Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 22
วาห์นเดินหน้าต่อไปในดันเจี้ยนจนกระทั่งพบบันไดที่พาเขาไปสู่ชั้นถัดไป หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจไปต่อเพื่อทดสอบดาบเล่มใหม่ของเขา เขาเดินหน้าต่อจนเห็นทางเข้าชั้นถัดไป เมื่อมองออกไปนอกประตู เขาจะเห็นบันไดที่ลงต่อไปอีก แต่เมื่อลองเดินเข้าไปก็รู้สึกถึงแรงต้านที่ทำให้เขาไปต่อไม่ได้
เขาลองยื่นมือออกไปเพื่อเป็นการทดสอบ เขารู้สึกถึงเยื่อบางๆ ที่สร้างแรงต่อต้านมากขึ้นตามจำนวนแรงที่เขาใช้ออกไป
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาถอยออกมาและลองเหวี่ยงดาบใส่เพื่อตัดผ่านม่านพลังที่มองไม่เห็น
แม้มันจะตัดผ่านไปได้ในตอนแรก แต่หลังที่ดาบผ่านเข้าไปประมาณ 30-40 ซม. เขาก็รู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับอย่างฉับพลัน
เพราะเขาไม่ทันระวังตัว ดาบจึงหลุดออกจากมือ และวาห์นรู้สึกว่ามีบางอย่างอุ่นๆ ไหลออกมาจากมือที่ชาจากแรงกระแทก เมื่อมองลงไปก็พบเลือดที่กำลังไหลออกมาระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ การดีดกลับทำให้ส่วนของผิวหนังระหว่างนิ้วมือทั้งสองขาดออกจากกัน
(“เมื่อกี้นี้เราไม่ได้คิดให้ดีก่อน แต่อย่างน้อยก็พอเข้าใจขีดจำกัดของดาบเล่มนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว มันคงผ่านกรรมวิธีเพื่อเสริมความคมมา แต่แรงต้านที่มากกว่าก็คงสะท้อนมันออกไปได้อยู่ดี”)
หลังจากรักษาบาดแผลของตัวเองโดยใช้โพชั่นฟื้นฟูระดับต่ำที่ได้จากระบบ วาห์นก็เดินต่อไปยังชั้นที่ 2
ชั้นที่ 2 นั้นค่อนข้างคล้ายกับชั้นแรก ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือจำนวนเส้นทางที่แตกแขนงออกไปมากมาย
ในขณะที่เขาเริ่มสำรวจดันเจี้ยนชั้นนี้ วาห์นก็พบกับมอนสเตอร์ชนิดใหม่เป็นครั้งแรก
มันสูงประมาณ 130 ซม. และปกคลุมไปด้วยขนสีเทาสกปรก วาห์นพอจะระบุได้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ก็คือ ‘โคโบลด์’ นั่นเอง
มันมีส่วนหัวที่เป็นสุนัขและแสดงท่าทางเกียจคร้านในขณะที่กำลังเดินงุ่มง่ามไปตามทางเดิน
แม้เขาจะถูกสัญชาตญาณครอบงำและพยายามเอาธนูออกมาก่อน แต่วาห์นก็สะกดความคิดนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขาทำท่าร่างที่คิดว่าดูเหมาะสมที่สุดและเริ่มเข้าใกล้โคโบลด์อย่างช้าๆ
เมื่อโคโบลด์รู้สึกตัว มันก็มองไปทางมนุษย์ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะวิ่งสวนเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง มันเร็วกว่าก็อบลินมากและมีความสามารถในการวิ่งแบบสี่ขาซึ่งทำให้มันมีความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลัน
เมื่อมันเข้ามาถึงระยะ วาห์นก็ลองแกว่งดาบไปทางโคโบลด์ ขณะที่คบดาบกำลังเข้ามาใกล้ เจ้าโคโบลด์ก็ใช้การเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วเพื่อหลบไปทางด้านล่างเส้นทางของดาบอย่างง่ายดาย
มันอาศัยจังหวะที่เขาเสียการทรงตัวหลังการแกว่งดาบและกระโจนเข้าไปที่ส่วนท้องของเขาก่อนจะฝังเขี้ยวแหลมคมของมันเข้าไปในช่องท้อง
ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบฉับพลัน เจ้าโคโบลด์ก็เริ่มเหวี่ยงหัวไปมาขณะที่มันพยายามฉีกกระชากเนื้อจากส่วนท้องของวาห์น
ด้วยความตกใจ วาห์นทิ้งดาบของเขาลงและพยายามจับหัวของโคโบลด์เพื่อยับยั้งไม่ให้มันเคลื่อนไหว โคโบลด์เริ่มโต้กลับโดยใช้กรงเล็บของมันตะกุยทุกอย่างที่ขวางหน้า นั่นทำให้วาห์นได้แผลไปทั่วทั้งแขนและหน้าอก
เมื่อความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วาห์นก็รู้สึกถึงความรู้สึกสงบที่คุ้นเคยกระจายอยู่ภายในจิตใจของเขา ในขณะที่เลือดเริ่มไหลมารวมกันตรงลำคอจนเขาใกล้จะกระอักมันออกมา เขารวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อหันไปทางกำแพงและกระแทกร่างกายของตัวเองพร้อมกับเจ้าโคโบลด์ที่อยู่กึ่งกลางเข้ากับกำแพงให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในที่สุดโคโบลด์ก็ยอมปล่อยขากรรไกรออกจากท้องของวาห์น เพียงเพื่อที่จะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นต้นขาซ้ายของเขาแทน วาห์นรู้สึกถึงความเจ็บปวดแห่งใหม่ที่ขาซ้าย เขาใช้สติที่เหลืออยู่เพื่อส่วมใส่มีดที่เก็บไว้ในช่องเก็บของ หยิบมันขึ้นมาและเริ่มแทงไปที่ด้านหลังของโคโบลด์ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนในที่สุดมันก็กลายเป็นผุยผง
วาห์นทรุดตัวลงไปพิงที่กำแพงและมองท้องของตัวเอง เขามองเห็นเลือดสีดำไหลออกมาจากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นตับของเขา นอกจากนี้เขายังเห็นเลือดสีแดงสดที่ไหลราวกับสายน้ำจากเส้นเลือดที่ฉีกขาด เมื่อได้เห็นเลือดของตัวเองแล้วเขาก็เริ่มนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาเสียชีวิตในครั้งก่อน…
(*…!!!!*)
เมื่อสติของเขาเริ่มจางหายไป เขาได้ยินเสียงตะโกนจากภายในหัวแต่ก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เสียงนั้นพูดออกมาได้ เขาพยายามตั้งใจฟังมัน แต่ความมืดที่เข้าปกคลุมการมองเห็นของเขาดูเหมือนจะพยายามขัดขวางไม่ให้ข้อความผ่านเข้ามา ความรู้สึกสงบที่อยู่ภายในใจของเขาเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เขาเริ่มสั่นสะท้านและไม่รู้สึกถึงขาของตัวเอง
(*…..!!!!!*)
“เสียงของใครกัน… พี่สาวเหรอ? ขอโทษนะ ผมไม่ได้ยินที่พี่พูดเลย…” วาห์นไอออกมาเป็นเลือดขณะที่พยายามพูดออกมา
เปลือกตาของเขาเริ่มรู้สึกหนักราวกับตะกั่วในขณะที่เขาพยายามป้องกันไม่ให้มันปิดลง ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถเปิดพวกมันต่อไปได้ เขารู้ว่าถ้าไม่พยายามเปิดตาเอาไว้ จะมีสิ่งน่ากลัวเกิดขึ้นแน่น่อน แต่เขาก็ไม่เหลือแรงจะไปยับยั้งอะไรแล้ว…
ความมืดปกคลุมสายตาของเขาอย่างสมบูรณ์และในที่สุดดวงตาของเขาก็ปิดลง
*ตึกๆ*……………………*ตึกๆ*………………..
“…”
*ตึกๆ*………………*ตึกๆ*……………
วาห์นรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ทรงพลังพยายามบุกฝ่าความมืด เขาสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดภายในร่างกายและไม่สามารถประมวลผลความคิดใดๆ ได้เลย
*ตึกๆ*……………..*ตึกๆ*……………..
เมื่อความรู้สึกนั้นรุนแรงขึ้น เขาก็เริ่มเห็นภาพบางอย่าง ความทรงจำต่างๆ ที่ผ่านมาหลั่งไหลเข้ามาตามจังหวะของเสียง เขาได้มองย้อนกลับไปยังช่วงที่เขามาถึง ‘เรคคอร์ด’ ของดันมาจิในตอนแรก แม้จะรู้สึกหวาดกลัว แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระเพื่อเป็นเกียรติแก่ความปรารถนาของแม่…
*ตึกๆ*………….*ตึกๆ*…………
เขาเห็นการฝึกฝนอย่างหนักตลอดหกเดือน เห็นว่าเขาได้เปลี่ยนตัวเองจาก ‘สัตว์ทดลอง’ รูปร่างผอมแห้งไปเป็นนักล่าที่มีความสามารถถึงขนาดเอาชนะชนเผ่าก็อบลินได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก…
*ตึกๆ*………..*ตึกๆ*…….
เขาเริ่มนึกถึงผู้คนทั้งหมดที่พบเจอหลังจากเดินทางมาที่เมือง
เกรกอรี่…ชายวัยกลางคนใจดีที่ประตูเมือง
ฟาวน่า…สาวพนักงานต้อนรับ
มิลลี่…สาวร่างเล็กที่ตักเตือนเขาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง
*ตึกๆ*…*ตึกๆ*…..
เขานึกถึงมิลานและทีน่า…คู่แม่ลูกสาว
เขายังต้องการที่จะไปกำจัดความเข้าใจผิดที่ทีน่ามีต่อเขา… เขายังจำได้ถึงรสชาติของอาหารที่มีชื่อว่าา ‘สปาเก็ตตี้’ และมนุษย์แมวเรือนผมสีดำน่ากลัวที่มีชื่อว่าโคลอี้…
*ตึกๆ*….*ตึกๆ*….
ใช้แล้ว… มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้พบเจอมาตั้งแต่มาที่โลกใบนี้ ผู้คน สถานที่ และอาหารต่างๆ… เรายังอยากเจออะไรมากกว่านี้ การเดินทางของเราจะต้องไม่มาสิ้นสุดที่นี่! ไม่! เราจะไม่ยอมให้มันมาจบลงที่ตรงนี้!!!
*ตึกๆ*…*ตึกๆ*…*ตึกๆ* *เพล้ง!!!*
//ได้รับสกิลแฝง: ‘จิตแห่งราชัน’//
วาห์นรู้สึกว่าบางอย่างภายในจิตใจของเขาขาดผึงในขณะที่ตนพยายามต่อต้านความมืดอย่างถึงที่สุด เขากัดฟันอย่างแรงจนรู้สึกว่าฟันกรามแทบหัก เล็บของเขาจิกเข้าไปในฝ่ามือขณะที่ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้น ความรู้สึกสงบนิ่งที่เกิดจากจิตใจของเขาดูเหมือนจะโอบอุ้มร่างกายของเขาอยู่
วาห์นใช้การรู้สึกตัวในครั้งนี้ให้เป็นประโยชน์ เขาเปิดช่องเก็บของอย่างรวดเร็วและดึง ‘ถั่วเซียน’ ออกมา เขารู้สึกถึงเม็ดถั่วเล็กๆ บนมือและพยายามยกมันขึ้นเพื่อใส่ปาก ความมืดเริ่มหวนกลับมาอีกครั้งแต่เขาก็บังคับให้มันถอยออกไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่
ในที่สุดเขาก็ใส่ ‘ถั่วเซียน’ เข้าไปในปากได้สำเร็จและรีบกลืนมันเข้าไป เขารู้สึกว่าบาดแผลถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและรอยฉีกขาดขนาดใหญ่ที่ช่องท้องเริ่มสมานกัน ราวกับว่าเวลากำลังย้อนกลับและหลังผ่านไปหลายอึดใจ วาห์นก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงได้กลับมาแล้ว
เขายกดาบที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาและหันไปหาเหล่าสายตาที่จ้องมองเขาอยู่
“โทษทีนะที่ทำให้รอนาน เรามาเริ่มกันเลยไหม?”
เมื่อเขาเริ่มหมดสติไปก่อนหน้านี้ พวกก็อบลินและโคโบลด์จากบริเวณรอบๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นมาใหม่ แม้ว่าพวกมันอยากจะพุ่งเข้าไปหาเขาในทันที แต่พวกมันก็ถูกดันกลับออกมาโดยแรงกดดันที่มองไม่เห็น มันไม่เหมือนกับสิ่งใดที่พวกมอนสเตอร์ได้พบเจอมาก่อน พวกมันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวจับใจ ราวกับว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าพวกมันมีจิตวิญญาณของมังกรโบราณแฝงอยู่
เมื่อเขาพูดกับพวกมัน แรงกดดันก็เพิ่มขึ้นอีกในขณะที่พวกมันมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้น ภายในรูม่านตาของเขา พวกมันได้เห็นเงาของนักรบอันเกรี้ยวกราดที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ พวกมันยังมองเห็นภาพลวงตาของกองทัพอันเกรียงไกรที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างหลังเขาด้วย…
วาห์นไม่รีรออะไรอีกแล้ว เขาพุ่งไปหาเหล่ามอนสเตอร์ที่จ้องมองเขาด้วยความหวาดกลัวและเหวี่ยงดาบออกไปในวงกว้าง ลำแสงสีขาวไล่ตามตัวดาบไปติดๆ ดาบเริ่มส่งเสียงบางอย่างออกมาทุกครั้งที่ฟันถูกร่างของมอนสเตอร์ราวกับว่ามีชีวิตเป็นของตัวเอง มันเริ่มตอบสนองต่อออร่าของเจ้านายคนใหม่
วาห์นยังคงสังหารมอนสเตอร์อย่างบ้าคลั่งและดูเหมือนจะทำให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างภายในดันเจี้ยน
ทั้งผนัง พื้นหรือแม้แต่เพดานต่างก็ให้กำเนิดมอนสเตอร์เพื่อออกมาเผชิญหน้ากับจอมเผด็จการบ้าคลั่งที่สร้างความหายนะบนดันเจี้ยนชั้นที่สอง
หลังจากผ่านไปหลายนาที วาห์นได้สร้างเส้นทางแห่งการทำลายล้างไปจนถึงทางลงชั้นที่สาม แม้แต่ผนังของดันเจี้ยนเองก็ไม่อาจขัดขวางเส้นทางดาบของเขาได้ ในขณะที่เขาเองก็ทิ้งร่องรอยมากมายไว้ตามทางมากมาย
เมื่อมาถึงบันไดลงชั้นต่อไป วาห์นตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อและเดินตามบันไดเพื่อขึ้นสู่ชั้นบน พลังที่ไหลเวียนผ่านร่างกายของเขานับตั้งแต่ที่มันตื่นขึ้น บัดนี้เริ่มลดน้อยลงแล้วและสัญชาตญาณบอกกับเขาว่าเมื่อมันหายไปเมื่อไหร่ เขาคงจะหมดสติอย่างแน่นอน
เขารีบวิ่งขึ้นไปด้วยความเร็วสูงสุดจนมาถึงที่ทางเข้าหลักภายในยี่สิบนาที ในขณะที่เขาเดินออกจากทางเข้าไปหลายก้าว วาห์นก็ล้มลงและหมดสติไปในทันทีท่ามกลางฝูงชนที่เข้าและออกจากดันเจี้ยน
ผู้คนที่อยู่ตอบๆ ต่างถอยห่างออกมาจากเด็กหนุ่มผู้มีสภาพย่ำแย่ มีเลือดปกคลุมร่างของเขาทุกๆ ตารางนิ้วและพวกเขาคิดว่าหมอนี่คงประเมินตัวเองไว้สูงเกินไปก็เลยต้องชดใช้จากการขาดประสบการณ์ของตัวเอง นักผจญภัยที่ใจกล้าคนหนึ่งตัดสินใจไปดูว่าเด็กหนุ่มยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หลังจากนั้นจึงโบกมือให้เจ้าหน้าที่ของกิลด์ที่เดินเข้ามารับทราบว่าเด็กหนุ่มยังคงหายใจอยู่
หนึ่งในพนักงานที่เดินเข้ามาก็คือเอลฟ์คนที่วาห์นเคยเห็นมาก่อนหน้านี้นามว่า นิโคลัส กริมม์ เมื่อเห็นสภาพของเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งสอนสั่งเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับภัยอันตรายของดันเจี้ยน เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวด นิโคลัสส่งสัญญาณให้พนักงานพาเด็กหนุ่มไปที่ห้องพยาบาล เขาตัดสินใจว่าจะสั่งสอนเด็กคนนี้อย่างเข้มงวดอีกครั้งเมื่อเขาตื่นขึ้น
—————