Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 235
เวลาในช่วงเย็นนั้นผ่านไปอย่างราบรื่นโดยที่วาห์น เฮสเทีย และเฟนเรียร์ต่างเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารชุดใหญ่ก่อนจะถึงเวลาพักผ่อน
การนวดก่อนนอนนั้นเป็นสิ่งที่เฮสเทียขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว ส่วนเฟนเรียร์เองก็ไม่ยอมน้อยหน้าและขอต่อคิวเป็นคนที่สองเช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็นอนหลับปุ๋ยไปอย่างรวดเร็ว
วาห์นนอนหลับตามปกติก่อนจะตื่นขึ้นเมื่อถึงเวลาเข้าสู่ลูกแก้ว
ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ เอวาซึ่งรู้สึกเบื่อๆ ก็ได้ทำการฝึกฝีมือด้านการตีเหล็กเช่นกันโดยใช้เครื่องมือที่เขาทิ้งไว้ในนี้
เนื่องจากสามารถเปลี่ยนชุดได้ดั่งใจนึก ตอนนี้เอวาเลยสวมแค่ชุดกางเกงกันเปื้อนกับถุงมือขณะทำงานเรื่อยเปื่อย
(TL: ชุดที่เป็นผ้ายีนส์และมีสายคล้องไหล่)
ด้วยร่างกายที่บอบบางน่าทนุถนอม วาห์นเลยเกือบหลุดปากออกไปว่ามันเหมือนกับเอวากำลัง ‘เล่นเป็นช่างตีเหล็ก’
หากเขาพูดแบบนั้นออกไปจริงๆ… รับรองได้เลยว่าไม่ได้อยู่ในนี้ถึง 3 วันแน่นอน
—
หลังเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว วาห์นกับเฟนเรียร์มุ่งหน้าก็ไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เพื่อสมทบกับริวก่อนจะเดินทางต่อไปยังดันเจี้ยน
จริงอยู่ที่ตอนแรกเอลฟ์สาวออกปากเองว่าจะเป็นฝ่ายไปเจอที่คฤหาสน์ แต่วาห์นรู้สึกว่าการมารับเธอนั้นน่าจะเหมาะสมกว่า
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขาอยากให้เฟนเรียร์รู้สึกคุ้นเคยกับเมืองนี้ให้มากขึ้นและต้องการให้เธอปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ โดยเร็ว
การปล่อยให้เด็กสาวออกไปเดินเล่นคนเดียวในตอนนี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่วาห์นก็หวังว่าเธอคงทำแบบนั้นได้สักวัน
ในระหว่างการเดินทางนั้นพวกเขาก็พูดคุยเรื่องต่างๆ ไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่ริวต้องให้ความสนใจเมื่ออยู่กับเฟนเรียร์
เนื่องจากคงได้สำรวจดันเจี้ยนด้วยกันอีกนาน วาห์นจึงต้องทำให้แน่ใจเธอเข้าใจเรื่องต่างๆ แบบไม่ตกหล่น
ริวจึงเสนอว่าช่วงแรกนั้นเธออยากจะขอดูวิธีที่เขาฝึกเฟนเรียร์ไปพลางๆ ก่อน
แม้วาห์นจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่เขาก็อยากให้ริวเป็นฝ่ายนำและสอนเฟนเรียร์มากกว่า เพราะเธอเป็นถึงนักผจญภัยเลเวล 4 ที่ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาอย่างโชกโชนในอดีต
สุดท้ายริวก็เห็นด้วยกับเขาและเปรยว่านี่เป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ ‘ขัดสนิม’ เพราะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานานมาก
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้นพลางชำเลืองมองเธอจากด้านข้างและได้แต่นึกในใจว่า ‘ดูยังไงก็ไม่เหมือนร่างกายของคนที่สนิมเกาะเลยนะ’
ริวมีร่างกายที่แข็งแรง ผอมเพรียว และสมบูรณ์พร้อมซึ่งดูไม่ต่างจากเหล่าเอลฟ์ที่เขาเคยพบเจอมากนัก
ริวนั้นให้ความสนใจกับท่าทางของวาห์นอยู่ตลอด ดังนั้น ‘สายตาสอดส่อง’ ของเขาจึงไม่พ้นสายตาของเธอเช่นกัน ทว่าเอลฟ์สาวก็ไม่ได้พูดอะไรและเอาแต่มองตอบแบบนิ่งๆ
ไม่นานวาห์นก็รู้สึกประหม่าเสียเองจนต้องชะลอฝีเท้าลงและเปลี่ยนไปเดินข้างเฟนเรียร์แทน
เมื่อทั้งสามมาถึงดันเจี้ยน ริวก็อยากดูการต่อสู้ของเฟนเรียร์ก่อนที่เธอจะเริ่มชี้แนะอะไรเพิ่มเติม
สิ่งที่วาห์นคิดไว้นั้นก็คือให้เธอสอนเฟนเรียร์นิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว แต่ดูเหมือนริวจะเข้าใจว่านี่เป็น ‘หน้าที่’ ที่ได้รับจากกัปตันโดยตรง เธอก็เลยตั้งใจแบบสุดๆ
ในระหว่างที่เฝ้ามองการต่อสู้ของเฟนเรียร์ ริวก็หันมาคุยกับเขาและเริ่มบอกข้อดี ข้อเสีย และวิธีปรับปรุงทักษะการต่อสู้ของเด็กสาวแบบละเอียด
พอถามแทรกขึ้นมาว่าทำไมเธอถึงต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังด้วย ริวก็ตอบกลับทันทีว่าตอนนี้คงเป็นการดีที่สุดหากวาห์นเป็นคนบอกให้เฟนเรียร์ฟังเอง
พอตระหนักว่านั่นจะทำให้เฟนเรียร์เข้าใจได้ง่ายกว่าการให้คนอื่นไปบอก วาห์ก็พยักหน้าก่อนจะเริ่มเดินเข้าไปหาเด็กสาวและถ่ายทอดสิ่งที่ริวพูดแบบคำต่อคำ
วาห์นไม่ใช่คนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกสนใจในความรู้แปลกใหม่ ริวเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเขาเช่นกัน
เธอไม่เคยพบเห็นสิ่งที่คล้ายกับพลังเขตแดนของวาห์นมาก่อนและคิดว่ามันเป็นสกิลที่มีประโยชน์มากและสามารถนำมาใช้พลิกแพลงได้หลายอย่าง
เนื่องจากเป็นเอลฟ์ ริวจึงมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อเวทมนตร์รวมไปถึงพลังธาตุต่างๆ และเข้าใจทันทีว่าพวกมันกำลังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังเขตแดนแทบทั้งสิ้น
แทนที่จะอยู่ในสภาพตามธรรมชาติ อณูพลังงานต่างๆ ในอากาศดูเหมือนจะ ‘เชื่อฟัง’ และกำลัง ‘รอฟังคำสั่ง’ ของเด็กหนุ่มอย่างเคร่งครัด
เหตุการณ์ที่ทำให้ริวถึงกับอึ้งก็คือในช่วงที่เธอจะออกไปช่วยเฟนเรียร์ที่พลาดท่าให้กับมอนสเตอร์ จู่ๆ วาห์นก็เข้ามาคว้าไหล่ของเธอไว้ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่เหล่ามอนสเตอร์หยุดนิ่งอยู่กับที่
จากการใช้สัมผัสพิเศษ ริวสังเกตเห็นว่านอกจากพวกมอนสเตอร์ที่โดน ‘แช่แข็ง’ แม้แต่อณูพลังงานในอากาศเองก็หยุดนิ่งไปด้วย
แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองสามารถเอาชนะพลังเร้นลับนี้และกลับมาขยับตัวได้ แต่ริวก็รู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยหากต้องเจอกับศัตรูที่มีสกิลน่ากลัวแบบนี้
ในการต่อสู้กับศัตรูที่เก่งกาจ การถูกทำให้หยุดชะงักแม้จะแค่เสี้ยววินาทีเดียวนั้นก็ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายได้เลย
สุดท้ายริวก็ต้องยอมแพ้ให้กับความสงสัยและเอ่ยถามวาห์นตรงๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามือของเด็กหนุ่มยังคงเกาะอยู่ที่หัวไหล่
วาห์นเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวเช่นกัน เขาค่อยๆ เอามือออกและเริ่มอธิบายให้เธอฟังโดยไม่ละสายตาไปจากการต่อสู้ของเฟนเรียร์
ตอนนี้วาห์นเชื่อใจริวในระดับหนึ่งแล้ว เขาจึงอธิบายเรื่อง ‘สกิลลับๆ’ และความสามารถบางอย่าง อีกทั้งยังแสดงมันออกมาให้เธอดูด้วย
ไม่เพียงแค่ริวเท่านั้นที่รู้สึกสนใจ แม้แต่เฟนเรียร์เองก็เฝ้ามองผู้เป็นนายต่อสู้กับมอนสเตอร์แบบตาไม่กระพริบเช่นกัน
เช่นเดียวกับตอนที่เฟนเรียร์สู้เสร็จ ริวได้ให้คำแนะนำหลายอย่างกับวาห์น ขณะเดียวกันก็อดเอ่ยชมเด็กหนุ่มขึ้นมาไม่ได้
ถึงจะไม่ได้อยู่โอราริโอ้ในช่วงที่ ‘วัลแคนผงาด’ แต่ริวก็รู้ว่าวาห์นเพิ่งจะเข้าเมืองมาได้เพียง 3 เดือนเศษเท่านั้นเอง
การพัฒนาและความก้าวหน้าของเขานั้นหากไม่มาเห็นกับตาล่ะก็… อาจจะนึกว่ามันเป็นแค่ข่าวลือซะมากกว่า
วาห์นรู้สึกดีที่ได้รับคำชม แต่เขาก็อธิบายว่าส่วนสำคัญที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือผู้คนมากมายที่คอยช่วยเหลือและสั่งสอนจนตัวเองได้ดิบได้ดีแบบในวันนี้
—————
สนับสนุนนิยายอย่าง.ถูกต้องได้ที่: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
คำพูดถ่อมตัวของเด็กหนุ่มทำให้ริวยิ้มหน่อยๆ
“หลายคนแข็งแกร่งขึ้นได้ก็เพราะต้องเจอกับอุปสรรคและพานพบผู้คนมากมาย
เป็นเรื่องดีจริงๆ นะที่นายจำได้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งมาตั้งแต่แรก… ต่อไปคงจะเก่งกว่านี้อีกเยอะเลย”
วาห์นสังเกตเห็นว่าสายตาของริวนั้นทอดยาวออกไป ราวกับว่าเธอกำลังระลึกถึงความหลังเมื่อตอนที่สังกัดอยู่กับแอสเทรียแฟมิเลีย
พอตัดสินใจได้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาถามเรื่องในอดีต วาห์นจึงพยักหน้ากับตัวเองและค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบเรือนผมของเธออย่างแผ่วเบา
การสัมผัสแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ริวขยับหนีและถอยหลังออกไปสองสามก้าว
นับเป็นครั้งแรกเลยที่มีคนพยายามหลบมือของเขา วาห์นเลยได้แต่นิ่งค้างอยู่แบบนั้นพร้อมกับทำสีหน้างุนงง
“ขอโทษนะ… ฉันยังไม่ชินกับการใกล้ชิดขนาดนั้นน่ะ
ไว้ครั้งหน้าเราค่อย…” ริวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและลังเล
ก่อนที่วาห์นจะได้พูดอะไร เฟนเรียร์ก็ร้องขัดขึ้นเสียก่อน
“อ้าาาาา~!? เฟนเรียร์อยากให้ลูบๆ!”
ดูท่าสาวน้อยจะไม่พอใจที่ริวปฏิเสธมือของผู้เป็นนาย
เธอตรงเข้ามาจับมือของวาห์นและนำมันไปวางไว้บนหัวของตัวเองก่อนจะจ้องมองเอลฟ์สาวด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
การแสดงออกของเฟนเรียร์ทำให้วาห์นต้องกลืนสิ่งที่จะพูดลงไปก่อนและเริ่มหันมากล่อมให้เธอสงบลงแทน
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือส่งสายตาเชิงขอโทษให้กับริว
อันที่จริงริวก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากมายขนาดนั้น เธอจึงส่ายหัวและยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ
หลังได้หยุดพักกันเล็กน้อย วาห์นกับเฟนเรียร์ก็มายืนอยู่ด้านข้างขณะจ้องมองริวต่อสู้กับฝูงวอร์ชาโดว์และฟร็อกชูตเตอร์จำนวนมาก
คำที่วาห์นอยากนำมาใช้อธิบายวิธีการต่อสู้ของริวก็คือ ‘ลื่นไหล’ และ ‘รวดเร็ว’
มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ออกแนว ‘บ้าคลั่ง’ หรือไม่ก็ ‘แทบหยุดไม่อยู่’ ทว่าสีหน้ากับออร่าของริวนั้นบ่งบอกว่าสมาธิของเธอกำลังพุ่งถึงขีดสุด
ดูๆ ไปก็คล้ายกับการเคลื่อนไหวของสายน้ำอันเชี่ยวกรากที่พุ่งผ่านหินผาและสิ่งกีดขวางไปอย่างไม่ไยดี
สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือยิ่งเคลื่อนที่ได้เร็วเท่าไหร่ พลังโจมตีของเธอก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ริวเคลื่อนที่และโจมตีต่อไปโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้เลย
เธอปราบมอนสเตอร์ทั้ง 13 ตัวลงโดยไม่หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว
ขณะที่วาห์นกำลังตกตะลึงกับการต่อสู้ที่ ‘งดงาม’ อยู่นั้น เฟนเรียร์ที่รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ ก็เริ่มวิ่งมาข้างหน้าพร้อมตะโกนเสียงดัง
“เร็ว เร็วสุดๆ เฟนเรียร์อยากทำ! สอนเฟนเรียร์นะ ได้โปรด!”
ดูเหมือนเฟนเรียร์จะติดใจวิธีสู้ของริวและอยากทำให้ตัวเอง ‘เร็วสุดๆ’ บ้าง
โดยส่วนตัวแล้ววาห์นมองว่ามันเป็นวิธีสู้ที่ ‘พูดน่ะง่าย แต่ทำตามนี่สิยาก’ แต่ก็ไม่ใช่ว่างานนี้เขาจะไม่ได้อะไรเลย
ตอนนี้สมองของเด็กหนุ่มกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็วเพื่อนำการเคลื่อนไหวบางจุดมาผนวกเข้ากับวิธีสู้ของตัวเอง
หากอธิบายง่ายๆ วิธีการต่อสู้ของวาห์นก็คือการ ‘ระเบิดพลังมหาศาล’ และ ‘ชนตรงๆ’ โดยที่เขาจะเคลื่อนที่ไปรอบๆ ศัตรูและโจมตีแบบโหมกระหน่ำด้วยสกิลแฝงต่างๆ
เนื่องจากริวไม่มีสกิลแฝง (เพราะวาห์นยังไม่ได้ตรวจสอบ) เธอจึงเน้นการใช้ความเร็วและเทคนิคเป็นหลักเพื่อล้มคู่ต่อสู้
คราวนี้ริวเป็นฝ่ายอธิบายสกิลของตัวเองให้วาห์นฟังบ้าง แถมเธอยังสาธิต (กับมอนสเตอร์) ให้เขาดูเป็นอย่างๆ ด้วย
ด้วยเหตุนี้ วาห์นเลยได้เห็นทั้งสกิล [ร่ายเวทต่อเนื่อง] และเวทมนตร์ [ลูมินัสวินด์] ของเธอเป็นครั้งแรก
เวทมนตร์ส่วนใหญ่ที่เคยเห็นมานั้นค่อนข้างทรงพลังและเน้นหนักไปที่พลังทำลายล้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่วาห์นได้เห็นเวทมนตร์แสน ‘งดงาม’
เมื่อริวใช้ [ลูมินัสวินด์] ออกมา ราวกับว่ามีแสงดาวระยิบระยับสีน้ำเงินที่เปล่งออกมาจากร่างของเธอและพุ่งเข้าใส่เหล่าศัตรู
นอกจากนี้เขายังได้เห็นสกิล [เอโร่มานา] ที่ริวใช้เพื่อผันเปลี่ยนความเร็วให้เป็นพลังโจมตีแทนด้วย
สกิลนี้เองที่ทำให้พลังโจมตีของเธอเพิ่มขึ้นตามความเร็วที่ใช้ไป
เพราะเป็นสกิลที่ไม่มีข้อจำกัดมากนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอสามารถล้มศัตรูที่เก่งกว่าลงได้หากการต่อสู้กินเวลายืดเยื้อออกไป
ถ้าคู่ต่อสู้หยุดการเคลื่อนไหวของเธอแต่เนิ่นๆ ไม่ได้… ก็คงมีแต่แพ้สถานเดียว
หลังจบการสาธิต ริวก็เดินกลับมาหาทั้งสองท่ามการเสียงเอ่ยชมไม่ขาดปากของวาห์น
“งดงามจริงๆ ทั้งสกิล เทคนิคการสู้ ทวงท่า ไร้ที่ติทุกอย่างเลย!”
พอเจอคำชมมากมายขนาดนี้ แม้แต่ริวเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน
ตอนนี้เธอได้แต่หันข้างอย่างอายๆ พลางใช้มือข้างที่ว่างลูบหูตัวเองเพื่อแก้เขิน
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับคำชมจากเพศตรงข้าม แต่มันก็เป็นครั้งแรกที่เธอใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง
เมื่อตระหนักว่าเขากำลังทำให้เธอทำตัวไม่ถูก วาห์นจึงสงบลงเล็กน้อยและเปลี่ยนไปใช้คำพูดสุภาพแทน
การพูดคุยต่ออีกหน่อยก็ทำให้เขาได้รู้ข้อมูลอีกอย่าง นั่นก็คือ [เกล] ซึ่งเป็นฉายาเก่าของริวนั่นเอง
เพราะเพิ่งจะเข้าร่วมเฮสเทียแฟมิเลียกันแบบสดๆ ร้อนๆ การที่เธอและวาห์นจะได้รับฉายาใหม่จากงานประชุมเดนาตัสครั้งหน้านั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
(TL: ฉายา – จะเริ่มได้รับตั้งแต่เลเวล 2 ขึ้นไป // ทุกครั้งที่นักผจญภัยเลเวลอัพ เทพของแฟมิเลียสามารถเสนอเรื่องเพื่อเปลี่ยนฉายาได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะได้เปลี่ยนหรือเปล่าก็ต้องขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ด้วย // ในกรณีที่ออกจากแฟมิเลีย ฉายาก็จะถูกริบคืน เหมือนกับตอนที่วาห์นออกจากเฮเฟสตัสแฟมิเลีย)
พอได้ยินฉายาเก่าของริว วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับเหล่าทวยเทพเพราะมันเหมาะสมกับเธอจริงๆ
ถึงเขาจะเปรียบเปรยว่าเธอเป็นดั่งสายน้ำเชี่ยวกราก แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็นสายลมแห่งการทำลายล้างมันก็ดูไม่เลวนัก
ทั้งลมและน้ำนั้นสามารถ ‘ไหลผ่าน’ วัตถุได้เช่นเดียวกัน แต่รูปร่างหน้าตาของริว รวมไปถึงเรือนผมสีเขียวและสกิลอย่าง [ลูมินัสวินด์] นั้นทำให้เธอเหมาะกับ ‘ลม’ มากกว่า
ก่อนจะออกจากดันเจี้ยน วาห์นก็นำอ่างน้ำออกมาจากช่องเก็บของและเริ่ม ‘ซัก’ เฟนเรียร์
ตอนแรกริวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่พอเห็นเลือดที่เปื้อนไปทั่วตัวและขนของเด็กสาว เธอก็เข้าใจทันที
แทนที่จะปล่อยให้วาห์นจัดการเรื่องนี้คนเดียว ริวเริ่มถอดผ้าคลุมและถุงมือออกเพื่อเข้าช่วยกัปตันของเธออีกแรง
เสื้อผ้าที่เหลืออยู่บนร่างกายของเธอก็คือเสื้อสีขาวที่มีช่องระบายอยู่ด้านข้าง กับ ‘กางเกงขาสั้น’ สีเขียวเท่านั้น
วาห์นอดไม่ได้ที่จะเชยชมเรือนร่างของเธอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ
เฟนเรียร์แสดงท่าทีต่อต้านในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ต้องจำยอมเพราะอย่างน้อยวาห์นก็ยังคอยชั่วอาบอยู่บ้าง
หลังทำความสะอาดเสร็จแล้ว วาห์นก็สังเกตเห็นว่าเสื้อของริวนั้นเปียกชุ่มอยู่หลายส่วนจนสามารถมองเห็นด้านในได้ลางๆ
แม้จะไม่ได้ตั้งใจมอง แต่วาห์นก็เห็นบางอย่างที่ดูไม่เหมือนยกทรงของหญิงสาวทั่วไป
‘ชุดชั้นใน’ ดังกล่าวปกคลุมส่วนหน้าอกได้อย่างแนบชิดแต่กลับไม่มีสายรั้งแบบยกทรงทั่วไป
วาห์นไม่แน่ใจว่ามันทำงานยังไง แต่ก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นเพราะคุณสมบัติยึดจับแบบพิเศษและเริ่มคาดเดาต่อไปเรื่อยๆ
เป็นอีกครั้งที่สายตาของวาห์นไม่อาจเล็ดลอดการเฝ้าสังเกตของริวไปได้
เธอหรี่ตาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มร่ายเวทเพื่อทำให้เสื้อแห้งทันที
ราวกับเข้าใจว่าเด็กหนุ่มคิดอะไรอยู่ ริวเริ่มอธิบายแบบไม่คิดอะไรมาก
“ตามปกติแล้วนักผจญภัยเพศหญิงจะไม่ใส่ยกทรงตอนลงดันเจี้ยนน่ะ เพราะมีโอกาสที่เราอาจต้องติดอยู่ในนี้เป็นเวลานานจนไม่มีเวลาได้ถอดมันออก
ของที่เราใช้แทนก็คือไอเท็มจำพวกเทปกาวเพื่อปกปิดส่วนต่างๆ เอาไว้…”
พอได้ยินคำอธิบายของเธอ วาห์นก็พยักหน้าและพูดเบาๆ
“โทษทีนะ… ขอบใจ…”
ริวยิ้มว้างขึ้นเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะหันไปช่วยทำให้เฟนเรียร์ตัวแห้งด้วยเวทมนตร์บทเดิม
เธอและผู้หญิงส่วนใหญ่ที่รายล้อมวาห์นนั้นพอดูออกว่าสายตาจ้องมองของเด็กหนุ่มค่อนข้างผิดแผกไปจากผู้ชายคนอื่นๆ
บางทีอาจเป็นเพราะ ‘การยอมรับ’ ของเธอที่มีต่อวาห์น แต่ริวพบว่ามันยากจริงๆ ที่จะตำหนิคนตรงหน้า
แม้จะไม่มีประสบการณ์อย่างว่ามาก่อน แต่เธอเองก็มีความคาดหวังอยู่บ้างจากการได้อาศัยอยู่ในหอพักหญิงมานาน
ริวได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการฟังเหล่าเพื่อสาวคุยกันแบบผ่านๆ ทั้งประสบการณ์ที่วาดฝันไว้ ลักษณะของผู้ชายที่ชอบ และสถานที่ออกเดต ต่างๆ นาๆ
แน่นอนว่าพวกเธอส่วนใหญ่นั้นก็ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์จริงกันมาก่อน แต่การซุบซิบพูดคุยอะไรแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นนี่นะ