Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 214
หลังกลับมาที่โรงแรม วาห์นก็นอนลงบนเตียงขณะจ้องมองขึ้นไปบนหลังคาและครุ่นคิดถึงเรื่องในอนาคต
แม้มีหลายอย่างเกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน แต่วาห์นรู้สึกว่ายังไงเขาก็ต้องมุ่งเน้นไปที่เรื่องการทำตามสัญญาก่อนเป็นอันดับแรก
เรื่องสำคัญที่สุดนั้นก็คือการสร้างไอเท็มให้กับเฮเฟสตัส จากนั้นก็เป็นการขยายอิทธิพลภายในเมืองพร้อมทั้งรับประกันความปลอดภัยของเหล่าสหายและคนรัก
เนื่องจากวาห์นน่าจะมีลูกหลายคนในอนาคต เขาจึงเริ่มกังวลเรื่องการอบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูพวกเด็กๆ อย่างเหมาะสม
แม้พวกสาวๆ ส่วนใหญ่ล้วนมีความสามารถและน่าจะเลี้ยงดูลูกได้ดี แต่วาห์นก็ไม่ต้องการมองดูทุกอย่างจากเบื้องหลังหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเอง
มันอาจฟังดูเป็นเรื่องยากแต่วาห์นอยากให้ทุกคนมาอาศัยอยู่ร่วมกันในอนาคต
เขาคิดถึงขั้นที่จะเปลี่ยนที่อยู่อาศัยบางส่วนให้เป็นสถานเลี้ยงเด็กขนาดย่อมๆ แทนด้วย
อนูบิสเป็นเทพธิดาที่รักและชอบการดูแลเด็กอยู่แล้ว และวาห์นรู้สึกว่าการอยู่กับเฮสเทียน่าจะส่งผลดีกับพวกเด็กๆ ผ่านทางพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอ
มีเพียงสองคนที่เขากำลังรู้สึกเป็นห่วง นั่นก็คือโลกิกับทีโอน่าเนื่องจากพื้นเพของทั้งคู่น่าจะทำให้บางเรื่องซับซ้อนขึ้นอย่างแน่นอน
โลกิคงอยากเป็นคนสั่งสอนลูกด้วยตนเอง ส่วนทีโอน่าก็อาจจะต้องกลับไปยังประเทศของชาวอเมซอนเมื่อเธอตั้งครรภ์
วาห์นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองและไปเผชิญหน้ากับเทพธิดาที่มีชื่อว่าคาลีตามที่เห็นในความทรงจำของเธอเข้าสักวัน
หวังว่าเขาจะแข็งแกร่งและได้รับแรงสนับสนุนมากพอที่จะใช้ในการเจรจาได้ เพราะวาห์นเองก็ไม่อยากเป็นฝ่ายเริ่มสงครามระหว่างโอราริโอ้กับประเทศอื่นหากเลี่ยงได้
ชาวอเมซอนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังและเชี่ยวชาญด้านการสงความมากที่สุดจากทั่วพื้นทวีป
และแม้จะมีจำนวนประชากรไม่มาก แต่พวกเธอก็เป็นเหมือนฝันร้ายสำหรับประเทศ อาณาจักร ชนชาติหรือแม้แต่จักรวรรดิอื่นๆ ทั่วทุกแห่งหน
วาห์นขบคิดเรื่องนี้อยู่นานมากก่อนจะเริ่มผ่อนคลายร่างกายเพื่อเตรียมเข้านอน
ดูเหมือนวิธีแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากๆ หรือไม่ก็มีสิทธิ์อำนาจมากกว่านี้ซึ่งเขาจะพยายามพัฒนาทั้งสองด้านไปเรื่อยๆ
แต่แทนที่จะพยายามคิดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาจะไปปรึกษากับผู้เกี่ยวข้องและพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดด้วยกัน
เมื่อสรุปได้แล้ว วาห์นก็หลับไปพร้อมตั้งตารอคอยวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ทุกอย่างจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการทันทีที่เฮสเทียจุติลงมาในวันรุ่งขึ้น…
—
วาห์นสะดุ้งตื่นในช่วงเช้ามืดเมื่อตรวจพบว่ากำลังมีใครบางคนเข้ามาในเขตแดนของเขา
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงกรอกแกรกตรงหน้าต่างก่อนที่ตัวล็อคจะถูกปลดออก
ร่างบางและอ่อนช้อยของโคลอี้ค่อยๆ ย่องเข้ามาในห้องพร้อมกับที่วาห์นได้ยินเสียงเสื้อผ้าหล่นลงกับพื้นและตามมาด้วยเสียงกระซิบเบาๆ
“แกล้งหลับอยู่ใช่ไหม~เมี๊ยว?”
เมื่อเธอพูดจบ วาห์นก็รู้สึกว่าเตียงกำลังรับน้ำหนักมากขึ้นพร้อมกับที่โคลอี้คลานเข้ามาใต้ผ้าห่มและมานอนอยู่ข้างๆ กันโดยไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว
วาห์นโอบร่างบางไว้ในอ้อมแขนเหมือนเมื่อคืนก่อนพลางกระซิบเบาๆ
“ฉันกำลังสงสัยอยู่เลยว่าเธอจะแอบลอบเข้ามาหรือเปล่า”
พอได้รับความอบอุ่นจากร่างกายของโคลอี้ วาห์นก็รู้สึกถึงความร้อนแบบเดียวกันจาก ‘เพลิงนิรันดร์’ ขณะที่มันเต้นเป็นจังหวะอยู่ในแผงอก
โคลอี้หัวเราะอย่างหมดเรี่ยวแรงราวกับกำลังจะผลอยหลับเดี๋ยวนั้นเลย
เธอพันหางไว้รอบขาของเขาอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นบ้าง
“ฉันคิดว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้นะ… ต่อไปคงจองตัวนายลำบากแย่เลย~เมี๊ยว”
วาห์นจูบหลังศีรษะของหญิงสาวแทนการตอบพลางนำมือทั้งสองข้างมากุมมือของเธอไว้
เขากระซิบด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่เล็กน้อย
“ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ถ้ารู้สึกเหงาล่ะก็… ฉันก็จะกอดเธอไว้แบบนี้แหละ
ใครใช้ให้ตามใจเธอแล้วมันมีความสุขแบบนี้กันล่ะ..?”
จากนั้นเขาก็กอดร่างบางอย่างใกล้ชิดจนหญิงสาวได้แต่ร้อง ‘อื้ม’ เบาๆ และทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
—
นอกเหนือจากการตื่นขึ้นมาเพื่อเข้าสู่ลูกแล้ว วาห์นก็ยังคงนอนกอดโคลอี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเวลา 9 โมงเช้าก่อนจะปลุกเธอเพื่อไม่ให้ไปทำงานสาย
เขายังมีโอกาสได้เห็นสีหน้าสะลึมสะลือของหญิงสาวที่นอนข้างกันแบบไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากชั้นในสีครีมเพียงชิ้นเดียว
เธอนำชุดกระโปรงที่เด็กหนุ่มให้ไว้ติดตัวมาด้วยและสวมมันอย่างมีความสุข
วาห์นถามอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชั้นในสีขาวซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะซุกซนได้จากโคลอี้ขณะที่เธอบอกว่าจะเก็บมันไว้เป็นชุดชั้นใน ‘เผด็จศึก’ ในวันข้างหน้า
วาห์นเดินมาส่งเธอที่ร้านตรงทางเข้าด้านข้างแบบเมื่อวาน
เขาพบว่าเธอได้นำริบบิ้นสีขาวออกจากตัวชุดไปแล้ว
พอคิดคร่าวๆ แล้วน่าจะเป็นเพราะเธอคงอยากโชว์ริ้บบิ้นสีน้ำเงินมากกว่า
ความคิดนั่นทำให้วาห์นรู้สึกมีความสุขและเริ่มสงสัยว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ [เครื่องพิสูจน์ความรัก] มาเพิ่มอีก
การให้ของขวัญที่พวกสาวๆ ต้องการนั้นเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากเพราะเขารู้ว่าพวกเธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผ่านทางสายใยผูกพัน
แม้ว่าตัวร้านจะยังไม่เปิดให้บริการ แต่วาห์นก็ได้เข้ามาคุยเล่นกับทีน่าหลังได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษจากมามามีอา
หลังจากนั้นพวกเขาก็อาหารกลางวันกันเร็วหน่อยเพราะวาห์นอาจจะยุ่งในช่วงบ่าย
ก่อนออกจากร้าน ทีน่าก็บอกบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มสั่นไหวอยู่บ้าง
“ตอนที่นายซื้อริบบิ้นให้ฉันก็อย่าลืมซื้อให้แม่ด้วยล่ะ
สีโปรดของเธอคือสีเขียวและฉันเองก็ชอบสีนั้นเหมือนกันนะ~เมี๊ยว”
เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังสุดๆ
—
ขณะที่วาห์นกำลังเผชิญกับปัญหาในอนาคต เฮเฟสตัสเองก็เตรียมที่จะทำแบบเดียวกันแต่เป็นอีกสถานที่หนึ่งเลย
เธอเข้ามาที่หอคอยบาเบลพร้อมกับโลกิ อนูบิส และเอน่าเพื่อรอรับการจุติของเฮสเทีย
แม้จะสวมชุดที่ดู ‘ทั่วไป’ แต่โลกิก็เปลี่ยนไปใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวและกางเกงขาสั้นสีดำที่ยาวกว่าปกติเล็กน้อย
เธอสวมถุงน่องสีดำและรองเท้าสีน้ำตาลเป็นการปิดท้าย
แม้จะดู ‘เรื่อยๆ’ แต่จริงๆ แล้วมันดูเป็นทางการมากกว่าปกติจนเฮเฟสตัสรู้สึกอยากจะกลับไปเปลี่ยนชุดขึ้นมาทันที
อนูบิสนั้นถึงขั้นสวมชุดพิธีการที่ดูสง่างามมากซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่ทำจากทองคำและเพชรพลอย
เนื่องจากเอน่าเองก็สวมชุดพนักงานที่ดูเนี้ยบมาก เฮเฟสตัสจึงรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำไปโดยปริยาย
เธอสวมกางเกงขายาวสีดำและเสื้อเชิ้ตคอปกสีขาวที่มักสวมอยู่เป็นประจำ (TL: จริงๆ ก็ดูทางการกว่าโลกิอีกนะ -*-)
เธอยังสวมเครื่องป้องกันแขนและขาสีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับเข็มขัดขนาดเล็กซึ่งเป็นที่ที่เอาไว้เก็บค้อนคู่ใจ
แม้จะเป็นชุดที่เทพสาวโปรดปรานมากที่สุดซึ่งวาห์นเองก็ชมอยู่บ่อยๆ แต่เฮเฟสตัสก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองมาผิดงานขณะรอคอยให้แสงแห่งสรวงสวรรค์สาดส่องลงมาตรงแท่นด้านหน้า
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง แสงก็มาบรรจบกันและบังเกิดเป็นร่างของใครบางคนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น
แสงสีขาวที่แฝงไปด้วยสีชมพูอ่อนๆ เริ่มจางหายไปและเผยให้เห็นคนที่อยู่ในนั้น
เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กที่มีเรือนผมสีดำยาวและผูกมันไว้แบบสองข้างด้วยริบบิ้นรูปทรงดอกไม้สีขาวอมน้ำเงิน
มีกระดิ่งเล็กๆ แขวนอยู่ใต้ริบบิ้นซึ่งกำลังเปล่งแสงสีเงินสว่างไสวออกมา
เมื่อลุกขึ้นยืน เธอน่าจะสูงประมาณ 140 ซม. และมีใบหน้าเยาว์วัยซึ่งแต่งแต้มไปด้วยดวงตาสีฟ้าใสและรอยยิ้มกว้าง
เธอแต่งกายในชุดสีขาวแปลกตาขนาดพอดีตัวที่ทำให้หน้าอกขนาดใหญ่ดูเด่นยิ่งกว่าเดิมแถมตรงหว่างอกยังเป็นแบบเปิดกว้างจนดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก
รอบคอของเธอยังประดับไปด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินที่เข้ากับสีตา ส่วนริบบิ้นอันที่สองนั้นถูกผูกติดกับต้นแขนเรียวเล็กที่วนไปรอบลำตัวและลอดผ่านส่วนล่างของช่วงอกราวกับจะเน้นย้ำพวกมันดูเด่นเป็นสองเท่า
โลกิกระดกลิ้นเสียงดังแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรในขณะที่เฮสเทียหันมาสบตากับเฮเฟสตัสด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ไม่กี่อึดใจต่อมา เฮสเทียก็เอียงหัวเล็กน้อยราวกับกำลังสับสนก่อนที่ดวงตาของเธอจะเบิกกว้างพลางชี้มาที่เฮเฟสตัสพร้อมกับตะโกนขึ้น
“ตะ-ตะ-ตาของเธอ! หายแล้วเหรอ!?”
ก่อนที่เฮเฟสตัสจะได้อธิบายเพิ่มเติม สีหน้าของเฮสเทียก็เปลี่ยนเป็นดีใจอยากสุดซึ้งขณะวิ่งลงมาจากแท่นยืนและสวมกอดเพื่อนสนิทพร้อมเสียงหัวเราะและน้ำตาแห่งความปิติยินดี
เนื่องจากทั้งคู่มีความสูงต่างกันเกือบหนึ่งไม้บรรทัด เฮสเทียจึงโผเข้ากอดซี่โครงของเฮเฟสตัสจนทำให้ใบหน้าของเทพสาวจมเข้าไปอยู่ในหน้าอกอวบอิ่มของอีกฝ่าย
เนื่องจากขนาดหน้าอกของเฮสเทียนั้นใหญ่ไม่เป็นสองรองใคร มันจึงเป็นฉากที่ดูแปลกและหน้าอึดอัดสำหรับผู้รับชมที่กำลังเฝ้ามองทั้งสองกอดกัน
เฮเฟสตัสไม่ได้สวมที่ปิดตามานานมากจนลืมบอกเรื่องที่ตนได้รับการรักษาไปเลย
เนื่องจากเหตุผลหลักที่เธอติดต่อไปทางเฮสเทียนั้นคือเรื่องของวาห์นเพียงอย่างเดียว
หลังจากนั้นไม่นาน เฮสเทียก็เพิ่งจะสังเกตเห็นคู่ปรับชั่วนิรันดร์ของตนเอง หญิงสาวสวยที่มีผิวคล้ำ และหญิงสาวลูกครึ่งเอลฟ์ที่ดูเหมือน ‘เลขา’
เนื่องจากการติดต่อกันผ่านเทพพยากรณ์นั้นจะค่อนข้างคลุมเครือ เธอจึงยังไม่รู้เรื่องราวแบบละเอียดและทำให้อารมณ์กับสีหน้าเริ่มบูดทันทีที่เห็นเทพสาวจอมเจ้าเล่ห์
ขณะที่ยังคงกอดเฮเฟสตัสเอาไว้ เฮสเทียก็ขมวดคิ้วพลางจ้องมองโลกิและถามขึ้น
“ทำไมยัยเทพธิดาจอแบนถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ?”
เส้นเลือดบนศีรษะของโลกิเริ่มปูดขึ้นจนแทบจะแตกออกมาอยู่แล้ว แต่เทพสาวก็พยายามทำใจเย็นเข้าไว้และฝืนยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด
เธอพูดตอบอย่างสบายๆ
“เราจะเป็นพันธมิตรกันในอนาคตนะ ถ้าจะมาตีกันแบบเมื่อก่อนก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่…”
คำพูดนั่นทำเอาตาของเฮสเทียแทบถลนออกจากเบ้าเพราะคาดว่าโลกิคงจะหัวร้อนแบบทุกครั้งและเริ่มด่ากราดมาถึงเรื่องส่วนสูงและขนาดหน้าอกของตัวเองแน่นอน
ในอดีตนั้นไม่มีครั้งไหนเลยที่โลกิจะพลาดโอกาสเหน็บแนมหรือพูดจาถากถางเฮสเทีย และครั้งนี้ก็ถือเป็นอะไรที่เฮี้ยนแบบสุดๆ แถมเธอยังเป็นฝ่ายเปิดประเด็นหาเรื่องก่อนด้วย
เฮเฟสตัสพยายามปลดตัวเองออกจากอ้อมกอดของเฮสเทียและพูดแบบขรึมๆ ตามแบบฉบับของตัวเอง (ในอดีต)
“เราจะคุยเรื่องนี้กันในสถานที่ที่มิดชิดกว่านี้นะ
มีหลายเรื่องที่พวกเราต้องบอกให้เธอรู้และคอยอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด”
จากนั้นแววตาของเฮเฟสตัสก็ดูอ่อนลงขณะยิ้มให้กับเทพธิดาผู้เป็นสหายรัก
“…ขอบคุณที่มานะ เฮสเทีย”
สมองของเฮสเทียเริ่มลัดวงจรพร้อมกับมีควันออกหู… โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นท่าทีของโลกิ
การได้ยินเฮเฟสตัสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงนั้นทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองลงมาที่นี่ทำไมก่อนจะยิ้มกว้างและพูดตอบอย่างมั่นใจ
“เรื่องแค่นี้เอง สบายหายห่วง!
ยังไงเราก็เป็นเพื่อนรักกันนี่นะ~!”
เธอเน้นเสียงตรง ‘เพื่อนรัก’ มากเป็นพิเศษพลางทุบหน้าอกเสียงดังราวกับกำลังแสดงความเคารพ
โลกิสะดุ้งหน่อยๆ เพราะได้เห็นการ ‘กระเพื่อม’ แบบช้าๆ ขณะที่แรงกระแทกทะลุผ่านหน้าอกของเฮสเทีย
พอก้มลงมาดู ‘ความแห้งแล้ง’ ของตัวเอง เธอก็ได้แต่ถอนหายใจพลางหมายมั่นว่าจะไปขอสูตรการออกกำลังจากเฮเฟสตัสมาเสริมช่วงล่างแทนบ้าง
หลังแลกเปลี่ยนคำพูดกันอีกเล็กน้อย ทั้งห้าก็เดินทางไปยังที่พักส่วนตัวของเฮเฟสตัสภายในหอคอยบาเบล
เนื่องจากเป็นถึงหัวหน้าของแฟมิเลียอันดับสาม เฮเฟสตัสจึงมีที่พักส่วนตัวอยู่บนชั้นที่ 48 ซึ่งดูหรูหราใหญ่โตและถูกตกแต่งให้คล้ายกับภายในวิหารเทพ
โลกิเองก็มีที่พักอยู่บนชั้นที่ 49 แต่พวกเธอตัดสินใจใช้ห้องของเฮเฟสตัสแทนเพราะน่าจะมีปัญหาหน่อยกว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
เมื่อมาถึงกันแล้ว ทุกคนก็นั่งลงรอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ขณะที่อนูบิสเดินออกไปจัดชา
เฮสเทียรู้สึกประหลาดใจเพราะตนมองออกว่าอนูบิสเองก็เป็นเทพธิดาเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นเทพสาวก็ยังเป็นฝ่ายให้บริการแม้จะมีสาวชาวมนุษย์อยู่ด้วยก็ตาม (TL: ชาวมนุษย์นะ ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ เฮ้อ ปวดหัว~)
เธอรู้สึกดีกับอนูบิสมากยิ่งขึ้นเพราะคิดว่าเทพที่ยอมทำถึงขนาดนี้จะต้องเป็นคนที่ดีและใส่ในคนอื่นมาก อีกทั้งคงจะไม่นำฐานะและอำนาจของตนเองมาใช้กลั่นแกล้งผู้อื่น
หลังได้รับชากันครบแล้ว เฮเฟสตัสกับโลกิก็เริ่มอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาโดยเน้นไปที่เรื่องของวาห์น
แม้แต่เอน่าเองก็ช่วยพูดเสริมเป็นบางครั้งในขณะที่เฮสเทียได้แต่ฟังไปเรื่อยๆ
เธอมีความสุขเมื่อรู้ว่าสหายรักได้พบกับเด็กหนุ่มใจดีที่มารักษาตาให้
เมื่อรู้ว่าทั้งคู่ได้หมั้นหมายกันแล้ว เธอก็ดีใจมากขึ้นไปอีกและรีบแสดงความยินดีทันที
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็มารู้ทีหลังว่าสาวลูกครึ่งเอลฟ์ที่มีชื่อว่าเอน่าเองก็ได้หมั้นหมายกับเด็กหนุ่มเช่นกัน
จากนั้นเธอก็ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของวาห์นและวิธีที่เขาโต้ตอบกับคนอื่นจนพวกสาวๆ สรุปกันได้อย่างเดียวว่าเขา ‘ไม่ปกติ’
เฮสเทียรู้สึกแย่เมื่อรู้ว่าเด็กน้อยน่าสงสารต้องมาเผชิญกับชะตากรรมอันแสนโหดร้าย แต่ก็มีความสุขเมื่อเห็นว่าเขาได้พานพบผู้คนมากมายที่คอยเป็นห่วงเป็นใย
พวกเธออธิบายต่อว่าวาห์นนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่นั่นก็เหมือนกับเป็นดาบสองคมเพราะเขามักพยายามทำอะไรที่เกินตัวและฝืนมากไปในหลายๆ ครั้ง
จากนั้นพวกเธอก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ลักพาตัวมิลานกับทีน่าเช่นเดียวกับการเสียชีวิตของลาเวอร์น่าก่อนจะติดต่อไปหาเธอหลังจบการเจรจากับโอรานอส
มันเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเอาการ โดยเฉพาะเรื่องที่วาห์นสามารถทำให้เทพธิดาตั้งครรภ์ได้โดยใช้โซ่เวทมนตร์บางอย่าง
พอได้ยินว่าไม่ใช่แค่เฮเฟสตัสเท่านั้นที่อยากจะมีลูกกับวาห์น เพราะแม้แต่อนูบิสและโลกิเองก็ตั้งใจแบบเดียวกัน เฮสเทียก็ไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองจะรู้สึกยังไงดี
เธอรู้สึกมีความสุข ตื่นเต้น หวาดกลัว และรำคาญหน่อยๆ ไปพร้อมๆ กัน
สีหน้าภูมิใจที่โลกิใช้ขณะพูดเรื่องของตัวเองกับวาห์นนั้นทำให้เทพตัวเล็กหงุดหงิดอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่โลกิมาแว้งกัดเรื่องที่เฮสเทียยังเป็น ‘เทพซิง’ อยู่
พอพูดกันจนครบทุกหัวข้อแล้ว เฮสเทียก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ของวาห์นขึ้นมาบ้างและถูกขอร้องจากสาวๆ ทุกคนที่อยู่ในห้องให้เธอช่วยวาห์น ‘สร้างบ้าน’ ขึ้นมา
เป็นความปรารถนาของเฮเฟสตัสและเอน่าที่อยากให้วาห์นมีสถานที่ที่เขาสร้างขึ้นด้วยมือและความพยายามของตัวเอง
ถึงจะดูแปลกอยู่บ้างเพราะพวกเธอกำลัง ‘ส่ง’ เฮสเทียมาช่วยเขา แต่สถานที่แห่งนั้นก็คงแฝงไปด้วยเจตนารมณ์ของตัวเด็กหนุ่มเองอย่างแน่นอน
เฮสเทียเห็นด้วยและตกปากรับคำทันที เพราะเธอเริ่มรู้สึกสนใจเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘วาห์น เมสัน’ ขึ้นมาแล้วและอยากรู้ว่าตนจะช่วยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นมาได้หรือเปล่า
ทว่าเรื่องแปลกๆ กลับเริ่มขึ้นหลังเธอตอบตกลง…
อารมณ์และสีหน้าของสาวๆ ในห้องดูต่างไปจากเดิมก่อนที่พวกเธอจะทิ้งคำเตือนเกี่ยวกับเรื่อง ‘บางอย่าง’
หากไม่นับเอน่า เทพธิดาทุกองค์ในห้องนี้ก็ได้เจอกับ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ของวาห์นมาครบหมดแล้ว และพวกเธอก็กำลังจ้องมอง ‘เหยื่อ’ รายต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เนื่องจากเฮสเทียมีบุคลิกที่ค่อนข้างขี้เกียจและชอบให้คนตามเอาใจมากเป็นพิเศษ การที่วาห์นจะคอยตามปรนเปรอเทพสาวนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือพูดเกินจริงไปนัก
พอได้รับคำเตือนในเรื่องดังกล่าว ความสงสัยและกังวลของเฮสเทียก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะยังคงตั้งตารอที่จะไปพบกับเด็กหนุ่มซึ่งตนได้หมายมั่นไว้แล้วว่าจะอยู่เคียงข้างเขาตราบจนถึงวาระสุดท้าย…