได้นอนกอดหญิงสาวในลักษณะนี้ ขณะที่โคลอี้เองก็ปล่อยให้เขากอดจากด้านหลังโดยไม่รู้สึกตื่นกลัวใดๆ ทั้งสิ้น
แม้พวกเขาจะสูงไม่เท่ากัน แต่วาห์นรู้สึกว่าโคลอี้นั้นตัวเล็กกว่าที่ตัวเองคาดไว้มากเนื่องจากรูปร่างผอมและเพรียวบางของเธอ
เมื่อพวกเขาได้มานอนหันข้างด้วยกันแบบนี้ นอกจากเอวที่ทำให้ส่วนโค้งเว้าต่างๆ ดูเด่นชัดยิ่งขึ้นแล้ว วาห์นยังรู้สึกว่าตัวเองนั้นสูงใหญ่กว่าเธอมาก
มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ราวกำลังใช้ร่างกาย ‘ปกป้อง’ เธออยู่ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปคนเดียวเพราะโคลอี้เองก็หลับไปอย่างรวดเร็วหลังจากนำหางไปพันไว้ที่ขาของวาห์น
พอหญิงสาวทำแบบนั้น วาห์นก็รู้ตัวกว่าเขาคงต้องติดอยู่ในท่านอนนี้ไปตลอดคืน ราวกับเธอกำลังห้ามไม่ให้เขาขยับหรือลุกหนีไปไหนเด็ดขาด
เขาหัวเราะในใจ ก่อนจะวางหัวไว้ใกล้เรือนผมสีดำและเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมของมัน
เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าท่อนบน วาห์นจึงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากแผ่นหลังของโคลอี้บวกกับการที่พวกเขากุมมือกันไว้ด้วย
เนื่องจากเรื่องเล่าของโคลอี้นั้นยาวมาก มันจึงเลยเวลาปกติที่วาห์นควรจะเข้าสู่ลูกแก้วไปแล้ว แต่เขาเชื่อว่าเอวาคงจะเข้าใจ (หลังถูกเกลี้ยกล่อมในรูปแบบต่างๆ)
วาห์นรอให้เสียงลมหายใจของโคลอี้ฟังดูสม่ำเสมอก่อนจะนำลูกแล้วออกมาถือไว้ในมือและเพ่งจิตเข้าไปในนั้น
—
เอวากำลังรอคอยการมาถึงของเขา แต่เธอก็ไม่ได้โกรธอะไรนักเพราะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกจริงบ้าง
ถึงจะรู้สึกเคืองหน่อยๆ เมื่อรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนอื่น แต่แวมไพร์สาวก็ไม่ได้ปริปากบ่นและเพียงให้วาห์นทำดีกับเธอมากเป็นพิเศษตลอดช่วง 3 วันนี้
พวกเขาใช้เวลาผ่อนคลายในสระน้ำที่เธอสร้างขึ้นภายในตัวปราสาทและวาห์นยังสัญญาว่าจะหาวิธีที่จะนำสัตว์บางชนิดเข้ามาเลี้ยงในนี้หากทำได้
ในช่วงระยะเวลา 3 วัน วาห์นใช้เวลาทำงานตามปกติแต่ก็มีบางอย่างที่เขาตัดสินใจว่าจะทำเพราะไหนๆ ก็มีเวลาส่วนตัวแล้ว
ก่อนจะกลับไปที่ปราสาทเพื่อทำความสะอาดและดูแลเอวา วาห์นก็ดึงลูกแก้วออกมาสองลูกขณะจ้องมองพวกมันภายใต้ความเงียบ
ลูกแก้วสีน้ำเงินเข้มที่เปล่งแสงสีเหลืองนั้นเป็นของโคลอี้ ส่วนลูกแก้วสีแดงเข้มที่เปล่งแสงสีม่วงนั้นเป็นของโลกิ
ไอเท็มสองชิ้นนี้ก็คือ [ความปรารถนาของหัวใจ] ของพวกเธอนั่นเอง และวาห์นตั้งใจว่าจะใช้พวกมันทั้งคู่ขณะที่ยังอยู่ในมิตินี้
เหตุผลเดียวที่เขาลังเลก็คือ แม้จะได้ ‘ปรองดอง’ กับโลกิไปแล้ว แต่วาห์นก็ยังไม่แน่ใจเรื่องความปรารถนาในหัวใจของเทพสาวอยู่ดี
เพราะเขามักจะได้สัมผัสกับอดีตในมุมมองของพวกสาวๆ วาห์นจึงค่อนข้างหวาดหวั่นกับสิ่งที่จะได้เห็นภายในลูกแก้วเล็กๆ นี่
เด็กหนุ่มกลัวถ้ามันเป็นภาพที่ตัวเองรับไม่ได้ เขาอาจจะไม่กล้าสู้หน้าโลกิอีกเลยแม้จะรู้สึกเห็นใจเธออยู่บ้างก็ตาม
ความกังวลนี้ทำให้เขาลังเลที่จะใช้ลูกแก้วของโคลอี้ไปด้วยเพราะมันดูไม่ยุติธรรมเลยที่จะข้ามบางคนไปเพียงเพราะว่าเขารู้สึก ‘กลัว’ ขึ้นมา
หลังจากลังเลต่ออีกเล็กน้อย วาห์นก็ส่ายหัวพลางนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่โลกิพยายามทำเพื่อเขามาโดยตลอด
เธอยอมเข้าพิธีสาบานเพื่อเขา เป็นผู้นำในการเจรจากับโอรานอส และยังสัญญาว่าจะ (พยายาม) ทำดีกับเฮสเทียให้มากขึ้นด้วย
เขาไม่อาจเมินเฉยต่อความพยายามของเธอได้ โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้อธิบายเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ฟังและยอมให้เขาใช้ [เอ็นคิดู] เพื่อพิสูจน์ตัวเองไปแล้ว
วาห์นบดขยี้ลูกแก้วขนาดเล็กในมือก่อนจะรู้สึกว่าอากาศกำลังหยุดนิ่งและเวลาที่ค่อยๆ เดินช้าลง
ภาพต่างๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวซึ่งวาห์นกำลังจะได้เห็นสิ่งที่อาจเปลี่ยนมุมมองหลายๆ เรื่องของเขาไปเลย…
วาห์นในฐานะโลกิกำลังยืนอยู่ในวิหารขนาดใหญ่ซึ่งรายล้อมไปด้วยเทพและเทพธิดาที่ดูเหมือนเป็นภาพเบลอๆ มากมาย
สีสันบนโลกใบนี้ช่างดูน่าเบื่อและจืดชืดมากในขณะที่เธอยังคงเล่นเกมอย่างไม่รู้จบไปกับเหล่าเทพหัวสูงและดื้อด้านทั้งหลาย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่พวกเขาจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีเทพหรือเทพธิดาองค์ไหนเลยที่จะเปลี่ยนไป
โลกิเองก็กำลังทนทุกข์ไปกับ ‘คำสาป’ เดียวกัน
เพราะเธอถูกบังคับให้ดำเนินชีวิตในแต่ละวันไปกับการคิดแผนใหม่ๆ เพื่อสร้างความโกลาหลในหมู่เทพ
แม้จะมีหลายองค์ที่เธอแสร้งทำดีด้วย แต่ในใจของโลกิกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังทุกอย่างรวมไปถึงตัวเธอเองด้วย
เทพสาวรู้สึกเหมือนเป็นทาสที่ถูกผูกไว้กับสิ่งเธอไม่คิดจะสนใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามเปลี่ยนตัวเองและต่อต้านมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วโลกิก็ต้องยอมแพ้ให้กับความกลัวว่าตนอาจจะต้องดับสูญไป
เธอไม่อยากจะหายไปเฉยๆ และการคิดเรื่องแบบนั้นก็สร้างความหวาดกลัวให้อย่างไม่รู้จบ
เวลานับพันปีผ่านไปขณะที่เธอยังคงเล่นบทบาทที่ชะตากำหนดให้เช่นเดิม
เธอสร้างศัตรูและมิตรมากมาย แต่ไม่ว่าทุกอย่างจะน่าสนใจขนาดไหน เธอก็ยังต้องเล่นบทเดิมและถูกบังคับให้สร้างความบาดหมางไปทั่ว
หากไม่ใช่เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ต้องหลอกใช้เทพองค์อื่น โลกิก็คงจะไม่อยากไปสุงสิงกับใครทั้งนั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ความเกลียดชังต่อการดำรงอยู่ของตัวเองและเทพองค์อื่นๆ นั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงจุดที่เกือบทำให้เธอเสียสติ
เธอรู้สึกเกลียดชังเทพที่ดูไม่ค่อยได้รับผลจากพลังศักดิ์สิทธิ์และพวกที่นำพาความสุขมาให้ผู้อื่นมากเป็นพิเศษ
แต่ยิ่งอายุและความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น เธอก็ยิ่งกลัวที่จะดับสูญมากขึ้นตามไปด้วย
เธอไม่อยากให้ชีวิตที่ใช้มานั้นเสียเปล่าโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจาก ‘ทำตามพระประสงค์’ ที่สวรรค์กำหนดให้… สวรรค์ที่ซึ่งเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลามองว่าเป็นดินแดนแห่งความสุข แต่ที่จริงแล้วมันก็คือคุกดีๆ นี่เอง
หากไม่ใช่เพราะมันจะส่งผลให้ตัวเองถูกทำลาย โลกิก็คงจะใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อเปลี่ยนแปลงความเบื่อหน่ายเหล่านี้ไปแล้ว
เธออยากจะสังหารเทพองค์อื่นๆ และก่อความวุ่นวายไปทั่วสวรรค์
หากทำได้ เธอก็อยากให้ความโกลาหลกระจายลงไปสู่โลกมนุษย์ด้วย เนื่องจากเธอรู้สึกอิจฉา “ความเป็นอิสระ” ของเหล่ามนุษย์มานานนมแล้ว
หากไม่ใช่เพราะการเฝ้ามองพวกเขาเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยแก้เบื่อให้เธอได้ล่ะก็… ป่านนี้โลกิก็คงลงมือทำบางอย่างแน่นอน
แต่แล้วในที่สุด เทพองค์หนึ่งก็ค้นพบเส้นทางที่ทำให้เหล่าเทพสามารถจุติลงมาจากสวรรค์ผ่านการปิดผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์บางส่วนและลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ได้สำเร็จ
แม้จะต้องสูญเสียพลังส่วนใหญ่ไป แต่โลกิก็เป็นหนึ่งในเทพธิดาชุดแรกๆ ที่ลงมายังโลกเบื้องล่างเพื่อสัมผัสกับชีวิตท่ามกลางเหล่ามนุษย์และเพื่อให้หลุดพ้นออกจาก ‘สถานที่จองจำ’
แต่แม้ว่าการคบหาสมาคมกับพวกมนุษย์และการได้สัมผัสกับสิ่งเร้าหลากหลายรูปแบบจะน่าสนใจขนาดไหน แต่โลกิก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี
เธอยังคงตกเป็นทาสของพลังศักดิ์สิทธิ์ แถมมันยังส่งผลกับเด็กบางคนที่เธอรับมาดูแลและทำให้เส้นทางของพวกเขาลำบากยิ่งกว่าเดิมด้วย
หากไม่ใช่เพราะตัวเอง โลกิก็คงอยากให้พวกเด็กๆ มีชีวิตที่ดีกว่านี้และไม่ต้องถูกผูกมัดกับพลังของเธอ
เช่นเดียวกับที่เธอต้องตกเป็นทาสของพลังศักดิ์สิทธิ์ เด็กๆ ของโลกิเองก็ต้องตกเป็นทาสของกลลวง แผนการ การหลอกลวง และความเห็นแก่ตัวของเธอเช่นกัน
เมื่อดวงตาสีแดงแหงนขึ้นมองท้องฟ้า โลกิก็จินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าเธอมีพลังมากพอที่จะทำลายและเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด
เธออยากจะทำลายให้หมดเลย ทั้งบทบัญญัติ พลังศักดิ์สิทธิ์ เทพ หรือแม้แต่ตัวสรวงสวรรค์เอง
สิ่งเดียวที่เธอจะไว้ชีวิตก็คือเหล่ามนุษย์ที่พยายามใช้ชีวิตต่อไปอย่างเต็มที่ แม้ว่ามันจะเป็นชีวิตที่สั้นหรือยากลำบากแค่ไหนก็ตาม
เมื่อเทียบกันแล้ว ชีวิตของมนุษย์อาจเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ของเธอ แต่ทุกช่วงเวลานั้นช่างเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง อารมณ์ และความปรารถนาอย่างรุนแรงซึ่งเป็นสิ่งที่เทพสาวไม่เคยประสบกับตัวเองมาก่อน
โลกิเกลียดธรรมชาติที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของโลก ตัวเธอเอง เหล่าเทพด้วยกัน และสถานจองจำอันเป็นนิรันดร์ซึ่งอาจมาคุกคามความสุขในอนาคตของเธอเมื่อไหร่ก็ได้
เธออยากหลบหนีทุกอย่างนี้ไปและหาวิธีที่จะหลุดพ้นจากวงจรอันไร้ที่สิ้นสุด…
ขณะที่เธอกำลังเดินตามวงจรแห่งชะตากรรมอยู่นั้นเอง โลกิก็ค้นกับพบกับบางอย่างที่แปลกใหม่ บางอย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ
หลายปีที่อาศัยอยู่บนแดนสวรรค์และบนโลกมนุษย์ แต่เทพสาวก็ไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย
‘เด็กหนุ่ม’ อาจดูเหมือนลูกครึ่งเทพที่พิเศษกว่าคนอื่นเพียงเล็กน้อยในตอนแรก แต่แล้วโลกิก็ได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า ‘วาห์น เมสัน’ เป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอมาก
หลังจากได้สืบสวนเรื่องนี้และพูดคุยอย่างจริงจังกับเทพและเทพธิดาองค์อื่นๆ เธอก็ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวาห์นอย่างต่อเนื่อง
จากการใช้แฟมิเลียของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ในที่สุดเธอก็ได้ทำข้อตกลงที่อาจส่งผลต่อตัวเด็กหนุ่มโดยตรง แต่นั่นก็ทำให้ได้รู้ข้อมูลอีกอย่างที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน…
หลังจากเข้าร่วมประชุมกับเหล่าเด็กๆ หญิงสาว และเทพธิดาที่อยากเข้าหาเด็กหนุ่ม โลกิก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับที่มาและอดีตของเขา… รวมไปถึงไอเท็มที่อยู่เหนือความคาดหมายทุกอย่าง
หากสิ่งที่ได้ยินเป็นความจริง โลกิก็จะได้มีลูกกับคนที่เธอให้ความสนใจซึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงที่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง
ถึงจะต้องเปลี่ยนตัวเองมากแค่ไหน แต่โลกิก็จะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปเด็ดขาด
นับเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ที่เธอพบวิธีหลุดพ้นจากวังวนไม่รู้จบ
ในที่สุดเธอก็มองเห็นจุดจบของความน่าเบื่อหน่าย เกม แผนการ และวงจรแห่งความเกลียดชังที่กำหนดชะตาชีวิตของเธอไว้
ถ้าได้อยู่กับเด็กคนนั้น โลกิก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์แห่งชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายและการควบคุมของตัวเอง
เธอเริ่มเดินหน้าเพื่อทำตามสิ่งที่ใจปรารถนาทันที… และหวังว่าเด็กหนุ่มจะไม่บังคับให้เธอทำอะไรที่มันโลดโผนจนเกินไปนัก…
(A/N: ผมรู้ว่าบางคนอาจสับสนเล็กน้อยกับตอนนี้ เพื่อนๆ ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าชีวิตและสภาพจิตใจของโลกินั้นวุ่นวายอยู่เกือบตลอดเวลา สรุปแบบง่ายๆ นะครับ ความปรารถนาของเธอก็คือ: อยากเป็นอิสระจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง ถ้าท้ายสุดแล้วทำแบบนั้นไม่ได้ เธอก็อยากจะทำลายทุกสรรพสิ่งยกเว้นมนุษย์ เพราะถึงมนุษย์จะถูกผูกมัดด้วยอายุขัยที่สั้นเมื่อเทียบกับเทพ แต่พวกเขาก็ได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างแท้จริงโดยข้อจำกัดก็มีเพียงตัวของมนุษย์เองกับมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น)