Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 229
เนื่องจากยังต้องทดสอบเด็กสาวอีกหลายเรื่อง เอวาก็เลยมาดูดเลือดอยู่ตรงแผ่นหลังเปลือยเปล่าของวาห์นในขณะที่เขาพูดคุยกับเฟนเรียร์
เพราะเธอเองก็ดูสนใจไม่น้อย เขาจึงต้องพูดดักไว้ก่อนว่าเอวาจำเป็นต้องดูดเลือดของเขาเพราะเธอเป็นแวมไพร์
วาห์นยังค้นพบว่าเฟนเรียร์ดูจะไม่สนใจเรื่องรสชาติอาหารที่กินเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว ตราบใดที่มันเป็นของ ‘เคี้ยวยาก’ เธอก็พอใจแล้ว
วาห์นลองให้เฟนเรียร์ทานของหลายชนิดตั้งแต่แท่งโลหะไปจนถึงขนมแบบต่างๆ ซึ่งเธอก็ทานทุกอย่างจนหมด
แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ‘อาหาร’ ที่เธอโปรดปรานสุดๆ เห็นจะเป็นอะดาแมนไทน์กับ [เอ็นคิดู]
เมื่อใกล้ถึงเวลาออกจากลูกแก้ว วาห์นก็ลูบเส้นผมของเฟนเรียร์ขณะที่เธอยังคงแทะ [เอ็นคิดู] อย่างตั้งใจ
“เธออยากออกจากที่นี่พร้อมกับฉันหรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เพราะกลัวว่าเธอจะแสดงท่าทีต่อต้านหากรู้ว่าต้องกลับไปเป็นก้อนคริสตัลอีกครั้ง วาห์นจึงต้องเก็บเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เฟนเรียร์ก็หันมาสบตาด้วยโดยยังคงคาบส่วนหอกของ [เอ็นคิดู] ไว้ในปาก ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าให้
วาห์นลูบใบหูของเธอด้วยนิ้วโป้งพลางพูดต่อ
“เอาล่ะ ถ้าอยากออกไปจากที่นี่… เธอก็ต้องกลับไปเป็นก้อนคริสตัลก่อนนะ”
คำพูดของเขาทำให้เด็กสาวน่านิ่วคิ้วขมวดขณะที่แสงจากดวงตาสีแดงเริ่มปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
“แค่เดี๋ยวเดียวเองนะ พอออกไปแล้วฉันจะให้เธอกินได้ตามใจชอบเลย” วาห์นพยายามเกลี้ยกล่อมแบบสุดๆ
พอได้ยินแบบนั้นแล้ว เฟนเรียร์จึงทุบหางลงกับพื้นหนึ่งทีก่อนจะพยายามกัด [เอ็นคิดู] แรงๆ เป็นครั้งสุดท้ายและปล่อยมันไป
“เฟนเรียร์เล่น กินอาหาร ไปกันเลย!”
หลังกล่าวชมเธอเล็กน้อย วาห์นก็คืนสภาพ [เฟนเรียร์] กลับไปเป็นก้อนคริสตัลซึ่งมันกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มคล้ายกับสีขนของเธอ
เพราะเธอถูกแปรสภาพไปแล้ว เสื้อกับกางเกงในที่เขาซื้อให้ก็เลยร่วงมาอยู่บนพื้นแทน
วาห์นหยิบพวกมันขึ้นมาก่อนจ้ะก็บใส่ช่องเก็บของไว้ก่อน
เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคน วาห์นก็เลยเริ่ม ‘ดูแล’ เอวาอย่างใกล้ชิดจนกระทั่งถึงเวลากลับสู่โลกจริง
—
เฮสเทียยังคงใช้ร่างของเขาแทนเตียง วาห์นจึงเล่นกับผมของเธอเล็กน้อยก่อนจะกลิ้งตัวหลบออกมาด้านข้าง
‘เจ้าที่’ ดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ และเริ่มขยับเข้ามาหาอีกครั้ง แต่วาห์นก็หลบออกมาก่อนจะคลานลงจากเตียง
เฮสเทียทำหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาโวยวายอะไร (TL: ขี้เกียจขั้นเทพ)
เธอละเมอคลำไปรอบๆ ราวกับกำลังมองหา ‘บางอย่าง’ จนวาห์นเริ่มรู้สึกผิดหน่อยๆ ก่อนจะส่ายหัวและกระซิบเบาๆ
“เดี๋ยวฉันมานะ เฮสเทีย…”
ก่อนจะออกไป วาห์นได้ทิ้งกระดาษโน้ตเอาไว้บนโต๊ะ ประตู กำแพง และตรงขอบเตียงเพื่อไม่ให้เฮสเทียกังวลเมื่อเธอตื่นขึ้นมาคนเดียว
เพื่อเป็นการเอาใจ เขาจึงทิ้งอาหารเช้าไว้บนโต๊ะข้างเตียงและปิดฝาครอบ (แบบพิเศษสำหรับรักษาความร้อนของอาหาร) เอาไว้ให้เธอด้วย
หลังออกจากตัวคฤหาสน์มาแล้ว วาห์นก็มาแวะแขวนตราสัญลักษณ์ที่ประตูหน้า
เพราะเขามีความรู้ด้านข่ายเวทมนตร์และเป็นเจ้าของกุญแจคฤหาสน์แห่งนี้ การแก้ไขข่ายป้องกันโดยให้รวมตราสัญลักษณ์นี้เข้าไปด้วยจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก
ถึงจะมีคนพยายามทำลายหรือขโมยป้ายโลหะ มันก็ยังมีคุณสมบัติ [ดูรันดัล] กับส่วนประกอบที่ซื้อจากระบบร้านมาป้องกันไว้อีกชั้น
ทันทีที่มีคนดึงมันออก ตัวป้ายก็จะกระเด็นหลุดจากมือและสร้างความเสียหายให้กับคนๆ นั้นแทน
พอดูจนแน่ใจแล้ว วาห์นก็เปลี่ยนไปใช้ร่างพยัคฆ์ขาวก่อนจะเดินตรงไปยังหอคอยบาเบล
โชคดีที่ตัวคฤหาสน์อยู่ใกล้กับใจกลางเมือง วาห์นเลยใช้เวลาเดินทางเพียง 7 นาทีเท่านั้น
เมื่อก้าวเข้าสู่หอคอย เขาก็ยิ้มนิดๆ และรู้สึกเหมือนไม่ได้เข้าดันเจี้ยนมานานมาก
หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้ว วาห์นจึงเดินลงไปถึงดันเจี้ยนชั้นที่ 5 ก่อนจะตัดสินใจว่าชั้นนี้น่าจะกำลังดี
พลังเขตแดนของวาห์นมีความกว้างประมาณ 317 เมตร และตอนนี้เขาสามารถตรวจจับมอนสเตอร์กับนักผจญภัยส่วนใหญ่ที่อยู่รอบๆ และรวมไปถึงจากชั้นที่อยู่ติดกันได้ด้วย
เนื่องจากระยะห่างโดยเฉลี่ยของแต่ละชั้นตั้งแต่ช่วงชั้นที่ 1-18 นั้นอยู่ที่ประมาณ 100 เมตร วาห์นจึงสามารถทำแผนที่ได้ถึง 3 ชั้นพร้อมกันหากต้องการ
เรื่องประสิทธิภาพการตรวจจับผ่านสิ่งกีดขวางอาจจะไม่ได้ดีแบบตอนอยู่ด้านบน แต่แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
พอตรวจสอบจนมั่นใจว่าปลอดคน วาห์นก็เริ่มผสานพลังเข้าไปในลูกแก้วเพื่อเรียกเฟนเรียร์ออกมา
น่าแปลกที่การเรียกเธอออกมานั้นใช้พลังงานเพียงนิดเดียว สาเหตุอาจเป็นเพราะร่างที่เล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับร่างขนาดใหญ่โตของฟาฟเนียร์…
เพราะคิดเผื่อไว้แล้ว วาห์นจึงรีบส่งเสื้อและกางเกงในให้กับเฟนเรียร์ที่ค่อยๆ ใส่มันอย่างลังเล
ตอนแรกเธอพยายามใส่กางเกงในเอง แต่เล็บที่แหลมคมก็ทำให้มันขาดเละไปถึง 4 ตัว
สุดท้ายวาห์นก็ต้องยอมแพ้และเข้ามาช่วยก่อนจะสวมเสื้อให้ด้วยเลย
เขายังอยากให้เธอลองสวมกางเกง รองเท้า และถุงมือด้วยแต่สงสัยคงต้องเก็บไว้ลองคราวหน้าแทน
วาห์นอาจต้องวางแผนสร้างอุปกรณ์พิเศษให้กับเธอในอนาคตเพราะมันคงไม่ดีนักหากมีคนมาเห็น ‘สัตว์ประหลาด’ ในคราบมนุษย์เข้า
แม้เขาจะสามารถอธิบายการแปลงร่างของตัวเองได้ว่าเป็นเวทมนตร์ แต่สำหรับเฟนเรียร์ที่ ‘กลับเป็นร่างมนุษย์’ ไม่ได้นั้นมันคนละเรื่องกันเลย
พอสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ววาห์นก็ลูบหัวเธอเล็กน้อย
“อดทนได้ดีมากเลยนะเฟนเรียร์ เอาขนมไปทานสิ” เขาพูดพลางยื่นถุงที่เต็มไปด้วยแท่งโลหะเวทมนตร์ออกไปให้
วาห์นหวังว่ามันจะทำให้เธอมีสมาธิมากพอที่จะรับฟังว่าพวกพวกมาทำอะไรกันที่นี่
เฟนเรียร์รู้สึกหงุดหงิดหลังจากถูกบังคับให้ใส่เสื้อผ้า แต่เธอก็เริ่มผ่อนคลายทันทีที่วาห์นยื่น ‘ของว่าง’ ให้
เธอโยนแท่งโลหะใส่ปากและเคี้ยวมันอย่างช้าๆ ขณะรอให้วาห์นพูดต่อ
ยังดีที่สัมผัสเชื่อมโยงทำให้เฟนเรียร์พอเข้าใจเจตนาของเขาอยู่บ้าง วาห์นจึงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนอกจากวางกฎเหล็กเอาไว้สองสามข้อ ซึ่งก็คือ:
ห้ามโจมตีอะไรก็ตามที่มีรูปทรงคล้ายกับมนุษย์นอกจากจะได้รับอนุญาตหรือถูกโจมตีเข้ามาก่อน
ของที่ล่ามาเองนั้นเธอสามารถกินได้ทุกอย่าง แต่ห้ามไปแย่งอาหารหรือไอเท็มของคนอื่นโดยเด็ดขาดนอกจากจะได้รับอนุญาต
ต้องเชื่อฟังคนที่วาห์นบอกให้เชื่อฟัง นอกเสียจากว่ามันจะเป็นคำสั่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
และถ้ารู้สึกไม่สบายใจ เครียด หรือ ‘หิว’ เธอก็ต้องรีบมาหาเขาทันที
—————
สนับสนุนนิยาย.อย่างถูกต้องได้ที่: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
วาห์นรู้ว่าเด็กสาวคงไม่เข้าใจไปซะหมดทุกอย่าง แต่เขาเชื่อว่าสัมผัสเชื่อมโยงจะทำหน้าที่ของมันเอง
เจตนาที่เขาส่งออกไปนั้นจะทำให้เธอ ‘เชื่อฟังตามสัญชาตญาณ’ คล้ายกับตอนที่ทดสอบกับอนูบิส
ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือต้องแลกมาด้วยการสูญเสียค่าความภักดีบางส่วน แต่วาห์นก็ยังอยากจะเลี่ยงสถานการณ์ที่เฟนเรียร์เข้าไปโจมตีหรือ ‘กัดกิน’ คนอื่นเพราะความโกรธหรือความหิวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
พออธิบายเสร็จแล้ว เฟนเรียร์ก็พยักหน้าก่อนจะเดินตามวาห์นเข้าไปในดันเจี้ยนชั้นที่ 5
จากนั้นไม่กี่นาที ทั้งคู่ก็เดินมาเจอ ‘ห้อง’ ที่วาห์นได้พบกับสิ่งที่เขาต้องการ
ภายในห้องนั้นประกอบไปด้วยคิลเลอร์แอ๊นท์ 7 ตัวซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมมากสำหรับการทดสอบ
เฟนเรียร์เองก็สังเกตเห็นพวกมันเช่นกันและวาห์นเห็นว่าเรือนผมสีน้ำเงินนั้นเริ่มดูตั้งชันขึ้นในขณะเดียวกับที่เธอวางถุงโลหะลงบนพื้น
ก่อนจะได้พูดอะไร เฟนเรียร์ก็ลงไปยืน 4 ขาพลางโก่งตัวเล็กน้อยก่อนจะกระโจนเข้าไปในแบบที่ทำให้เขาได้แต่ยืนอึ้ง
วิธีสู้แบบเดียวที่เฟนเรียร์รู้จักนั้นก็คือแบบของ ‘โคโบลด์’ ซึ่งถ้าอธิบายแบบง่ายๆ ก็คือการ ‘เพิ่มความเร็ว’ ผ่านการเคลื่อนที่ด้วยขาทั้ง 4 ข้าง
แต่เพราะร่างกายที่เปลี่ยนไปมากจนไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย การลงไปวิ่งแบบนั้นจึงทำให้เธอเคลื่อนที่ช้ากว่าคนที่วิ่งแบบปกติเสียอีก
จุดเด่นของการสู้ในรูปแบบนี้ก็คือถ้าผู้ใช้ไม่ได้สวมกางเกง… คนที่มองอยู่ด้านหลังก็จะเห็นทุกอย่างแบบเต็มๆ
ตอนนี้วาห์นกำลังกุมขมับและได้แต่คิดในใจว่า ‘ถ้าให้ใส่เสื้อรัดรูปล่ะ? ไม่สิ ถ้าคับไปเดี๋ยวก็ทำขาดอีก… เข็มขัดน่าจะดีกว่ามั้ง?’
แม้จะเป็นท่าร่างที่ดูเละไม่เป็นท่า แต่โดยรวมแล้วเฟนเรียร์ก็ยังแข็งแกร่งและเร็วกว่าคิลเลอร์แอ๊นท์อยู่ดี
กรงเล็บของเธอสามารถตัดผ่านเกราะของพวกมันได้อย่างง่ายดาย
หนึ่งในความพิเศษของคิลเลอร์แอ๊นท์ก็คือความทนทานและความสามารถในการเอาชีวิตรอดแม้ว่าหัวจะโดนกุดไปแล้ว
นั่นทำให้เฟนเรียร์ได้กัดเข้าไปหลายคำก่อนที่ร่างของเจ้ามดยักษ์จะเริ่มสลายไปแถมเธอยังกินคริสตัลเวทมนตร์ของพวกมันเป็นการปิดท้ายด้วย
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง หูของเฟนเรียร์ก็เริ่มกระดิกขณะที่เธอกลับไปยืน 4 ขาอีกครั้งเพื่อรอการมาถึงของคิลเลอร์แอ๊นท์อีกชุด
เนื่องจากชุดแรกนั้นถูกจัดการอย่างรวดเร็วจนพวกมันแทบไม่มีเวลาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ชุดที่สองจึงมีแค่ประมาณ 20 ตัวเศษเท่านั้น
เฟนเรียร์กระโจนเข้าไปอย่างไม่ลังเล แต่ก่อนจะไปถึง วาห์นก็ใช้เคลื่อนย้ายในพริบตามาดักหน้าและพาเธอออกมาเสียก่อน
ตอนนี้ดวงตาของเด็กสาวเริ่มส่องแสงนิดๆ แถมที่ตัวยังเต็มไปด้วยรอยแผลกับรอยฟกช้ำมากมายแม้จะเพิ่งสู้ไปเพียงครู่เดียว
เพราะไม่คิดว่าจะโดนจับกลับมา เฟนเรียร์จึงพยายามจิกแขนของวาห์นแต่แล้วก็ชะงักไปก่อนที่กรงเล็บจะเข้ากระทบกับผิวของผู้เป็นนาย
พอออกห่างจากตรงนั้นมาแล้ว วาห์นก็จับเธอนั่งและสั่งสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คอย”
เฟนเรียร์เงยหน้าขึ้นมาจ้องตอบด้วยสีหน้าหงุดหงิดราวกับอยากจะออกไปสู้ต่อ แต่แล้วความดื้อดึงนั้นกลับหายไปทันทีที่สัมผัสได้ว่าวาห์นกำลังเพิ่มแรงกดดันเข้าไปในพลังเขตแดน
หากเป็นเมื่อก่อนอาจจะหยุดไว้ได้แค่ตัวสองตัว แต่ตอนนี้วาห์นสามารถสยบคิลเลอร์แอ๊นท์แบบเป็นกลุ่มได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ขณะกำลังเปรียบเทียบและวิเคราะห์พลังเขตแดนอย่างเรื่อยเปื่อย จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากในระบบจนต้องหันมาดูตัวต้นเหตุ
อาจเพราะเธอกำลังนึกถึงครั้งแรกที่เจอกันเมื่อนานมาแล้ว เพราะนี่เป็นครั้งที่สองที่เฟนเรียร์คุกเข่าและก้มหัวจนติดพื้นมาทางวาห์น
เสียงจากในระบบเมื่อกี้นี้คือการแจ้งเตือนว่าค่าความภักดีของเธอนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
วาห์นไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่ ‘ความกลัว’ นั้นดันส่งผลดีกว่าตอนที่เขาพยายามทำดีกับเธอ
“เฟนเรียร์… ตอนนี้เธอเป็นพวกเดียวกับฉันแล้ว
ต่อไปไม่ต้องทำแบบนี้แล้วนะ” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเดิม
พอได้ยินแบบนั้น หูของเฟนเรียร์ก็กระตุกเบาๆ ก่อนที่เธอจะเงยหน้ามองเขาและยืนขึ้นอย่างช้าๆ
วาห์นลูบหัวเด็กสาวเบาๆ และเริ่มอธิบายต่อ
“ลองสู้ตามที่บอกดูนะ… เดี๋ยวฉันจะเริ่มแนะนำตั้งแต่ต้นเลย”
เฟนเรียร์พยักหน้าขณะที่วาห์นหันกลับไปหากลุ่มคิลเลอร์แอ๊นท์ที่ยังคงโดนแรงกดดันจนขยับไปไหนไม่ได้
“จำได้ไหมว่าเธอมีสกิลชื่อ [ดวงจันทร์ร่ำไห้]? ลองใช้มันดูสิ”
เฟนเรียร์เริ่มทำท่าเหมือนจะกลับไปยืน 4 ขาอีกครั้ง แต่แทนที่จะวางมือลงกับพื้น เธอกลับแอ่นตัวไปข้างหลังและหอนขึ้นไปทางเพดานแทน
จากนั้นดวงตาของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเงินขณะที่ยังคงรอคำสั่งต่อไปจากวาห์น
วาห์นพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ
“แล้วก็สกิลต่อสู้อีก 2 สกิลของเธอ
[คำรามเยือกแข็ง] เป็นสกิลที่ใช้หยุดคู่ต่อสู้
ส่วน [นักล่า] จะช่วยเสริมความสามารถในการล่าเหยื่อ
ลองใช้สกิลพวกนี้ดูก่อนแล้วเราค่อยมาดูกันว่าควรจะฝึกเธอแบบไหนดี”
พอเขาอธิบายถึงตรงนี้ ทั้งเส้นผม กรงเล็บ และคมเขี้ยวของเฟนเรียร์ก็เริ่มดูแหลมคมและอันตรายมากขึ้นกว่าเดิม
ใบหู ดวงตา และจมูกที่ขยับไปมานั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดของเธอกำลังทำงานอย่างเต็มที่
เขาพอเดาได้ว่านี่คงเป็นผลจากสกิล [นักล่า] และรู้สึกทึ่งกับออร่า ‘กระหายเลือด’ ที่กำลังแผ่ออกมาจากตัวของเด็กสาว
แต่ถึงจะเสริมพลังมากแค่ไหน ทักษะการต่อสู้ของเฟนเรียร์ก็ยังมีเท่าเดิมซึ่งตอนนี้เธอก็เริ่มกลับไปยืน 4 ขาอีกครั้งแล้ว
สิ่งสุดท้ายที่วาห์นได้ยินก่อนโชว์สังหารหมู่จะเริ่มขึ้นก็คือเสียงขู่คำรามของสัตร์ร้ายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของเด็กสาวตัวเล็กๆ
อีกเสี้ยววินาทีถัดมา เฟนเรียร์ก็กระโจนเข้าใส่กลุ่มคิลเลอร์แอ๊นท์และเริ่มละเลงพวกมันเป็นชิ้นๆ
สกิล [นักล่า] ดูเหมือนจะส่งผลกับสัญชาตญาณล่าเหยื่อของเธอโดยตรง แถมมันยังช่วยทำให้การโจมตีของเธอดูลื่นไหลขึ้นและไม่เก้ๆ กังๆ เหมือนกับตอนแรก
วาห์นรู้สึกผิดต่อพวกมอนสเตอร์นิดๆ เพราะเขาคิดว่าภาพที่เธอตัดผ่านพวกมันนั้นช่างดูน่าประทับใจเหลือเกิน
ยิ่งเวลาผ่านไปพร้อมกับยอดการฆ่าที่เพิ่มขึ้น ดวงตาสีเงินก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลับไปเป็นสีแดงสดอีกครั้ง
ประมาณ 2 ชั่วโมงถัดมา เฟนเรียร์ได้สังหารคิลเลอร์แอ๊นท์ไปแล้วกว่า 300 ตัวจนถึงขั้นที่ดันเจี้ยนต้อง ‘ยอมแพ้ชั่วคราว’ และหยุดส่งพวกมันออกมาเพิ่ม
ตอนนี้เด็กสาวกำลังนั่งอยู่บน ‘ภูเขาศพ’ เพราะการโจมตีของเธอนั้นไม่ได้เล็งไปที่แกนหลักของมอนสเตอร์แต่เป็นการ ‘ขย้ำ’ แบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
แม้ร่างกายกับเสื้อจะเต็มไปด้วยเลือดและอะไรหลายๆ อย่างที่มาจากศพ แต่วาห์นก็เข้ามาเอ่ยชมความพยายามของเธออย่างไม่รังเกียจ
เขาสังเกตเห็นว่าแม้ว่าดวงตาของเธอจะเปล่งประกายในระหว่างการต่อสู้ ทว่าเฟนเรียร์ในตอนนี้กลับดูปกติดี… ที่จริงออกจะดูมีความสุขมากเลยด้วยซ้ำ
พอร่างของพวกมดยักษ์สลายไปหมดแล้ว ดวงตาสีแดงก็หยุดส่องแสงพร้อมกับที่เธอหันไปไล่กินคริสตัลเวทมนตร์บนพื้นอย่างสบายอารมณ์
เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่วาห์นรู้สึกว่าการเลี้ยงดูเด็กคนนี้อาจจะไม่ยากอย่างที่คิด…