Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 219
ส่วนสุดท้ายที่วาห์นเข้าไปตกแต่งก็คือโรงหลอมที่อยู่ด้านนอกและภายในห้องลับ
ถึงตั้งใจจะใช้โรงหลอมในห้องลับเป็นหลัก แต่เขาคิดว่าสมาชิกในอนาคตบางคนอาจต้องการใช้โรงหลอมใหญ่เพื่อฝึกปรือฝีมือหรือทำงานวิจัยเช่นกัน
แม้ ‘เพลิงนิรันดร์’ จะประจำอยู่ที่อาคารสาขาใหญ่เพียงที่เดียว แต่แม้แต่เฮเฟสตัสเองก็มีโรงหลอมอยู่หลายแห่งเช่นกัน
พอจัดทุกอย่างจนเข้าที่ดีแล้ว วาห์นก็มองเข้าไปในระบบและต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าแต้ม OP ของตนหายไปเป็นจำนวนมากภายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เขาเคยมีอยู่เกือบ 500,000 OP เมื่อไม่นานมานี้เอง ทว่าตอนนี้กลับเหลือแค่ 139,417 OP เท่านั้น
เนื่องจากไอเท็มหลายอย่างที่ซื้อมานั้นเป็นแบบ ‘ใช้งานระยะยาว’ เขาเลยช้อปแหลกจนลืมตัว
พอถึงเวลาห้าโมงเย็น วาห์นก็เข้าสู่ลูกแก้วและใช้เวลาสามวันเพื่อฟื้นแต้ม OP ที่สูญเสียไป
ด้วยสกิลที่มีอยู่ตอนนี้ เขาสามารถเพิ่มค่า OP ได้ประมาณวันละ 9,000-11,000 แต้ม (TL: เวลาในลูกแก้ว)
พอกลับออกมาแล้วมันก็เลยเพิ่มขึ้นอีกหน่อยเป็น 168,399 OP
วาห์นคลายความกังวลขึ้นมาเล็กน้อยเนื่องจากเขาน่าจะสามารถเพิ่ม OP ได้วันละ 50,000-60,000 แต้ม (TL: เวลาในโลกจริง) หากพยายามเต็มที่
เมื่อเทียบกับในอดีตที่ต้องอาบเหงื่อต่างเพื่อเก็บ OP ให้ครบหนึ่งล้านแต้ม วาห์นคิดว่าตอนนี้มันดูง่ายและสบายกว่ากันเป็นไหนๆ
ในขณะที่กำลังคิดคำนวณอยู่นั้น เฮสเทียก็ขอให้เขาติดตั้งห้องครัวเล็กๆ ภายใน ‘ห้องนอนของทั้งคู่’ ก่อนจะขึ้นไปนอนบนโซฟาที่วาห์นซื้อให้ใหม่และทานขนมขบเคี้ยวอย่างมีความสุข
ทันทีที่ทุกอย่างดูเข้าที่ดีแล้ว เธอก็เริ่มแสดงนิสัย (ขี้เกียจ) แบบเดิมๆ ออกมาขณะนอนห้อยหัวและมองดูวาห์นทำงานไปเรื่อยเปื่อย
วาห์น (ยังอุตส่าห์) กังวลว่าเธอจะปวดคอ แต่ดูเหมือนเฮสเทียจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
พอจำได้ว่าเท้าของเธอนั้นมีความพิสดารแค่ไหน เขาเลยสันนิษฐานว่านี่คงเป็นกรณีคล้ายๆ กัน
พอเห็นว่าเด็กหนุ่มทำงานและจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เฮสเทียก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้งและเริ่มชวนคุยเรื่องต่างๆ
ตอนนี้เธอดูกลายเป็นคนละคนซึ่งผิดกับตอนที่เขายุ่งอยู่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
ในที่สุดหัวข้อสนทนาก็มาถึงเรื่องแฟมิเลียในอนาคต เพราะยังมีเรื่องที่ต้องไปลงทะเบียนกับทางกิลด์ด้วย ทั้งคู่จึงต้องเตรียมคำตอบเอาไว้ก่อน
วาห์นคิดคำตอบไว้บ้างแล้ว เขาจึงพูดขึ้น
“ฉันอยากให้เราเป็นแฟมิเลียที่จัดทีมออกสำรวจดันเจี้ยนและยังทำหน้าที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบแบบพอประมาณ
ฉันไม่เชื่อเรื่องการ ‘ขจัดความชั่วร้ายให้หมดไปจากโลก’ หรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่ถ้าเราทำอะไรแบบมีหลักการและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับแฟมิเลียอื่นๆ ล่ะก็… นั่นยังฟังดูเป็นไปได้ขึ้นมาหน่อย
นอกเหนือจากนั้น ฉันยังอยากให้แฟมิเลียของเราปกป้องผู้อ่อนแอและเป็นที่พึ่งพิงสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาตัวเองด้วย…”
เฮสเทียรับฟังทุกอย่างพร้อมรอยยิ้มขณะที่วาห์นเผยความคิดของตัวเองอย่างหมายมั่นและกระตือรือร้น
เธอมองออกว่าเพราะความอ่อนโยนและใจดีที่เขามี ความต้องการของวาห์นจึงออกไปทาง ‘วีรบุรุษ’ และ ‘ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือคนอื่น’
ถึงจะรู้ดีว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เฮสเทียก็รู้สึกภูมิใจในและเชื่อว่ามันเป็นความคิดที่น่ายกย่อง
ในฐานะเด็กคนแรกของแฟมิเลีย วาห์นจะเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นในภายหลังและมีโอกาสที่ความฝันนี้อาจกลายเป็นความจริงตราบใดที่เขาได้รับแรงสนับสนุนมากพอ
เมื่อเขาพูดจบแล้ว เฮสเทียก็พูดขึ้นบ้าง
“ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยให้ฝันของนายเป็นจริงนะ
ตราบใดที่ยังเดินหน้าต่อและไม่ละทิ้งความเชื่อมั่น ต้องไม่มีอะไรมาหยุดนายได้แน่นอน
แน่นอนว่าเราต้องเจอกับปัญหาในอนาคตและแม้จะต้องก้าวช้าลงหรือหยุดเดินชั่วคราว ความกล้าที่จะเข้าฝ่าฟันกับทุกอย่างและความพยายามอย่างดีที่สุดจะช่วยผลักดันให้นายเดินต่อไปได้เอง
ถ้ารู้สึกเหนื่อยหรืออยากพักล่ะก็… ฉันจะรออยู่ที่นี่… จะรอการกลับมาของนายอยู่เสมอ…”
ขณะที่เฮสเทียกำลังพูด วาห์นก็มองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอย่างเหม่อลอยพลางเก็บและจดจำทุกคำพูดของเธอไว้ในใจ
เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร อาจเป็นเพราะเธอคือคนที่เขาอยากเจอมาโดยตลอด แต่หลายอย่างที่เธอพูดออกมานั้นสะท้อนเข้าไปในจิตใจส่วนลึกของเขาแทบทั้งสิ้น
แม้จะดูอ่อนแอ ขี้เกียจ และไม่น่าเชื่อถือ แต่เฮสเทียก็ยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาและทำให้วาห์นรู้สึกมั่นใจในอนาคตมากยิ่งกว่าเดิม
เพราะเคยเห็นจากในมังงะมาแล้วว่าเธอทำงานหนักแค่ไหน วาห์นจึงเข้าใจดีว่าเฮสเทียนั้นเป็นประเภทที่พยายามอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือคนที่เธอใส่ใจจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นทุกอย่างที่เธอพูดแบบไร้ข้อกังขา
ดูเหมือนวาห์นจะทำแบบนี้หลายรอบมากในช่วงสองวันที่ผ่านมา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขายิ้มให้เฮสเทียและตอบกลับไป
“ขอบใจนะเฮสเทีย… ฉันจะทำให้ดีที่สุดเลย”
รอยยิ้มของเฮสเทียกว้างขึ้นอีกและตามมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ฉันรู้ว่านายทำได้แน่~! แต่ว่านายต้องหยุดคิดว่า ‘ฉันๆๆ’ ได้แล้วนะวาห์น!
จากนี้ไปต้องใช้ ‘เรา’ สิ
ต่อไปต้องพูดว่า ‘เรา’ จะทำให้ดีที่สุด… ด้วยกันนะ~!”
เฮสเทียดูเหมือนจะกำลังตื่นเต้นแบบสุดๆ ก่อนจะเข้ามากุมมือของวาห์นอย่างลืมตัว
สีหน้าของเธอนั้นดูมั่นใจมากและยังติดแดงนิดๆ พร้อมดวงตาที่เปล่งประกายมากกว่าครั้งไหนๆ
วาห์นบีบมือให้แน่นขึ้นและเผยสีหน้ามั่นใจเช่นกันขณะที่ทั้งสองสบตากันไปมาราวกับกำลังแข่งจ้องตากันอยู่
หากมีคนเดินเข้ามาเห็นภาพนี้ ร้อยทั้งร้อยคงคิดแบบเดียวกันว่า ‘ไอ้สองคนนี้มันบ้าไปแล้ว’
แต่เนื่องจากไม่มีใครมาคอยขัด (ความบ้า) ทั้งคู่เลยค้างอยู่แบบนั้นจนบรรยากาศเริ่มแปลกๆ หลังผ่านไปอีกประมาณครึ่งนาที
แม้เฮสเทียจะประสานตาต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เธอก็ยิ่งรู้สึกเขินหนักขึ้น
เทพสาวไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่วาห์นเองก็กำลังทำแบบเดียวกันจนเธอไม่รู้ว่าควรจะเป็นฝ่ายถอยออกไปก่อนดีหรือรอให้เขาขยับก่อนดี
วาห์นเองก็กำลังคิดหนักไม่แพ้กัน ทั้งคู่จึงถูกตรึงอยู่ในท่า ‘แข่งซูโม่’ กันนานกว่าที่ตั้งใจไว้
ความแดงบนใบหน้าของเฮสเทียยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอหัวเราะเสียงดังขณะดึงมือตัวเองออกไปและพูดทำลายความเงียบ
“ดีมากๆ นับแต่นี้ไปเราจะทำให้ดีที่สุดด้วยกันนะ~! แหะๆ~”
วาห์นเห็นว่าเทพธิดาของตนคงรู้สึกอายไม่ต่างไปจากตัวเอง เขาก็เลยตามน้ำพลางหัวเราะแก้เขินไปกับเธอด้วย
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ออกจากคฤหาสน์ฮาร์ธและมุ่งหน้าไปยังเจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อมเพื่อทานอาหารเย็น
แม้ว่าเฮสเทียอยากจะอยู่บ้านและทานข้าวด้วยกันแบบสองต่อสอง แต่วาห์นยืนกรานว่ายังไงเขาก็จะไม่ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับกับมิลานและทีน่าแน่นอน
เขาอยากใช้เวลาร่วมกับพวกเธอแบบนี้ต่อไปอีก หรืออย่างน้อยก็จนกว่าสภาพจิตใจของทั้งคู่จะดีขึ้น
เฮสเทียถอนหายใจหลังได้ฟังคำอธิบายก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มและเดินตามหลังไปโดยไม่พูดแย้งอะไรต่อ
แต่การ ‘ว่านอนสอนง่าย’ ในครั้งนี้นั้นแลกมาด้วยการที่วาห์นต้องเดินจับมือเธอผ่านอากาศอันหนาวเย็นในช่วงพลบค่ำ
เพราะเฮสเทียกำลังเดินอย่างมีความสุขแบบออกนอกหน้า วาห์นเลยมีโอกาสได้จ้องมองเท้าของเธอเพื่อดูว่าพวกมันจะเป็นยังไงหากต้องเจอกับพื้นขรุขระ
แม้กระทั่งตอนที่ทั้งคู่เดินผ่านบริเวณพื้นหินกรวด เฮสเทียก็เดินผ่านไปแบบไม่รู้สึกรู้สาซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับวาห์นอยู่บ้าง
เมื่อนึกถึงความอ่อนนุ่มที่เคยสัมผัสมากับมือ วาห์นนึกว่าพวกมันน่าจะโดนหินบาดแต่กลับไม่เป็นไปดังคาด
—
ในระหว่างช่วงมื้ออาหาร เฮสเทียแยกตัวออกจากวาห์นก่อนจะมานั่งกับทีน่าและเริ่มชวนเด็กสาวคุยเล่นอย่างออกรส
เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ เพราะเฮสเทียนั้นดูจะไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนอื่นเท่าไหร่นัก
พอเห็นว่าเธอสนิทกับทีน่าได้อย่างรวดเร็ว วาห์นที่กำลังนั่งอยู่กับมิลานก็ได้แต่ยิ้มให้กับภาพที่เห็น
มิลานเองก็ดูมีความสุขเช่นกันขณะกระซิบคุยกับเขา
“เทพธิดาของนายดูใจดีมากเลยนะ… “
วาห์นพยักหน้าพร้อมกระซิบต่อ
“ถึงบางครั้งจะชอบตัวแปลกๆ แต่เธอก็เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและเอาใจใส่คนอื่นในแบบของเธอเอง”
จากนั้นเขาก็จับมือของมิลานพลางบีบมันเบาๆ และพูดต่อ
“ฉันอยากให้เธอเข้าร่วมแฟมิเลียของเราจริงๆ นะ… เฮสเทียกับฉันสัญญากันแล้วว่าจะสร้างสถานที่ที่ทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข… อยู่อย่างครอบครัวเดียวกัน”
มิลานสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกวาห์นจับมือในช่วงแรกแม้ว่าเธอจะไว้ใจเขามากแค่ไหนก็ตาม
ในขณะที่พวกเขากำลังทานอาหารเย็นกัน เธอก็เข้ามานั่งใกล้จนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเขาและพยายามที่จะเอาชนะบาดแผลในใจของตัวเองไปด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ความสุขและความรู้สึกขอบคุณก็เริ่มแผ่กระจายไปทั่วจิตใจเพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขายังคงให้ความสนใจกับเธอและทีน่าเหมือนเดิม
เธอหมายมั่นว่าจะเข้าร่วมแฟมิเลียของวาห์นอยู่แล้วและรู้สึกยินดีที่เห็นว่าเขาจริงจังแค่ไหนกับการสร้างสถานที่เพื่อปกป้องพวกเธอและในขณะเดียวกันก็ยังเห็นว่าเธอกับทีน่าเป็น ‘คนในครอบครัว’ ด้วย
—————
ติด.ตามแฟนเพจอ่านตอนล่าสุดได้ที่: EP:IC Translation
—————
วาห์นเห็นรอยยิ้มของมิลานก่อนจะเอื้อมมาจับฮู้ดที่เธอสวมอยู่และค่อยๆ ดึงมันออกจนเห็นใบหูที่ดูมีขนขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาเห็นว่าออร่าของมิลานเริ่มผันผวนขณะที่เจ้าตัวก้มหน้าลงราวกับรู้สึกละอายในสภาพปัจจุบันของตัวเอง
เฮสเทียและทีน่าที่เฝ้ามองทั้งคู่อย่างเงียบๆ เองก็รู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้เห็นใบหูของมิลาน
เฮสเทียได้ฟังเรื่องนี้มาแล้วและรู้ว่าหากไม่ได้วาห์นช่วยไว้ มิลานก็คงจะเสียชีวิตหลังจากหูและหางของเธอถูกตัดออกไป
การรับฟังเรื่องราวกับการได้เห็นด้วยตาตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเธอเองก็เกือบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นร่องรอยที่หลงเหลือจาก ‘เหตุการณ์’ ในครั้งนั้น
แม้จะรู้สึกผิดที่ทำลงไปโดยไม่บอกเธอก่อน แต่สีหน้าของวาห์นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยขณะค่อยๆ ยื่นมือซ้ายออกมาและใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อลูบผมและใบหูของมิลานอย่างอ่อนโยน
ตอนแรกนั้นหญิงสาวเกือบจะหันหัวหนีไปแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็หักห้ามใจไว้ได้ด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อผ่อนคลายความกังวล
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ พลังงานอุ่นๆ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในศีรษะบวกกับความรู้สึกรื่นรมย์จากการถูกวาห์นลูบนั่นทำให้ความกลัวของมิลานลดลงไปมาก
วาห์นคิดเรื่องนี้มานานพอสมควร ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปอย่างแผ่วเบา
“ทุกคนที่นี่เป็นคนที่ไว้ใจได้นะ… เธอไม่ต้องปิดบังหรือรู้สึกอับอายกับสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเองหรอก
อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ควรซ่อนหรือคิดมากไปเอง… พวกเราทุกคนเป็นห่วงเธอและอยากเห็นเธอกลับมาเป็นปกตินะ มิลาน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา น้ำตาของทุกคนในห้องก็เริ่มซึมออกมาพร้อมกันกับที่มิลานเงยหน้าขึ้นและเผยให้เห็นสีหน้าแสนสลดจนวาห์นได้แต่กล่าวโทษตัวเองในใจ
แต่ไม่ว่าจะรู้สึกเศร้าหรือสงสารเธอมากแค่ไหน วาห์นก็ยังคงแสดงรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิมพร้อมกับขยายพลังเขตแดนออกไปทั่วห้องแบบเงียบๆ
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้นและนอกเหนือจากตอนที่เธอตื่นขึ้นฝันร้ายในช่วงเวลากลางคืน… มิลานเริ่มร้องไห้ออกมาขณะฝังใบหน้าลงบนแผงอกของวาห์น
ความกังวลอย่างต่อเนื่องและสีหน้าอ่อนโยนของเขาค่อยๆ เข้ามากัดกร่อนกำแพงในจิตใจของเธอเรื่อยๆ จนเกิดรอยรั่วและทำให้สิ่งที่ถูกกักเก็บอยู่ภายในไหลทะลักออกมา
เธอเกลียดการที่ตัวเองนำภาพของเด็กหนุ่มคนนี้ไปซ้อนกับสารเลวพวกนั้นเหลือเกิน…
เป็นเสี้ยววินาทีเดียวที่เห็นว่าเขาดูไม่ต่างไปจากพวกที่มอบความทรมานให้กับเธอ
มิลานยังคิดวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากวาห์นให้ถึงที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ไม่ละทิ้งเธอและลูกสาวไปด้วย… แต่ตอนนี้หญิงสาวเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเขาไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัวเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอพยายามแยกตัวเองและทีน่าออกมา วาห์นก็คงคอยตามปกป้องดูแลทั้งสองแบบไม่ห่างและพาไปอยู่ที่บ้านด้วยแล้ว
ทีน่าทนดูต่อไปไม่ไหวก่อนจะวิ่งเข้ามาสวมกอดด้วยขณะที่วาห์นพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีขึ้น
เฮสเทียเองก็กำลังจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยสายตาเปียกชื้นขณะที่ซีลซึ่งรับหน้าที่เสิร์ฟอาหารในวันนี้ก็กำลังยืนดูอยู่ห่างๆ
หนึ่งเทพธิดากับหนึ่งลูกครึ่งเทพ(?) ประมาณกันไม่ถูกเลยว่าความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่วาห์นแสดงให้เห็นอยู่บ่อยครั้งนั้นมีมากมายมหาศาลขนาดไหน
แถมเฮสเทียก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์ของวาห์นกับพวกสาวๆ แต่ละคนนั้นอาจลึกซึ้งกว่าที่เธอคิดเอาไว้
ราวกับว่าทั้งสองถูกพลังที่มองไม่เห็นเข้าควบคุมไปชั่วขณะ เฮสเทียกับซีลหันมาสบตากันสั้นๆ ก่อนจะหันกลับไปมองฉากตรงหน้าอีกครั้งอย่างเข้าใจกัน