Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 217
“มีอะไรหรือเปล่า?” วาห์นเห็นว่าเฮสเทียทำตัวแปลกๆ เขาจึงมองข้ามไหล่ตัวเองและเอ่ยถามขึ้น
เพราะสามารถดูค่าสถานะของตัวเองตอนไหนก็ได้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องถามแบบจริงๆ จังๆ แต่คิดว่ายังไงก็ควรถามออกไปตามมารยาท
ครั้งนี้เป็นการทำพิธีรอบแรกของเฮสเทีย วาห์นจึงเดาว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่สำหรับเธอ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาสัมผัสร่างกาย เขาจึงไม่รู้สึกแปลกๆ หรือที่ท่าทีต่อต้านแบบในอดีต
ผ่านไปอีกหลายอึดใจ เฮสเทียก็ตื่นจากอาการเหม่อลอยและหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะลงจากแผ่นหลังและส่งแผ่นกระดาษบันทึกค่าสถานะให้กับเขา
วาห์นกวาดตาดูคร่าวๆ ก่อนจะส่งมันคืนให้กับเธอเพื่อเก็บรักษา
เป็นเรื่องปกติที่เทพและเทพธิดาของแฟมิเลียจะติดตามและบันทึกการเติบโตของ ‘เด็กๆ’ ตัวเองไว้ในสมุดบันทึก
บางคนถึงขั้นทำบันทึกเพื่อเก็บรวบรวมเหตุการณ์สำคัญและความสำเร็จต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องกระตุ้นสมาชิกรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตเลยด้วย
หลังจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว วาห์นก็บอกเฮสเทียว่าพวกเขาจะไปทานอาหารที่ร้าน ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’ และเริ่มเล่าสถานการณ์ของมิลานและทีน่าให้เธอฟังแบบคร่าวๆ
เมื่อได้ยินว่าทั้งสองจะมาเป็นสมาชิกของแฟมิเลียในอนาคต เฮสเทียก็รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิม
เธอได้ยินเรื่องราวจากเฮเฟสตัสมาบ้างแล้วและตอนนี้ก็จะได้พบพวกเธอแบบจริงๆ สักที
—
พอมาถึงและได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว เฮสเทียจึงรู้สึกสงสารมิลานมากเพราะตอนนี้หูและหางของเธอก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ
เหตุผลที่เธอมักจะทำงานอยู่ในครัวนั้นส่วนหนึ่งก็เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของคนอื่นด้วย แต่วาห์นพอมองออกว่าตอนนี้เริ่มมีเส้นขนขึ้นมาตรงส่วนที่เคยโดนตัดออกไปอยู่บ้างแล้ว
ขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหาร เรื่องแปลกก็บังเกิดขึ้นเมื่อเฮสเทียได้พบกับเหล่าพนักสาวของร้าน
เทพสาวยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครและคนไหนที่มีสถานะใกล้ชิดกับกับวาห์นบ้าง ดังนั้นพอเห็นผู้หญิงจำนวนมากกรูเข้าหาเด็กหนุ่มแบบไม่ว่างเว้น เธอก็เลยหน้าหงิกขึ้นมาทันตาเห็น
วาห์นพยายามแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับเฮสเทียและอธิบายว่าเขาได้เข้าร่วมแฟมิเลียของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ทุกคนจะพูดจาดีและทักทายเธออย่างสุภาพ แต่เฮสเทียก็เข้ามาเกาะแขนของวาห์นไว้อย่างหวงแหนและเฝ้ามองสาวๆ แต่ละคนอย่างไม่เป็นมิตร
เพราะเห็นว่านี่เป็นฉากที่ดูน่าสนใจมาก พอวาห์นและเฮสเทียกำลังจะกลับออกไป โคลอี้จึงตัดสินใจแหย่เทพตัวเล็กและเดินเข้าไปหาวาห์นอย่างช้าๆ
เฮสเทียเข้าสู่โหมด ‘หมาเฝ้ากระดูก’ ทันทีในขณะที่วาห์นทำตัวตามปกติและปล่อยให้โคลอี้เข้ามาซบ
เขาโอบรอบเอวของเธออย่างไม่ลังเลก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มจูบกันอยากดูดดื่มภายในบูธส่วนตัว
เฮสเทียทำหน้าช็อคหนักพร้อมชี้ไปทางโคลอี้ด้วยมืออันสั่นคลอน
“นะ-นี่~! ยัยแมวขโมย!”
จากนั้นเธอก็พยายามจับทั้งสองแยกออกจากกันซึ่งวาห์นเหมือนเพิ่งจะตัวว่าประเมินนิสัยของเฮสเทียผิดไปเล็กน้อย
แม้จะจำได้ว่าเทพสาวเป็นแบบนี้กับเบลล์ แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะทำแบบเดียวกันกับเขาด้วย
นี่เขายังอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟังไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับโคลอี้
โคลอี้ยอมถอยห่างจากวาห์นขณะเริ่มหัวเราะอย่างสนุกสนานแต่ก็แฝงไปด้วยความซุกซน
หญิงสาวหันหลังไปเล็กน้อยพร้อมกระดิกหางอย่างเย้ายวนขณะโชว์ริบบิ้นสีน้ำเงินที่ดูคล้ายกับของเฮสเทียเอง
โคลอี้แลบลิ้นนิดๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“มาสายขนาดนี้ไม่มีสิทธิ์จะเรียกร้องอะไรหรอกนะ~เมี๊ยว!”
ราวกับเข้าใจทันทีว่าริบบิ้นนั่นหมายถึงอะไร เฮสเทียเริ่มหันมาหาวาห์นด้วยสายตา ‘ดุดัน’ และเจ็บใจนิดๆ
วาห์นเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นท่าทางของเธอแม้จะคิดในใจว่ามันดูน่ารักดีก็ตาม
โคลอี้เดินออกจากห้องอย่างเบิกบานขณะที่วาห์นพยายามปลอบใจเฮสเทียและอธิบายทุกอย่างให้ละเอียดกว่าเดิม
การตอบสนองที่เด็กหนุ่มได้รับกลับมาก็คือการหันหน้าหนีพร้อมเสียง ‘ฮึ่ม’ ในลำคอ แต่อย่างน้อยเธอก็ยอมฟังเรื่องราวของโคลอี้โดยที่เขาจำเป็นต้องข้ามรายละเอียด ‘บางอย่าง’ ไป
เฮสเทียรู้ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วว่าวาห์นนั้นมีผู้หญิงมาเกี่ยวพันด้วยหลายคน
นั่นยังไม่รวมถึงเทพธิดาอีกเป็นขโยงที่อาจเขาหาเด็กหนุ่มในอนาคต
ถึงจะรู้แบบนั้นก็ตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกเศร้าและหงุดหงิดที่เห็นเขาแสดงมันออกอย่างเปิดเผยแบบนี้
เฮสเทียนึกถึงสิ่งที่เอน่าอธิบายให้ฟังว่าวาห์น ‘ผิดปกติ’ ยังไงบ้าง และตอนนี้เทพสาวก็อยากรับหน้าที่ในอดีตของทีน่าเพื่อช่วย ‘คุม’ พฤติกรรมของเขา
เมื่อเด็กหนุ่มอธิบายจบแล้ว เฮสเทียก็หันกลับมาหาด้วยใบหน้างอนแก้มป่องแบบเด็กๆ ซึ่งทำให้วาห์นอยากใช้นิ้วจิ้มมันมาก
ผ่านไม่นาน วาห์นก็ต้องยอมแพ้ให้กับความน่ารักของมันและค่อยๆ ยื่นนิ้วไปจิ้มแก้มป่องก่อนจะถูกเทพสาวปัดมือออกซึ่งตามมาด้วยเสียงว่ากล่าวตักเตือน
“วาห์น นายจะทำแบบนี้ในที่สาธารณะไม่ได้นะนอกจากว่าเป็นเดตส่วนตัว!
ถ้าคิดอยากจะอยู่ร่วมกับผู้หญิงหลายคนในอนาคตล่ะก็ นายจะต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้สิ
ไม่ใช่ทุกคนนะที่จะทนเห็นอะไรแบบนี้ได้ คราวหลังก็ระวังให้มากกว่านี้หน่อย!”
คำพูดของเธอทำให้วาห์นนึกถึงการประชุมเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนระหว่างพวกสาวๆ ที่เขาเกี่ยวพันด้วยขึ้นมาทันที
เฮสเทียกำลังงัดเอาคำพูดของพวกเธอมาสั่งสอนเขาซึ่งมันควรจะเป็นหน้าที่ของทีน่าหากเด็กสาวไม่พบกับเหตุการณ์ลักพาตัวเมื่อหลายวันก่อน…
แม้จะรู้สึกขัดใจหน่อยๆ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมีเหตุผล
วาห์นจึงได้แต่ยิ้มและยอมรับแต่โดยดี
“เข้าใจแล้ว ต่อไปฉันจะระวังให้มากกว่านี้
นอกจากว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือคนที่อยู่ด้วยจะไม่ได้ติดใจอะไร ฉันจะพยายามรักษาท่าทีให้มากกว่านี้”
เฮสเทียพยักหน้าเห็นด้วยกับคำตอบที่ได้ขณะเอามือเท้าสะเอวและแอ่นอกอย่างภูมิใจ
วาห์นเห็นการสั่นไหวของวัตถุอันตรายเมื่อแขนของเฮสเทียอ้าออกได้อย่างชัดเจน แถมริบบิ้นที่ผูกกับชุดนั่นก็ดูจะรองรับ ‘ทุกอย่าง’ ไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
เพราะศึกษาเรื่องเนื้อผ้ามาบ้าง วาห์นเลยสงสัยหน่อยๆ ว่าทำไมชุดของเฮสเทียถึงดูสอดคล้องกันไปหมดและไม่ทำให้เธอเคลื่อนไหวติดขัดแต่อย่างใด
เฮสเทียหลับตาเพื่อซึมซับความ ‘สง่า’ ของตัวเองอยู่พักหนึ่ง แต่พอเปิดตาขึ้นก็ได้เห็น ‘สีหน้าใคร่รู้’ บนใบหน้าของวาห์นขณะที่เขาจ้องมาตรงหน้าอกของเธอ
เทพสาวรู้สึกเขินๆ แต่ก็ดูออกว่ามันไม่ใช่สายตา ‘หื่นกระหาย’ หรือ ‘มีเจตนาแอบแฝง’ แบบที่เคยเห็นมาในอดีต
จากที่พอมองออก ดูเหมือนวาห์นกำลังจ้องมองพวกมันอย่างเชิดชูซึ่งทำให้เฮสเทียรู้สึกภูมิใจหน่อยๆ เพราะที่ผ่านมานั้นร่างกายของเธอมักถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ก็โดนเพ่งเล็งอยู่เสมอ
หลายครั้งที่เหล่าเทพมากมายบนสวรรค์พยายามเข้าหาเฮสเทีย แต่สายตาที่พวกเขาใช้นั้นทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงมากจนได้แต่ตอบปฏิเสธกลับไปทุกราย
หากไม่นับอาร์เทมิสกับอาเธน่า เธอก็จะเป็นเทพธิดาผู้ครองพรหมจรรย์องค์สุดท้ายของสวรรค์ฝั่งตะวันตก
ที่จริงแล้วเธอก็แค่ไม่ชอบที่ถูกมองว่าเป็น ‘สิ่งของหายาก’, ‘ที่ๆ ยังไม่เคยถูกใครพิชิต’ และ ‘เป้าหมายที่ใครๆ ต่างหมายปอง’ ก็เท่านั้นเอง
มีเทพเพียงไม่กี่องค์ที่ได้รับโอกาสเพราะทำตัวดีในช่วงแรก… แต่ตอนท้ายกลับพยายามเข้ามาล่วงเกินเธอแทน!
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเฮสเทียก็ไม่ยอมไปไหนกับเทพองค์นั้นอีกเลย
ไม่กี่วันต่อมา เทพองค์เดิมก็ไปคบหากับเทพธิดาอีกองค์แทนโดยไม่หันกลับมามองข้างหลัง
เนื่องจากชีวิตของเหล่าเทพนั้นยืดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด การเห็นเทพองค์นั้นเปลี่ยนใจได้อย่างรวดเร็วจึงเปรียบเสมือนบทเรียนล้ำค่าสำหรับเฮสเทีย
กลับมาที่ตอนนี้ พอเทพสาวเห็นวาห์นกำลังมองมาด้วยแววตา ‘สนใจ’ แทนที่จะเป็น ‘ความปรารถนา’ ความประทับใจของเฮสเทียที่มีต่อเด็กหนุ่มจึงเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
เธอสัมผัสได้ว่าหากแก้ ‘นิสัยแย่ๆ’ ของวาห์นได้ บางทีการแบ่งปันเขากับเฮเฟสตัสและพวกสาวๆ อีก ‘ไม่กี่คน’ ก็ฟังดูไม่เลวเท่าไหร่นัก… อาจจะนะ
แถมวาห์นยังเป็นลูกครึ่งเทพที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับ ‘การสร้าง’, ‘ความอุดมสมบูรณ์’ และ ‘เพลิง’ ซึ่งเฮสเทียคิดว่าพวกมันน่าจะเข้ากับเธอได้เป็นอย่างดี
ทั้งคู่ดูราวกับถูกชะตาฟ้าลิขิตให้มาอยู่ด้วยกันเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็คือ ‘สถาปัตยกรรม’, ‘ครอบครัว’ และ ‘เตาไฟ’
หากเธอมองแค่ในมุมของพลังศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็… แค่นี้ก็กินขาดแล้ว
วาห์นรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องดูเงียบผิดปกติและเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอจ้องริบบิ้นของเฮสเทียนานเกินไปแล้ว
เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใส วาห์นรู้สึกละอายเล็กน้อยเพราะเพิ่งพูดไปเองว่าจะปรับปรุงตัว
“ขอโทษทีนะ ฉันเผลอจ้องนานไปหน่อย”
—————
ติด.ตาม.แฟนเพจอ่านตอนล่าสุดได้ที่: EP:IC Translation
—————
เฮสเทียยิ้มให้ก่อนจะก้าวยาวๆ และมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
เนื่องจากทั้งคู่สูงต่างกันเกือบหนึ่งไม้บรรทัด เฮสเทียจึงต้องแหงนหน้าขึ้นในขณะที่วาห์นก้มลงมามอง
เธอมองไปรอบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา
“ตอนนี้มีแค่เราสองคน ถ้านายไม่ทำอะไรเกินกว่านี้ก็คงไม่เป็นไรหรอก~”
คิ้วของวาห์นกระตุกเล็กน้อยพลางหันไปมองรอบๆ เช่นกัน แต่แทนที่จะกลับไปจ้องต่อ เขากลับถอยออกไปหนึ่งก้าวและพยายามเปลี่ยนเรื่องแทน
“เราไปหาที่พักกันเถอะ เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”
วาห์นเปิดประตูขึ้นและเสียงจากในร้านก็เข้ามาทำลายความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ นี่ทันที
เฮสเทียจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งวาห์นหันออกไปหลังได้ยินเสียงเฮฮาด้านนอก
เธอได้แต่หันข้างและกระดกลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์พลางบ่นเบาๆ โดยไม่ให้เขาได้ยิน
“คบผู้หญิงตั้งเยอะแยะแต่ทำไมยังทึ่มแบบนี้นะ!”
วาห์นเปิดประตูให้เฮสเทียเดินออกมาจากร้านโดยไม่รู้เลยว่าเทพตัวเล็กได้ตั้งฉายาใหม่ไว้ให้ตนเรียบร้อยแล้ว…
ถึงจะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน แต่เฮสเทียก็บอกข้อมูลที่อยู่ที่เฮเฟสตัสแนะนำมาให้วาห์นฟังไปตั้งแต่เมื่อคืนก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มรู้ทันทีว่ามันอยู่ตรงไหนและเริ่มเดินนำทางไปยังที่ที่อาจจะเป็นบ้านใหม่ของทั้งสอง
ตลอดการเดินทาง เฮสเทียพยายามชวนคุยและถามเกี่ยวกับความคาดหวังและความฝันของเขาในขณะที่วาห์นเองก็ถามเรื่องของเธอ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เธอครอบครอง และข้อข้องใจต่างๆ ที่เขาอาจพอช่วยได้
เทพสาวรู้สึกพอใจกับความกังวลที่เขามีให้จนถึงขั้นเข้ามาคล้องแขนเพื่อเดินต่อไปด้วยกัน
แม้พวกเขาจะเดินไปตามถนนแบบคนสัญจรทั่วไป แต่วาห์นรู้สึกเหมือนกำลังพาเธอไปออกเดตเพราะเฮสเทียนั้นมีท่าทางใกล้ชิดและแสดงมันออกมาได้อย่าง ‘เปิดเผย’ มาก
เพราะเธอเพิ่งจะ ‘สั่งสอน’ เขาไปหมาดๆ วาห์นเลยสงสัยว่าเฮสเทียกำลังคิดว่านี่คือการเดต… หรือว่าเธอลืมสิ่งที่ตัวเองเป็นคนสอนไปซะแล้ว
หลังตัดผ่านตรอกเล็กๆ ตามที่ระบุในแผนที่ย่อ ทั้งคู่ก็มาถึงสถานที่ที่วาห์นรู้สึกคุ้นเคยมากเพราะมักเดินผ่านเป็นประจำ
เหตุผลที่เขาจำที่อยู่ได้ทันทีก็เพราะว่ามันอยู่ไม่ไกลจากโรงหลอมของเฮเฟสตัสและอาคารกิลด์สาขาหลักมากนัก
แม้จะอยู่ห่างจากถนนหลักไปบ้าง แต่มันก็เป็นเส้นทางเดียวกับที่เขาเคยใช้เพื่อเดินทางจากฮาร์ธเอ็มเบรสไปยังดันเจี้ยน
ที่อยู่นั่นพาพวกเขามายังส่วนที่อยู่อาศัยที่มีทั้งบ้างหลังใหญ่ คฤหาสน์ หรือแม้กระทั้งแมนชั่นที่มาพร้อมพื้นที่กว้าง
หลังจากถามเฮสเทียอีกสองสามครั้งเพื่อยืนยันว่ามาไม่ผิดที่ วาห์นก็แหงนหน้ามองอาคารสองชั้นขนาดใหญ่ตรงหน้า
มันดูคล้ายกับโรงแรมผสมกับคฤหาสน์เพราะมีลานที่กว้างมากและยังถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนโดยมีรั้วสูงล้อมรอบด้านในเอาไว้
ตัวอาคารมีรูปร่างเหมือนตัว “L” โดยส่วนของอาคารทั้งสองด้านจะเข้ามาขนาบข้างพื้นที่ตรงกลางที่ดูสูงกว่าส่วนอื่นๆ
สิ่งที่ดูเตะตาก็คือส่วนเล็กๆ ของตัวอาคารที่อยู่ห่างจากส่วนอื่นเล็กน้อย
เมื่อเข้าไปตรวจสอบด้านใน วาห์นก็พบกับพื้นที่ว่างที่น่าจะเอาไว้ใช้เป็นโรงหลอม
แน่นอนว่าไม่มีอุปกรณ์อะไรอยู่ในนั้นแม้แต่ชิ้นเดียว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับวาห์น (และช่องเก็บของ) เท่าไหร่นัก
ภายในอาคารรูปตัว “L” นั้นมีทั้งหินและไม้ประดับซึ่งถูกจัดวางไว้เพื่อปกปิดบางอย่างที่นำรอยยิ้มกลับมาสู่ใบหน้าของวาห์น
แม้จะมีที่กั้นขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางแต่พื้นที่ส่วนนี้ก็คือบ่อออนเซ็นไม่ผิดแน่นอน
มีบ่อขนาดใหญ่ตรงกลางที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนและยังมีบ่อขนาดเล็กล้อมรอบสำหรับผู้ที่ต้องการแช่น้ำแบบเป็นการส่วนตัวด้วย
วาห์นไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกประทับใจในสิ่งที่เห็น เพราะเฮสเทียเองก็รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดประตูเข้ามาแล้ว
เฮเฟสตัสเป็นคนบอกกับเฮสเทียเองว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นคนสั่งให้สร้างอาคารหลังนี้หลังได้รู้จักกับ วาห์นมาพักใหญ่ๆ
เธอได้ปรับแต่งให้มันเหมาะสมกับความต้องการของเด็กหนุ่มมากที่สุด และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะ ‘มอบ’ มันให้กับเฮสเทียแทนคำขอบคุณที่เธอจุติลงมาบนโลกมนุษย์ (TL: ถ้าไม่ใช่เพราะวาห์นนี่คงได้ไปอยู่โบสถ์ร้างแทน)
ในฐานะเทพธิดาที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรม เฮสเทียรู้สึกฮึกเหิมมากขณะจ้องมองทุกอย่างแบบละเอียด
นอกเหนือจากเรื่องขาดแคลนเฟอร์นิเจอร์ ทุกอย่างช่างดูสมบูรณ์แบบจริงๆ
เมื่อตรวจสอบรอบๆจนพอใจแล้ว วาห์นกับเฮสเทียก็เข้าไปในห้องที่กำลังจะกลายมาเป็น ‘ห้องนอนหลัก’
มันเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในบ้านโดยมีทั้งพื้นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแบบแยกกันสองด้านรวมไปถึงห้องน้ำในตัว
แม้จะไม่ทันสังเกตเห็นในตอนแรก แต่วาห์นก็พบว่าห้องนี้ยังมีทางลับตรงกำแพงซึ่งนำไปสู่ห้องเก็บเสียงที่มีขนาดเล็กกว่า
ห้องลับนี้ดูคล้ายกับห้องที่เฮเฟสตัสใช้เก็บ ‘เพลิงนิรันดร์’ มากจนวาห์นสังหรณ์ใจว่ามันคงมีจุดประสงค์เดียวกัน
ผนังและพื้นนั้นมีคุณสมบัติกันไฟและเก็บเสียงได้อย่างยอดเยี่ยมแถมยังมีโครงสร้างต่างๆ ที่เป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากไว้ใช้วางเตาและอุปกรณ์สำหรับตีเหล็ก
หลังจากได้ดูรอบๆ ห้องนอนแล้ว วาห์นก็เดินมาตรงกำแพงที่อยู่ตรงข้ามกับประตูห้องและซื้อเตียงขนาดใหญ่จากระบบที่มีชื่อว่า [วิมานแห่งสรวงสวรรค์]
ถึงจะมีชื่อที่ฟังดูน่าเกรงขามแต่มันก็มีราคาเพียง 28,000 OP และไม่ได้ดูหวือหวาอะไรนักขณะที่เขาค่อยๆ วางมันลงบนพื้น
ปัจจัยที่เขาใช้ในการเลือกมันก็คือ ‘นุ่มสบาย’ และ ‘มีขนาดใหญ่’
ตอนนี้เขายังไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น แต่ดูเหมือนว่ามันใหญ่พอที่จะให้คน 6-7 คนลงไปนอนกลิ้งเล่นพร้อมกันได้แบบสบายๆ
ขนาดโดยประมาณของเตียงคือ 4 เมตร x 4.5 เมตร ซึ่งกินพื้นที่ของห้องไปมากกว่าที่วาห์นคิดเอาไว้ในตอนแรก
พอเฮสเทียเห็นว่าวาห์นเอาเตียงออกมาเป็นอย่างแรก สีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นเคลิ้มนิดๆ ก่อนจะพุ่งตัวลงไปบนผ้าปูเตียงสีขาว
นอกเหนือจากโครงไม้ที่ออกสีทองเล็กน้อยแล้ว ทุกอย่างบนเตียงนั้นล้วนเป็นสีขาวทั้งสิ้น ทั้งผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผ้านวมเสริม หมอน หรือแม้กระทั้งผ้าม่านที่ห้อยลงมาจากโครงด้านบน
พอเฮสเทีย ‘ลงจอด’ เรียบร้อยแล้ว เธอก็สัมผัสได้ว่ามันนุ่มกว่าที่คาดไว้มากและเริ่มกลิ้งไปมาโดยไม่หลงเหลือเค้าของความเป็นเทพอยู่เลย
วาห์นเห็นพฤติกรรมนั่นแล้วก็ต้องหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น
“เดี๋ยวฉันจะซื้อเตียงแบบเดียวกันไว้ในห้องของเธอนะ”
เพราะบ้านหลังนี้มีห้องนอนอยู่ราวๆ 13 ห้อง เฮสเทียจึงมีตัวเลือกมากมาย
พอได้ยินคำพูดของเขา เฮสเทียก็แย้งขึ้นทันทีแบบไม่มีที่ให้ต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น
“ไม่เอาด้วยหรอก ก็ฉันอยากอยู่ในห้องนี้กับนายนี่~!
จะให้ไปอยู่ห้องใหญ่ๆ แบบนี้คนเดียวตอนกลางคืนได้ยังไงกัน!?”
เพราะเฮสเทียกำลังเถียงข้างๆ คูๆ ขณะนอนกลิ้งอยู่บนเตียงคนเดียวอย่างสบายอารมณ์ วาห์นจึงรู้สึกว่ามันเป็นข้อโต้แย้งที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
เธองอแงเสียงดังพลางชูกำปั้นเล็กๆ ขึ้นไปบนเพดานและทำหน้าน่าสงสารสุดๆ ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่โดนเจ้าของทิ้งไว้ข้างถนน
เขานึกขึ้นมาได้ว่าเฮสเทียนั้นมักจะนอนกับเบลล์อยู่เสมอ แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งหรือคบหากันเป็นเรื่องเป็นราวก็ตาม
วาห์นพอสรุปได้ว่าเธอคงเป็นประเภทที่ไม่ชอบนอนคนเดียว
เขารู้สึกสงสัยหน่อยๆ ว่าเธออยู่บนสวรรค์มาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร เพราะเป็นที่รู้กันว่าเฮสเทียนั้นปฏิเสธเทพทุกองค์ที่อยากเข้าหาและมีเพื่อนน้อยมาก
หลังครุ่นคิดต่ออีกหน่อย วาห์นก็ต้องยอมแพ้ให้กับความเอาแต่ใจของเธอไปก่อน
ที่จริงแล้วเขารู้สึกเพลิดเพลินไปกับเวลาที่ได้อยู่กับเฮสเทียมาก ส่วนการตามเอาใจเธอนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหรือลำบากอะไรเลยและเป็นสิ่งที่วาห์นคาดไว้แล้วก่อนที่ทั้งคู่จะได้เจอกันเสียอีก
เมื่อคืนพวกเขาก็นอนร่วมเตียงเดียวกันโดยไม่มีปัญหาอะไร วาห์นจึงตัดสินใจเอาตามนี้ไปก่อน
พอสมาชิกคนอื่นเริ่มย้ายเข้ามาอยู่และตัวเขาได้แต่งงานกับเฮเฟสตัสและเอน่า วาห์นก็คาดว่าเฮสเทียคงจะย้ายออกไปเอง
แม้ยังไม่แน่ใจว่าภรรยาทั้งสองจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกันแบบถาวรหรือเปล่า แต่อย่างน้อยวาห์นก็คาดว่าเอน่าคงจะลาออกจากงานที่กิลด์เข้าสักวันและมาอยู่กับเขา อาจถึงขั้นกลายเป็นสมาชิกของเฮสเทียแฟมิเลียไปด้วยเลยก็ได้
วาห์นพยักหน้าแบบยิ้มๆ และพูดขึ้น
“โอเค เราจะนอนห้องนี้ด้วยกัน …แต่เธอต้องจำไว้นะว่าต่อไปจะมีคนมาอยู่ที่นี่เพิ่มแน่นอน นั่นรวมถึงภรรยาหรือคนรักของฉันด้วย”
คำพูดส่วนแรกนั้นทำให้เทพตัวเล็กรู้สึกดีใจสุดๆ แต่ว่าส่วนหลังกลับสร้างความเสียหายอย่างหนักจนวิญญาณของเธอแทบจะลอยกลับขึ้นสวรรค์ไปซะเดี๋ยวนั้นเลย
เฮสเทียเริ่มม้วนตัวไปกับผ้าห่มและกลายร่างเป็นตัวหนอนพลางกัดอย่างไม่สบอารมณ์ขณะที่วาห์นได้แต่มองฉากตรงหน้าอย่างขำขัน