Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 220
หลังจากร้องไห้ไปพักใหญ่ มิลานก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นและฟื้นคืนรอยยิ้มจากในอดีตกลับมาบ้างแล้ว
ทีน่าสังเกตเห็นมันเช่นกัน เธอจึงยิ้มอย่างมีความสุขณะที่วาห์นลูบผมและหูของทั้งสองด้วยความรักใคร่
พวกเขาใช้เวลาที่เหลืออย่างเงียบๆ และเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศแปลกใหม่พร้อมกับซีลที่ยังคงเข้ามาบริการให้เช่นเดิม
วาห์นรู้สึกกังวลกับท่าทางของเฮสเทียเล็กอยู่บ้าง แต่พอได้สบตากับเทพสาว เธอก็ยิ้มและส่ายหัวราวกับจะสื่อว่า ‘ไม่ต้องกังวล’
เมื่อหมดช่วงอาหารเย็น ซีลก็บอกมิลานกับทีน่าว่าคืนนี้ไม่ต้องไปทำงานต่อแล้วและให้กลับไปพักที่ห้องได้เลย
หลังจากร่ำลาวาห์นด้วยอ้อมกอด ทั้งคู่ก็เดินกลับไปที่ห้องพร้อมออร่าที่สงบกว่าเดิมจนเขารู้สึกโล่งใจ
มิลานสัญญาว่าจะเข้าร่วมแฟมิเลียเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วและวาห์นก็ตั้งตารอให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ… วันที่รอยยิ้มของหญิงสาวจะหวนกลับมาอย่างสมบูรณ์
เด็กหนุ่มหันมามองซีลด้วยรอยยิ้มซาบซึ้งและคำขอบคุณ
“ขอบใจนะซีล เธอคอยช่วยฉันมาตลอดเลย”
คำพูดนั่นทำให้หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“ไม่ใช่แค่เพราะอยากช่วยนายอย่างเดียวหรอก ฉันเองก็รู้สึกแย่เกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเธอเหมือนกัน
แต่ถ้าอยากขอบคุณกันจริงๆ… ส่งความใจดีมาทางนี้บ้างก็ดีเหมือนกันนะ~”
เฮสเทียขมวดคิ้วกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินแบบสดๆ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะแม้กระทั่งตอนที่วาห์นสวมกอดหญิงสาวผมเทา ช
ทั้งคู่ไม่ได้จูบหรือทำอะไรที่ดูเกินกว่าเพื่อน แต่มันก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ซีลจะมีช่วงเวลาแบบนี้กับเขาบ้าง ช
ดวงตาสีเทาอ่อนของเธอดูเปล่งประกายเล็กน้อยและวาห์นต้องต่อต้านความรู้สึกแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาก่อนจะมอบจูบที่หน้าผากได้รูปและแยกตัวออกไป
ซีลแตะบริเวณ ‘จุดสัมผัส’ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อขณะมองมาที่วาห์นเป็นครั้งสุดท้ายและกลับไปทำงานต่อ
เมื่อเธอออกไปแล้ว วาห์นก็มองไล่หลังไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดพร้อมกับที่เฮสเทียพูดขัดจังหวะ
“เดี๋ยวนายช่วยเล่าเรื่องความสัมพันธ์ให้ละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหม?
ดูเหมือนว่าฉันจะขาดอะไรไปหลายอย่างเลยนะ”
ตอนแรกเฮสเทียคิดว่ามีสาวๆ หลายคนที่พยายามใช้ประโยชน์จากความใจดีของวาห์น แต่ตอนนี้พอรู้แล้วว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก
วาห์นหันมามองเฮสเทียและเห็นสีหน้าจริงจังสุดๆ พร้อมดวงตาสีฟ้าที่ดูเป็นกังวล
เมื่อพิจารณาคำขอของเธอ เขาก็พยักหน้าและสัญญาว่าจะอธิบายทุกอย่างเมื่อกลับถึงบ้าน
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินฝ่าอากาศอันหนาวเย็นซึ่งมีทีท่าว่าจะเย็นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
วาห์นเริ่มเห็นไอสีขาวจากลมหายใจของตัวเองขณะที่พวกเขาเดินกลับคฤหาสน์ฮาร์ธอย่างไม่เร่งรีบ
เด็กหนุ่มเห็นว่าเฮสเทียนั้นกำลังทำสีหน้าคิดหนักและปล่อยให้เขาเดินจูงมือไปตามทางโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว
—————
ติด.ตามแฟนเพจอ่านตอนล่า.สุดได้ที่: EP:IC Translation
—————
หลังผ่านไปอีกหลายนาที อาจเป็นเพราะความเหม่อลอยมากจนผิดปกติ เฮสเทียจึงเดินสะดุดหินและเกือบล้มลงหากไม่ใช่เพราะวาห์นคว้าไหล่ไว้ทัน
เธอมีสีหน้าซีดเผือดและเป็นครั้งแรกเลยที่วาห์นได้เห็นรอยแผลเล็กๆ บนเท้าของเทพสาว
ก่อนที่เฮสเทียจะได้เอ่ยปาก วาห์นก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวฉันแบกเธอเอง”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบทำให้น้ำตาของเฮสเทีสเล็ดออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วก่อนจะปีนขึ้นมาบนแผ่นหลังของเด็กหนุ่มอย่างไม่ลังเล
เป็นอีกครั้งที่วาห์นต้องประหลาดใจกับความนุ่มนิ่มที่ถาโถมเข้ามาเมื่อเธอแนบตัวเข้าใกล้และกอดคอของเขาไว้อย่างแน่นหนา
เขาใช้มือพยุงเรียวขาของเฮสเทียไว้ ก่อนจะยืนขึ้นและเดินทางต่อภายใต้รอยยิ้มของคนที่ไม่ต้องเดินเอง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เธอก็มากระซิบเบาๆ ข้างหู
“นายนี่มันใจดีเกินไปแล้วนะ…” แขนของเธอโอบแน่นขึ้นเล็กน้อย… เช่นเดียวกับความนุ่มนิ่มที่กดทับลงมา
“ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมสาวๆ ทุกคนถึงอยากพึ่งพานาย
นายปฏิบัติกับทุกคนดีมากและไม่ยอมอยู่เฉยเวลาที่พวกเธอเจอกับปัญหา… ได้ยินมาว่านายเป็นคนช่วยพวกเธอหลายคนเองกับมือเลยนี่
ทุกเรื่องที่นายทำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น… ช่วยเล่าออกมาให้หมดเลยนะ โอเคไหม?”
วาห์นพิจารณาคำขอนั่นและเนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ตั้งไว้อยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้ารับทันที
“ฉันจะไม่มีความลับกับเธอนะเฮสเทีย เธอคือเทพธิดาของฉัน… เป็นสมาชิกในครอบครัวของฉัน”
วาห์นรู้สึกว่าทุกครั้งที่เขาใช้คำๆ นั้น บางอย่างในร่างกายก็จะยิ่งผลิบานขึ้น
เขารู้จักคำว่า ‘ครอบครัว’ มาพักใหญ่ๆ แล้วแต่เพิ่งเริ่มที่จะใช้มันในการสนทนากับคนอื่นเมื่อไม่นานมานี้เอง
เขาเริ่มเปลี่ยนวิธีที่ตนเองรู้สึกกับคนบางคนจากแค่ ‘ชอบ’ เป็น ‘รัก’ แทนด้วย
ตอนนี้วาห์นเข้าใจแล้วว่าสภาพจิตใจของเขากำลังเปลี่ยนไปทีละนิด… เป็นก้าวเล็กๆ ที่มีความหมายมาก
คำพูดของวาห์นทำให้เฮสเทียดีใจจนถึงขั้นเอาหัวมาถูกันและใส่แรงที่แขนมากยิ่งขึ้น
จริงอยู่ที่เธอแรงน้อยมาก แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ทางเดินหายใจของเขาเกิดการติดขัด
ก่อนจะได้เอ่ยปากขอให้เธอ ‘เพลาๆ ลงหน่อย’ เฮสเทียก็เข้ามากระซิบอีกครั้งด้วยน้ำเสียงมีความสุข
“ใช่ๆ นับจากนี้และตลอดไป… เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ~!”
แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไรนัก แค่ค่าความชื่นชอบของเฮสเทียซึ่งค้างอยู่ที่ 90 ก็เริ่มขยับขึ้นเป็น 91 และเปลี่ยนสถานะจาก (อยากปกป้อง) ไปเป็น (ผูกพันตลอดไป) แทน
หลังจากเอียงคางไปมาและหลบหนีจากสภาวะขาดอากาศหายใจได้สำเร็จ วาห์นก็ยิ้มและเดินฝ่าความหนาวเย็นต่อไปพร้อมกับความอบอุ่นแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน…
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์ฮาร์ธและก้าวเข้าไปใน ‘บ้าน’ อันแสนอบอุ่น
วาห์นแบกเฮสเทียขึ้นไปจนถึงห้องนอนชั้นบนก่อนจะจะวางเธอลงบนโซฟา
ตอนแรกนั้นเขาคิดจะวางเธอลงบนเตียง แต่ก็เปลี่ยนใจกระทันหันและเริ่มใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อรักษาแผลที่เท้าให้
เฮสเทียเอียงหัวไปมาอย่างสงสัยก่อนจะเริ่มยิ้มแฉ่งและเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มซุกซนพร้อมกับถามขึ้น
“แทนที่จะแบกฉันกลับมานีแบบนี้… ทำไมนายไม่รักษาเท้าให้ตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ~?”
วาห์นอึ่งไปครู่หนึ่งขณะพยายามใช้สมองประมวลผล
เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็ต้องเห็นด้วยว่านั่นเป็นทางเลือกที่ฟังดูสมเหตุสมผลที่สุด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้วาห์นเลือกใช้วิธีนั้นก็เพราะท่าทางของเฮสเทียเอง
เพราะเห็นว่าสติของเทพสาวไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาก็เลยเลือกที่จะแบกเธอเพื่อตัดปัญหา
วาห์นเชื่อจริงๆ ว่านั่นคือสาเหตุก่อนจะเงยหน้ามองเฮสเทียเพื่อตอบข้อสงสัยของเธอ
“ฉันเห็นว่าเธอกำลังเดินเหม่อก็เลยเลือกวิธีนี้แทนน่ะ…”
เฮสเทียทำสีหน้าเหมือนจะไม่เชื่อและอยากแกล้งเด็กหนุ่มต่ออีกหน่อย
เธอยกแขนขึ้นมาเท้าเอวไว้จนริบบิ้นสีน้ำเงินยก ‘บางอย่าง’ ขึ้นมาด้วย
สายตาของวาห์นไขว้เขวไปชั่วขณะซึ่งทำให้เทพตัวเล็กหัวเราะคิกคัก
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น~?” ขณะพูด เฮสเทียก็ยืดอกอย่างภูมิใจพร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย
วาห์นถอนหายใจก่อนจะตอบกลับ
“ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าการแบกเธอมัน… ทำให้รู้สึกดีมาก แต่ฉันไม่ได้โกหก
ฉันเป็นห่วงจริงๆ แล้วก็ไม่อยากเห็นเธอเจ็บซ้ำสอง”
สีหน้าจริงจังและคำตอบแบบตรงๆ ของวาห์นทำให้รอยยิ้มของเฮสเทียกว้างขึ้นอีก
เพราะรู้ว่ายังไงเด็กหนุ่มต้องตอบออกมาตามตรงอยู่แล้ว แต่ก็รู้ด้วยว่าเขาคงรู้สึกอะไรตอนที่แบกอยู่บ้างแหละ
เฮสเทียตบต้นขาตัวเองพลางพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“มาๆ เอาหัวมานี่สิ~! มาหนุนตักเทพธิดาผู้งดงามองค์นี้แล้วก็เล่าเรื่องของนายตั้งแต่ต้นเลย~”
เป็นอีกครั้งที่วาห์นได้เห็นของดีภายใต้ชุดสีขาว (แบบไม่ตั้งใจ) ก่อนจะยอมรับข้อเสนอของเทพสาว ‘ผู้งดงาม’
เมื่อวาห์นวางหัวลงบนตักของเธออย่างไม่ลังเล หัวใจของเฮสเทียก็สั่นไหวหน่อยๆ ขณะจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเล
เธอถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรขณะรอให้เขาเริ่มเล่า
ทว่าก่อนที่วาห์นจะได้เริ่ม เฮสเทียก็ยกมือขึ้นมาลูบผมสีเข้มอย่างเบามือซึ่งคล้ายกับวิธีที่เด็กหนุ่มทำให้กับสาวๆ คนอื่น
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้ให้ แต่มันก็ทำให้เขาก็รู้สึกดีขึ้นได้ทุกครั้ง
หากพวกเธอรู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึกอยู่ในตอนนี้… วาห์นก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงชอบมันนัก
สองชั่วโมงหลังจากนั้น วาห์นก็เล่าเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาโดยเริ่มจากการได้พบทีน่าและมิลานที่ฮาร์ธเอ็มเบรส
เขาเล่ามันแบบหมดเปลือกซึ่งรวมถึงเรื่องน่าอายบางเรื่องเพราะสัญญาที่ให้ไว้กับเฮสเทียว่าจะพูดแต่ความจริง
เพราะวาห์นไม่สามารถพูดเรื่อง ‘ระบบ’ โดยตรงได้ เขาจึงต้องดัดแปลงข้อมูลเล็กน้อยและเปลี่ยนให้พวกมันเป็น ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ ของเขาแทน
วาห์นเล่าเรื่องที่พบกับลิลลี่ในดันเจี้ยน, เรื่องที่ช่วยชีวิตเธอไว้, จากนั้นก็ได้อาศัยอยู่ด้วยกันไปพักหนึ่ง
เขาพูดถึงเรื่องของโซม่าแฟมิเลียและการพบกันครั้งแรกระหว่างตนกับเฮเฟสตัส, สาเหตุที่ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น, สัญญาที่ให้ไว้กับเธอ, รวมถึงการสารภาพความในใจและสายใยที่มีให้กัน
วาห์นเล่าเรื่องตอนที่ไปอาศัยอยู่กับสึบากิ, การถูก ‘ข่มเหง’ อย่างหนัก, และเรื่องคะแนนแพ้ชนะที่ต้องเอาคืนให้ได้สักวันหนึ่ง
เขาเล่าถึงตอนที่พบกับนาซ่า, การรักษาแขนให้กับเธอ, กับการรับมือกลุ่มนักผจญภัยที่เข้าใจผิดและคิดว่าเขาเป็นมอนสเตอร์
นอกจากนี้เขายังพูดเรื่องที่ข่าวลือกระจายออกไปจนทำให้ได้พบกับโลกิแฟมิเลีย, การดวลระหว่างตนกับทีโอน่าและไอส์, การฝึกหนักและพักแรมภายในดันเจี้ยนแบบติดกันหลายวัน
เขาอธิบายเรื่องการเติบโตอย่างรวดเร็วของตัวเอง, การเผชิญหน้าและประสบการณ์เฉียดตายกับจักเกอร์นอต, การช่วยชีวิตกลุ่มพ่อลูก, การเดินทางมาถึงที่ชั้นที่ 18 และแม้แต่การซุ่มโจมตีของอนูบิสแฟมิเลีย
เฮสเทียนั่งฟังทุกอย่างด้วยอาการเหม่อลอยขณะพยายามนึกภาพตาม
พอวาห์นพูดถึงตอนที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อช่วยคนอื่น เฮสเทียก็รู้สึกหวาดผวาและภูมิใจไปพร้อมๆ กัน
การที่เด็กหนุ่มเต็มใจรับความเจ็บปวดเพื่อทำให้แน่ใจว่าคนอื่นจะมีชีวิตรอดต่อไปนั้น สำหรับเธอผู้เป็นเทพธิดาของเขาย่อมต้องรู้สึกภูมิใจมากเป็นอยู่แล้ว
พอถึงตอนที่เขาได้พบกับโลกิแฟมิเลียอีกครั้งและเข้าต่อกรกับโกไลแอธเพียงลำพัง เฮสเทียก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย
แย่หน่อยที่พอเล่าถึงตรงนี้ วาห์นก็เริ่มเล่าเรื่อง ‘ปฏิสัมพันธ์’ ของตนกับเหล่าสมาชิกของโลกิแฟมิเลีย (TL: จากตรงนี้ก็เริ่มไม่ภูมิใจละ เริ่มหัวร้อนแทน)
นั่นรวมถึงการอาบน้ำกับพวกสาวๆ จากปาร์ตี้หลักและคำสารภาพรัก(?) ของทีโอน่า
นอกจากนั้นเขายังพูดเรื่องคอร์ส ‘เพศศึกษา’ โดย ‘อาจารย์ริเวเรีย’และสัญญาที่ให้ไว้กับทีโอน่าและไอส์
วาห์นยังพูดเรื่องรายละเอียดยิบย่อยและการกระทำทุกอย่างในตอนนั้นไปจนถึงตอนได้สู้กับจักเกอร์นอตอีกครั้งและโดนการโจมตีทางจิตแบบทิ้งท้ายของมันจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
พอตื่นขึ้นมา วาห์นก็เปลี่ยนไปและเริ่มเข้าหาคนอื่นมากขึ้นจนถึงขั้นพยายามเริ่มคบหากับสาวๆ บางคน
เขาได้ทำสัญญาไว้มากมาย และเป็นเหตุให้เกิดเรื่องบ้าบิ่นอย่างการบุกเข้าไปในใจกลางโลกิแฟมิเลียและท้าทาย ‘ศัตรู(?)’ ของเฮสเทียหรือก็คือโลกิแบบซึ่งหน้า
หลังจากนั้นวาห์นก็พยายามพูดถึงเรื่องที่ ‘ออกไปนอกเมือง’ กับสองสาวแต่เฮสเทียกลับยกมือขึ้นมาปิดปากไว้เสียก่อน
เขาเบิกตากว้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ของเทพสาวซึ่งตามมาด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เรื่องพวกนั้นไม่ต้องละเอียดมากก็ได้นะ ตาบ้า~!”
วาห์นพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนที่เธอจะยอมให้เขากลับมาหายใจอีกครั้ง
นั่นเป็นเหตุให้เขาต้องเรียบเรียงเรื่องใหม่โดยตัดฉาก ‘ร้อนๆ’ ออกไป
ส่วนที่เหลือของเรื่องนั้นก็เป็นตอนที่วาห์นใช้ชีวิตอยู่กับอนูบิสแฟมิเลีย และเดตที่ไม่มีวันลืมได้ลงระหว่างเขา เอน่า และเฮเฟสตัส
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย แต่วาห์นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นใน ‘วาห์นาตัส’ ตามคำบอกเล่าของสาวๆ หลายคนและเรื่องที่ทีน่าได้มาเป็น ‘วาห์นการ์ด’ เพื่อสั่งสอนและควบคุมนิสัยเสียของเขา
หลังจากนั้นวาห์นก็พูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของตัวเองและความพยายามที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ต่างๆ ให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
ส่วนสุดท้ายของเรื่องเล่าก็คือตอนเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวทีน่าและมิลาน, การเข้าช่วยเหลือพวกเธอ, และการไล่ล่าลาเวอร์น่ากับคูจิ
เขาเล่าเรื่องที่ลาเวอร์น่าถูกสังหารโดยไม่เปิดเผยชื่อของผู้ลงมือ และความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างตนกับสาวๆ บางคน
หลังจากนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มสอดคล้องกับความเข้าใจของเฮสเทียและในที่สุดเรื่องเล่าก็จบลง
แม้จะได้ยินเรื่องราวมากมายจากเฮเฟสตัส โลกิ อนูบิส และเอน่ามาแล้ว แต่มันก็ต่างกับการได้ฟังจากปากของคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงค่อนข้างมาก
ตอนนี้เฮสเทียเริ่มเข้าใจความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของวาห์นแล้วและตระหนักว่าการกระทำของเธอนั้นออกจะเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง
เธอหมายมั่นว่าจะไปพบกับพวกสาวๆ และวิเคราะห์ด้วยตัวเองว่าแต่ละคนนั้นมีความจริงจังแค่ไหนก่อนคิดตัดสินใจเรื่องที่อาจส่งผลต่อตัวเด็กหนุ่มเองและรากฐานของแฟมิเลียในอนาคต
อย่างไรซะ เฮสเทียก็เคยสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะปกป้องวาห์นจากใครก็ตามที่อาจพยายามเข้ามาหาประโยชน์จากเขา
เฮสเทียลูบผมพลางจ้องมองใบหน้าของวาห์นราวกับว่าเขาคือสิ่งที่บอบบางและต้องได้รับการปกป้องอย่างสุดความสามารถ
เพราะได้ใช้ชีวิตมาหลายล้านปีแล้ว เรื่องนิสัยใจคอของตัวเองนั้นย่อมไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเธอเอง
เธอเป็นคนที่เอาแต่ใจ ค่อนข้างขี้เกียจ และหวงแหนสิ่งที่ตัวเองรักมากเป็นพิเศษ
หากมีใครมาทำตัวแย่ๆ กับเฮเฟสตัส เฮสเทียก็จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า
การเห็นคนที่ตัวเองห่วงใยต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างไม่เป็นธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เธอเกลียดมากที่สุด
ด้วยเหตุผลนี้ เฮสเทียรู้ดีว่ายิ่งวาห์นทำดีด้วยมากแค่ไหน เธอก็จะยิ่งพึ่งพาเขามากขึ้นตามไปด้วย
เนื่องจากวาห์นยอมรับฟังทุกเรื่องแถมดูจะเห็นดีเห็นงามกับทุกอย่างที่เธอทำ เฮสเทียก็จะยิ่งทำมากกว่าเดิมแบบไม่มีการเหยียบเบรกใดๆ ทั้งสิ้น
แม้บางครั้งอาจทำเกินกว่าเหตุ แต่เฮสเทียก็รู้ว่าวาห์นคงไม่คิดร้ายกับเธอแน่นอน
จากการที่เขายอมตามใจแบบสุดๆ เฮสเทียจึงตัดสินใจแล้วว่าเธอจะสร้างและกำกับดูแลสถานที่ให้กับเขา… เป็นสถานที่ที่เขาใช้พักพิงยามเหนื่อยล้า… สถานที่ที่ครอบครัวของ ‘พวกเขา’ จะได้รับการปกป้องและดูแลตลอดไป… จนกว่าโลกใบนี้หรือตัวเธอจะดับสูญ…