Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 241
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วริวก็เดินกลับห้องของตัวเองเพื่อไปเปลี่ยนชุดขณะที่วาห์นจ้องมองด้านหลังของเธอแบบตาไม่กระพริบ
ตอนนี้ความยับยั้งชั่งใจของเขานั้นลดลงไปมาก มากพอที่จะเรียกมันว่า ‘เปิดมุมมองใหม่ให้กับชีวิต’ ซึ่งแม้แต่ตัวเจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้จะทำให้อนาคตจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน
การยับยั้งชั่งใจสำหรับบางเรื่องนั้นยังจำเป็นอยู่ แต่วาห์นก็รู้ว่าตัวเองควรผ่อนปรนให้มากขึ้น โดยเฉพาะตอนอยู่กับพวกสาวๆ
ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกและตื่นเต้นไปกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
วาห์นตัดสินใจเข้านอนเร็วกว่าปกติเพราะวันนี้ก็เหนื่อยกับเรื่องต่างๆ มามากพอแล้ว
เรื่องเดียวที่ยังสงสัยอยู่ก็คือคืนนี้จะมีใครมานอนเป็นเพื่อนหรือเปล่า…?
เนื่องจากมิลานกับทีน่าตัดสินใจค้างที่นี่ ส่วนเฮสเทียก็ต้องนอนเป็นเพื่อนเฮเฟสตัส วาห์นเลยพอเดาได้ว่าคู่แม่ลูกคงพาเฟนเรียร์ไปนอนที่ห้องของตัวเองมากกว่า
‘ส่วนริวก็น่าจะนอนพักที่ห้องตัวเองสินะ…’
พอตรวจสอบออร่าที่อยู่ในตัวคฤหาสน์ วาห์นก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่เดาผิดไปหนึ่งอย่าง
—
มิลานพยายามปรามเด็กสาวทั้งสองให้เงียบเสียงลงหลังจากเข้ามาในห้องนอนใหญ่เพราะวาห์นอาจหลับไปแล้ว แต่เฟนเรียร์กลับกระดิกหูและพูดขึ้นด้วยระดับเสียงปกติ
“วาห์นยังไม่นอนหรอก”
เด็กสาวไม่สนใจคำห้ามปรามของมิลานก่อนจะเดินมาที่เตียงและเริ่มสะบัดชุดเมดออกจากตัวราวกับฝึกมาอย่างดี
เรื่องใส่เสื้อผ้าเองนั้นอาจยังต้องให้คนอื่นช่วย แต่อย่างน้อยตอนนี้เฟนเรียร์ก็ถอดมันได้เองแล้ว
ส่วนเรื่องชุดชั้นในก็ไม่ต้องห่วง เพราะเธอจะใส่ชุดที่ใช้ต่อสู้ไว้ด้านในตลอด (TL: สปอร์ตบรากับขาสั้นรัดรูป)
เมื่อถอดชุดเสร็จแล้ว เฟนเรียร์ก็ปีนขึ้นไปบนเตียงและได้รับการต้อนรับ (เกาหู) จากวาห์น
มิลานลงมานั่งข้างเตียงด้วยสีหน้าครุ่นคิดเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังตื่นอยู่ ส่วนทีน่านั้นเล่นตามน้ำแบบ ‘น้องสาว’ และขึ้นมานอนฝั่งตรงข้ามเป็นที่เรียบร้อย
ท่าทางของพวกเด็กๆ ทำให้มิลานหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตามน้ำไปอีกคนและลงมานอนข้างทีน่า
หลังจากผูกมือของเฟนเรียร์และลูบหัวของทั้งสามด้วยความรักใคร่ วาห์นก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างอบอุ่น
—
วาห์นตื่นขึ้นตอนตี 5 ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น
หลังจากจ้องเพดานอยู่พักหนึ่ง เขาก็หันมาทางเฟนเรียร์ที่เอาคางมาเกยกับแผงอก
เฟนเรียร์จะคอย ‘ปกป้อง’ ร่างกายของวาห์นตอนที่จิตของเขาเข้าไปในลูกแก้ว นั่นทำให้เธอตื่นพร้อมกับเขาอยู่เสมอ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความกังวลของเด็กสาว วาห์นก็ยื่นมือออกมาและใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อสางผมให้
วันนี้เฟนเรียร์จะอยู่เรียนหนังสือกับมิลานและทีน่าแทนการเข้าดันเจี้ยนตามปกติ
ตอนแรกเฮสเทียเป็นคนอาสาทำหน้าที่นี้ แต่เพราะเธอขาดทั้งประสบการณ์สอนและวิธีจัดการกับ ‘เด็กๆ’ หน้าที่ก็เลยตกเป็นของมิลานแทน
วาห์นตรวจสอบออร่าในคฤหาสน์และพบว่าเฮสเทียกับเฮเฟสตัสเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน
ตอนนี้ทั้งสองกำลังยืนอยู่ตรงห้องโถง แต่ไม่นานก็มีออร่าอันหนึ่งเดินจากไปซึ่งทำให้วาห์นรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เพราะรู้ว่านี่คือการจากลาเพียงชั่วครู่และเป็นสิ่งที่เธอบอกไว้ก่อนแล้ว วาห์นจึงได้แค่หลับตาและสงบจิตใจของตัวเองลง
เฮเฟสตัสนั้นงานยุ่งอยู่เกือบตลอด (ต่างจากเทพธิดาบางคนที่อยู่แถวนี้) ดังนั้นการสะสางตารางงานของเธอจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
วาห์นตั้งใจไว้ว่าวันนี้จะไปหาเธอที่โรงหลอม… ไม่ใช่เพราะอยากทำเรื่องอย่างว่า แต่เพราะอยากจะไปช่วยเคลียร์งานให้เสร็จไวๆ
หากเคลื่อนที่ด้วย [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เขาก็จะสามารถไปถึงโรงหลอมได้โดยใช้เวลาเพียง 4 นาทีเท่านั้น
ในที่สุดมิลานก็ตื่นขึ้นและชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นวาห์น ก่อนจะจำได้ว่าเมื่อคืนเธอเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง
หลังจากปลุกทีน่าและช่วยเธอกับเฟนเรียร์ใส่เสื้อผ้า วาห์นก็ลูบใบหูของทั้งสามและจูบที่หน้าผากเป็นการแถมให้ด้วย
ถึงจะเคยจูบมิลานที่ริมฝีปากมาแล้ว แต่เขาก็รู้ว่าเธอยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ
ตอนนี้เขายังไม่อยากกดดันหรือบังคับใครทั้งสิ้น วาห์นจึงเลือกที่จะสงวนท่าทีไว้ก่อนและปฏิบัติกับคู่แม่ลูกอย่างอ่อนโยน
จากนั้นไม่นานทุกคนก็ลงไปชั้นล่าง
มิลานกับทีน่าเดินไปเตรียมอาหารเช้าในขณะที่เฟนเรียร์ดึงแผ่นโลหะอะดาแมนไทน์ที่มีตัวอักษรขีดเขียนเอาไว้ออกมา
เธอ ‘ฝึกคัดลายมือ’ โดยละเลงกรงเล็บไปกับแผ่นโลหะและทำราวกับว่ามันเป็นแค่แผ่นไม้บางๆ
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอ แต่อย่างน้อยเฟนเรียร์ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากเรียนหนังสือแบบจริงจัง
เธออยากเป็นเหมือน ‘คนปกติ’ มากกว่านี้ และหลังจากได้พบปะกับสาวๆ คนอื่น พวกเธอก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กสาวควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม
วาห์นพยายามทำให้เรื่องง่ายขึ้นโดยนำแผ่นโลหะอะดาแมนไทน์มาให้เธอใช้แทนกระดาษ
เพราะพวกมันถูกจัดอยู่ในหมวด ‘อาวุธไม่มีคม’ เขาจึงสามารถนำ [หินลับคม] มาใช้แทน ‘ยางลบ’ ได้ด้วย
วาห์นลูบหัวของเด็กสาวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปหาเฮสเทียที่ยังอยู่แถวๆ หน้าบ้าน แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขณะหันไปทางประตูใหญ่
ตอนนี้วาห์นยังไม่แน่ใจว่า ‘พวกเขา’ มาที่นี่ทำไม แต่สัญชาตญาณกำลังกระซิบบอกว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ‘อาจจะมีบางอย่างขึ้น’ จากเมื่อคืนนี้
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่วาห์นรู้สึกมีความสุข ความทุกข์ก็จะตามไล่หลังมาติดๆ
หลังจากปรึกษากับพี่สาว เขาก็เริ่มเข้าใจว่ามันอาจเป็นผลพวงจากค่ากรรมดีของตัวเองนี่แหละ
พี่สาวให้เหตุผลว่าสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวของเหล่าวีรบุรุษมากมายต้องจบลงด้วยโศกนาฏกรรมก็เพราะกรรมดีที่แต่ละคนสั่งสมมานาน ซึ่งมันมักจะเผยโฉมออกมาในช่วงที่ไม่มีใครคาดคิด
อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ความดีกับความชั่วนั้นมักจะดึงดูดเข้าหากันในรูปแบบแปลกๆ ภายใต้กลไกควบคุมที่เรียกกันว่า ‘โชคชะตา’
—————
สนับสนุนนิยายอย่างถูกต้องได้ที่: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
เรื่องน่ากลัวกว่านั้นก็คือมันมักจะแฝงอยู่ในสิ่งที่เราไม่คาดคิดนี่แหละ
ชาย 2 คนที่อยู่ด้านนอกอาจไม่ใช่ ‘ศัตรู’ ของเขา ที่จริงควรเรียกว่าอยู่ ‘ฝ่ายเดียวกัน’ ด้วยซ้ำ แต่วาห์นก็รู้ดีว่าวันนี้พวกเขาไม่ได้มานั่งจิบชาเล่นๆ
หลังจากสะกิดเฮสเทียและส่งกระแสจิตไปหาเฟนเรียร์เพื่อฝากให้เธอบอกคนอื่นๆ ว่าทานได้เลยโดยไม่ต้องรอเขา วาห์นก็เดินออกไปด้านนอกเพื่อรับแขก
เฮสเทียที่เพิ่งจะรู้ใครมาก็ร้องทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียหรอกเหรอ~? ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ฮาร์ธนะ!”
ทาเคมิคาสึจิโค้งอย่างสุภาพซึ่งทำให้เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังทำตามเช่นกัน
“อรุณสวัสดิ์ท่านเฮสเทีย ดีจริงๆ ที่เห็นว่าท่านยังดูสดใสเหมือนเคย”
ทาเคมิคาสึจิหันหน้าไปเล็กน้อยและคำนับอย่างสุภาพมาทางวาห์นเช่นกัน
“พบกันอีกแล้วนะวาห์น ฉันดีใจที่เห็นเธอสบายดี”
แม้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่การมาเยี่ยมเฉยๆ บวกกับอ่อร่าที่กำลังสั่นไหวของทั้งสอง แต่วาห์นก็ทักทายตอบอย่างสุภาพก่อนจะเชิญทุกคนไปที่ห้องสมุด
หลังจากนั่งจนได้ที่ดีแล้ว วาห์นก็โบกมือเพื่อนำชุดชงชาออกมาวางไว้บนโต๊ะ
เพราะทั้งสองเป็นชาวตะวันออก วาห์นก็เลยนำชารสขมนิดๆ ที่มีชื่อว่า [โสมบาร่า] ออกมา
ดูผิวเผินอาจเป็นการกระทำที่สุภาพมาก แต่ทาเคมิคาสึจิก็ขมวดคิ้วก่อนจะมองมาทางวาห์นและหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจ
ไม่นานเทพหนุ่มก็เปิดตาอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัด
“ดูเหมือนเธอจะรู้อยู่หน่อยๆ แล้วนะว่าเรามาที่นี่ทำไม
ข่าวที่ลือกันว่าเธอมีประสาทสัมผัสน่าเหลือเชื่อคงไม่ใช่แค่ข่าวลือซะแล้วสิ”
เมื่อเห็นเทพของตนกำลังลำบาก เด็กหนุ่มที่แนะนำตัวเองว่า ‘โอวกะ’ จึงเริ่มมองหน้าวาห์นอย่างเอาเรื่อง
เมื่อเทียบกับวาห์นที่สูง 165 ซม. โอวกะนั้นสูงกว่าเขาประมาณ 15 ซม. (180 ซม.) ทั้งๆ ที่มีอายุไล่เลี่ยกัน
โอวกะมีผมสีดำและดวงตาสีเขียว ร่างกายของเขานั้นดูแข็งแรงมากและเต็มไปด้วยมัดกล้าม
ท่าทางของโอวกะนั้นเหมือนกับคนนิ่งๆ และจริงจัง ทว่าภายในนั้นก็คือหนุ่มเลือดร้อนดีๆ นี่เอง
“ถึงจะเป็นสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตร แต่อย่าคิดนะว่าตัวนายอยู่เหนือเทพน่ะ” โอวกะพูดเสียงกร้าว
วาห์นไม่ตอบโต้โอวกะแต่หันไปทางทาเคมิคาสึจิที่กำลังจ้องมองถ้วยชาอย่างครุ่นคิด
แม้ [โสมบาร่า] จะเป็นชาจากแดนตะวันออกที่มีราคาแพง แต่บางครั้งมันก็ถูกใช้เพื่อสื่อให้แขกรู้ว่า ‘อย่านำปัญหามาให้เจ้าบ้าน’
นั่นทำให้ชาวตะวันออกแบบทาเคมิคาสึจิและโอวกะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าวาห์นกำลังคิดอะไรอยู่
ขณะที่ชาย ‘ทั้งสาม’ นั่งเงียบใส่กัน เฮสเทียก็มาอยู่ข้างๆ วาห์นโดยไม่มีท่าว่าจะเป็นฝ่ายพูดอะไรออกมา
เทพตัวเล็กเคยคุยเรื่องนี้กับเขามาแล้ว หากสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก เธอก็จะปล่อยให้วาห์นเป็นคนตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแฟมิเลียด้วยตัวเอง
แม้จะเป็นถึงเทพธิดา แต่อย่างมากที่เธอทำได้ก็คือคอยสนับสนุนเหล่าเด็กๆ และปล่อยให้วาห์นผู้เป็น ‘กัปตัน’ จัดการกับเรื่องที่เหลือ
สิ่งเดียวที่เฮสเทียพอมองออกจากสถานการณ์ตอนนี้ก็คือทาเคมิคาสึจิไม่ได้มาเยี่ยมเฉยๆ และเธอเองก็เริ่มระวังตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
บรรยากาศในห้องยังคงเงียบงันขณะที่ทาเคมิคาสึจิจ้องมองถ้วยชาด้วยสีหน้าลังเล
หากเขายอมรับชานี่ไว้ มันก็เหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่าจะไม่รบกวนวาห์น…
เทพหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยืนขึ้นจากโซฟาโดยไม่แตะต้องชาและส่งสัญญาณให้โอวกะทำตามเช่นกัน
ต่อมาเขาก็ทำสิ่งที่น้อยคนนักจะได้เห็น และเริ่มลงไปคุกเข่าแบบหัวติดพื้น (โดเกสะ) โดยใช้ท่วงท่าที่วาห์นบอกได้อย่างเดียวว่า ‘ไร้ที่ติ’
แม้ว่าคิ้วของโอวกะจะกระตุกไม่หยุด แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมทำตามเทพของตัวเอง
วาห์นเริ่มนวดขมับทันทีก่อนจะพูดขึ้น
“เอาล่ะ ฉันจะรับฟังเรื่องของนาย แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าช่วยหรือไม่ช่วยมันก็อีกเรื่อง
จริงอยู่ที่เราจะมาเป็นพันธมิตรกันในอนาคต แต่สำหรับตอนนี้ เฮสเทียแฟมิเลียกับทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียถือว่ายังไม่มีสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันทั้งสิ้น
จากบทลงโทษที่ทางกิลด์กำหนดไว้ ทางเราก็เลยไม่สามารถให้ความร่วมมือได้อย่างเต็มที่ เรื่องนี้ทุกคนก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วนะ”
ทาเคมิคาสึจิรับคำเสียงดังโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากพื้น “ฮ่า! (TL: เป็นการ ‘รับทราบ’ เชิงให้ความเคารพตามแบบของชาวตะวันออก)
เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ไม่ผิดหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อขอร้องให้เธอช่วยจริงๆ
เพราะรู้ว่ายังไงเธอก็คงไม่ปฏิเสธ… ถึงจะรู้ว่าเป็นการไม่สมควร แต่ฉันก็ไม่อาจปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไปได้ เพราะไม่รู้ว่าโอกาสหน้าจะมาอีกเมื่อไหร่
ดังนั้นได้โปรดรับฟังคำขอที่เห็นแก่ตัวของเทพองค์นี้ด้วยเถอะ!”
แม้ศีรษะจะติดพื้นอยู่แล้ว แต่ทาเคมิคาสึจิก็ยังพยายามกดให้มันลงไปอีก
วาห์นถอนหายใจและหันไปหาเฮสเทียด้วยสีหน้าขอโทษก่อนที่เธอจะพยักหน้าตอบเป็นเชิงสนับสนุน
ไม่นานเขาก็หันกลับไปหาทั้งสองอีกครั้ง
“ลุกขึ้นเถอะ ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้น แต่ยังไงเราก็เป็นพันธมิตรกัน
การคุกเข่าขอร้องไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เทพทาเคมิคาสึก็ไม่ควรทำแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆ ของตัวเองอยู่ดีนะ
ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในอนาคต เราอย่าทำให้ต่างฝ่ายต้องมาเสียหน้ากันเองเลย”
โอวกะเงยหน้ามองวาห์นด้วยสีหน้าจริงจังไม่เปลี่ยน ส่วนทาเคมิคาสึจิเองก็แสดงสีหน้าขอบคุณ (แม้จะมีรอยแดงตรงหน้าผาก) ก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟา
เพื่อแสดงความเป็นมิตรต่อกัน วาห์นก็เลยสลับเอาชาชุดเก่าออกและเปลี่ยนให้เป็นชาที่มิตรสหายและคนรู้จักดื่มร่วมกัน
คราวนี้ทาเคมิคาสึจิยกชาขึ้นดื่มทันทีก่อนจะเริ่มอธิบายสาเหตุที่มาในวันนี้ รวมถึงสาเหตุที่แฟมิเลียของเขาเดินทางมาที่โอราริโอ้ด้วย…