Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 242
จากคำบอกเล่าของทาเคมิคาสึจิ พวกเขาเคยเป็นแฟมิเลียที่ประจำอยู่ใกล้กับศาลเจ้าแห่งหนึ่งในแดนตะวันออก
หน้าที่ที่เทพหนุ่มมักได้รับมอบหมายก็คือการสอนศิลปะการต่อสู้และปกป้องคุ้มครองตัวศาลเจ้าและพระราชวังที่อยู่ใกล้เคียง
หน้าที่เหล่านั้นเองที่ทำให้พวกเด็กๆ จากแฟมิเลียได้รู้จักกับ ‘ฮารุฮิเมะ’ ธิดาของหัวหน้าตระกูลซึ่งเป็นเจ้าของศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่แถบนั้น
เพราะเด็กสาวเผ่าเรนาร์ด (จิ้งจอกชั้นสูง) ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกศาลเจ้า สหายเพียงกลุ่มเดียวของฮารุฮิเมะก็คือพวกเด็กๆ ของเขานี่แหละ แถมบางครั้งก็ยังแอบพาเธอออกไปเล่นนอกศาลเจ้าอีกด้วย
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ทว่าเมื่อ 3 ปีก่อน ฮารุฮิเมะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ขโมยของเซ่นไหว้จากศาลเจ้าทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย
เมื่อหาผู้กระทำผิดจริงๆ ไม่พบ บิดาของฮารุฮิเมะที่ถูกตระกูลอื่นๆ กดดันอย่างหนักก็เลยต้องลงโทษลูกสาวของตัวเอง
ถึงจะโกรธแค้นตระกูลอื่นๆ มากแค่ไหนแต่สุดท้ายเขาก็ต้องเนรเทศเธอออกไป
สิ่งเดียวที่บิดาของเธอทำได้ก็คือฝากฝังฮารุฮิเมะไว้กับพ่อค้าชาวพลูมที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันมานานหลายปีแล้ว
แต่เรื่องโชคร้ายก็ยังไม่จบอยู่แค่นั้น คาราวานของพ่อค้าชาวพลูมได้ถูกกลุ่มโจรดักปล้นแถมฮารุฮิเมะก็ยังถูกยังลักพาตัวไปอีก
เพราะไม่สามารถกระทำการได้อย่างอิสระ บิดาของเธอก็เลยฝากฝังเรื่องการออกตามหาไว้กับที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้มากที่สุด หรือก็คือทาเคมิคาสึจินั่นเอง
เนื่องจากนี่เป็นการฝ่าฝืนคำพิพากษาก่อนหน้านี้ อย่างมากที่ทาเคมิคาสึจิทำได้ก็คือชักชวนเด็กๆ ที่มีพรสวรรค์บางคนซึ่งสนิทกับฮารุฮิเมะและออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ เพื่อสืบหาเบาะแสและทำการช่วยเหลือ
พวกเขาตามหาร่องรอยไปเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านหลายแห่ง จนกระทั่งทราบข่าวว่าฮารุฮิเมะถูกขายเป็นทาสและถูกส่งไปยังทวีปอีเดนโดยที่ปลายทางก็คือเมืองโอราริโอ้นั่นเอง
แม้จะเสียใจเมื่อได้รู้ข่าว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่าฮารุฮิเมะถูกขายในฐานะสินค้า ‘เป็นๆ’ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะช่วยเธอกลับมาได้หากเร่งมือ
—————
สนับสนุนนิยายอย่างถูกต้องได้ที่: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
โชคไม่ดีที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามทวีปนั้นไม่ใช้น้อยๆ เลย
ทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียจึงต้องเริ่มทำงานในฐานะทหารกับจ้างเพื่อสะสมเงินทุน
เวลาผ่านไปปีกว่าๆ ท่ามกลางความสิ้นหวัง สุดท้ายก็มีพระใจดีมายื่นมือเข้าช่วยเพราะความสงสาร
บังเอิญว่าพระรูปนั้นเคยช่วยชีวิตลูกชายของกัปตันเรือไว้ในอดีต พระท่านก็เลยออกไปเจรจาต่อรองจนกัปตันยอมอ่อนข้อโดยมีเงื่อนไขว่าทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียจะต้องทำหน้าในฐานะคนคุ้มกันเพื่อแลกกับค่าโดยสารที่ขาดไป
หลายเดือนต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทวีปอีเดนและเดินทางผ่านหมู่บ้านต่างๆ จนมาจบอยู่ที่โอราริโอ้เมื่อไม่นานมานี้เอง
เพราะโชคชะตาเข้าช่วย ทาเคมิคาสึจิได้ทำความรู้จักกับเฮเฟสตัสผ่านทางเทพมิอาค
เพราะเฮเฟสตัสในตอนนั้นต้องการแรงสนับสนุนจากเทพหลายองค์ (TL: เรื่องนี้เอ็งมีเอี่ยวเต็มๆ เลยวาห์น) ทาเคมิคาสึจิจึงใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์เพื่อตีสนิทกับหนึ่งในเทพธิดาอันดับต้นๆ ของเมือง
เทพหนุ่มยอมรับว่านี่ไม่ใช่หนทางที่มีเกียรติ แต่ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือการตามหาบุตรสาวของสหายเก่าและทำให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัย
เธออาจจะไม่มีวันได้กลับไปเหยียบบ้านเกิดอีก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็อยากเห็นเธอได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีอิสระเสรี
หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ฮารุฮิเมะก็คงต้องทนลำบากไปอีกนาน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาขาดความสามารถและทำอะไรไม่ได้มากนัก
การได้รู้จักกับเฮเฟสตัสนี่เองที่ทำให้ทาเคมิคาสึจิได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวาห์นและเริ่มรู้สึกสนใจในตัวเด็กหนุ่มผู้ที่ถูกนักผจญภัยกล่าวขานว่าเป็น ‘วีรบุรุษ’
หลังจากลงมือสืบเรื่องนี้อย่างละเอียด ทาเคมิคาสึจิก็ยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้นและอยากให้วาห์นมาเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆ ของตัวเอง
เทพหนุ่มเริ่มนอกเรื่องและสาธยายข้อดีต่างๆ ของวาห์นเช่น ‘เป็นผู้ผดุงคุณธรรม’ และ ‘ไร้ที่ติ’ แต่เจ้าตัวกลับ ‘ไม่สนใจ’ ก่อนจะเร่งให้เขาเล่าเรื่องต่อให้จบ
ทาเคมิคาสึจิยิ้มแห้งๆ และบอกว่าตนตั้งใจจะทำความรู้จักกับวาห์นอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมิลานและทีน่าทำให้เขาเริ่มแผนก่อนกำหนด
พวกเขาเพิ่งจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฮารุฮิเมะและอยากให้วาห์นช่วยอีกแรง โดยที่จะช่วยมากช่วยน้อยแค่ไหนก็ไม่ว่ากัน
พอรู้ว่าโดนวาห์นอ่านออกตั้งแต่มาถึง ทาเคมิคาสึจิก็เลยสารภาพแบบหมดเปลือกว่าต่อให้ภารกิจนี้อันตรายมากเสียจนพวกเขาเอาไม่อยู่ แต่เทพหนุ่มก็มั่นใจว่าวาห์นคงทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะผ่าน ‘เครือข่ายคนรู้จัก’ หรือด้วยความสามารถของตัวเอง และสามารถช่วยฮารุฮิเมะออกมาได้อย่างแน่นอน
จริงอยู่ที่เด็กๆ ของเขามีความสามารถมาก ทว่าทุกคนนั้นยังเด็กมาก แม้แต่โอวกะที่ดำรงตำแหน่งกัปตันของแฟมิเลียเองก็เป็นนักผจญภัยเลเวล 2 เพียงคนเดียวที่เขามีอยู่
—
วาห์นนั้นไม่ได้รู้ไปซะทุกอย่าง เขาอ่านมังงะถึงแค่เล่ม 7 เท่านั้น
(TL: เป็นช่วงก่อนโดนพวกทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียลากมอนสเตอร์ใส่พอดีเลย นี่ถ้าอ่านถึงเล่ม 8 ก็คงมีแอบเกลียดกันเล็กๆ)
ในขณะที่ลังเลอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้นและทำให้การตัดสินใจดูง่ายลง(?)
ที่จริงวาห์นก็อยากจะช่วยเพราะรู้สึกสงสารฮารุฮิเมะที่ต้องเจอกับชะตากรรมอันโหดร้าย แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากสร้างศัตรูและทำให้คนรู้จักได้รับอันตรายไปด้วย
เมื่อมองไปที่การแจ้งเตือน ใบหน้าของวาห์นก็เริ่มส่อแววจริงจังกว่าเดิม
//เริ่มต้นภารกิจเสริม//
[ภารกิจ: ช่วยเหลือซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ]
ระดับ: C-S
เป้าหมาย: ช่วยซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะจากผู้ที่จับเธอไว้
เป้าหมายเพิ่มเติม: กำจัดและ/หรือสังหารผู้จับกุม: 0/10
รางวัล: ปลดล็อคระบบ ‘อัพเกรด’, 10x[หินอัพเกรด], 14,000 OP
เงื่อนไขความล้มเหลว: เสียชีวิต, ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะเสียชีวิต, [!@#$%^] หลบหนีไปได้
ผลจากความล้มเหลว: 600 กรรมชั่ว, ระบบ ‘อัพเกรด’ จะถูกผนึกไว้จนกว่าจะออกจากเรคคอร์ด
หลังจากอ่านภารกิจแล้ว วาห์นจึงเริ่มรู้สึกสนใจรางวัลหน่อยๆ แต่ก็ยังถามข้อมูลเพิ่มเติมจากพี่สาวเพื่อความแน่ใจ
(“ทำไมจู่ๆ ผมถึงได้ภารกิจนี้ล่ะ?
ผมพอรู้ว่าทาเคมิคาสึจิอยู่ในเนื้อเรื่องเดิมด้วย แต่ฮารุฮิเมะนี่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”)
พี่สาวเริมอธิบายด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
(*การปรากฏตัวของเธอได้เปลี่ยนแปลงบางอย่างไปแล้วไงล่ะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะแย่ไปซะหมดหรอกนะ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเธอเผลอไปทำให้เรคคอร์ดเสียสมดุล ‘เดอะพาธ’ ก็จะออกภารกิจมาแก้ไขสิ่งหล่านั้น
เพราะนี่ไม่ใช่ภารกิจหลัก เธอจะเลือก ‘ปฏิเสธ’ มันก็ได้ แบบนั้นก็จะไม่โดนเรื่อง [เงื่อนไขความล้มเหลว] ด้วย
แต่ขอเตือนไว้อย่างนะว่าถ้า ‘ปฏิเสธ’ มีโอกาสสูงมากที่เด็กชื่อซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะจะเสียชีวิต*)
พอได้ยินคำตอบของพี่สาว วาห์นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเริ่มตระหนักว่าการขาดข้อมูลจากในมังงะคงทำให้อนาคตลำบากขึ้นกว่าเดิม
มันอาจจะไม่ถึงขั้นบังคับให้เขาเดินตามเนื้อเรื่องเดิม แต่การช่วยเหลือผู้ที่มีชะตากรรมอันแรงกล้า (ตัวละครที่ส่งผลอย่างหนักจากในเนื้อเรื่องเดิม) ก็เป็นสิ่งที่วาห์นเลี่ยงไม่ได้
ตัวอย่างเช่น หากวาห์นไปเปลี่ยนเหตุการณ์ที่ส่งผลโดยตรงต่อการกอบกู้โลกใบนี้ เขาก็อาจจะต้องแบกรับภาระในการกู้โลกเอาไว้เอง
จากการที่วาห์นได้รับภารกิจ [ช่วยเหลือซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ] นั้นก็หมายความว่าเธอมีความสำคัญในเนื้อเรื่องหลัก และเขาก็เผลอทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้ตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบไม่รู้ตัว
ถ้าเขาเลือกที่จะไม่ให้การช่วยเหลือหรือไม่ทำอะไรเลย เธอก็คงต้องตายอย่างแน่นอน
วาห์นได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ในใจก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่าทั้งทาเคมิคาสึจิและโอวกะต่างก็กำลังรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“…บอกไว้ก่อนเลยก็ได้ว่าจะช่วยแน่นอน แต่ว่า ต้องหลังจากที่ฉันจัดการกับเรื่องส่วนตัวก่อน
ไม่รู้ว่าพวกนายไปได้ยินอะไรมา แต่ฉันไม่มีพลังพอที่จะตามหาเด็กผู้หญิง 1 คนจากในเมืองที่ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้หรอกนะ
ฉันต้องการข้อมูลเพิ่ม จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ แล้วก็…”
วาห์นส่งกระแสจิตสั้นๆ ออกไป ไม่นานเฟนเรียร์ก็พุ่งเข้ามาในห้องและจ้องมองคนแปลกหน้าทั้งสองอย่างไม่เป็นมิตร
วาห์นเริ่มอธิบายให้ทุกคนเข้าใจถึงสาเหตุที่เรียกเธอมา
“เฟนเรียร์มีประสาทการดมกลิ่นที่ดีที่สุด ขนาดเผ่ามนุษย์แมวหรือเผ่าเชียนโธรปก็ยังต้องยอมแพ้เธอเลย
ถ้านายมีของส่วนตัวของฮารุฮิเมะล่ะก็ พวกเราอาจจะใช้วิธีตามกลิ่นได้อยู่
แต่ถึงเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะปล่อยให้คนของตัวเองตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะต้องการช่วยเหลือเธอหรอกนะ
แล้วฉันก็จะไม่ละทิ้งหน้าที่และทุกอย่างที่ทำอยู่เพื่อออกตามหาเธอแบบเอาเป็นเอาตายเด็ดขาด…”
ก่อนที่วาห์นจะพูดจบ ทาเคมิคาสึจิก็ก้มหัวอีกครั้ง คราวนี่หัวของเทพหนุ่มแทบจะฝังเข้าไปในโต๊ะเลยทีเดียว
เสร็จแล้วเขาก็เริ่มพูดเสียงดังกว่าครั้งแรก
“แค่เธอบอกว่าจะช่วยก็ดีมากแล้ว!
ยังไงนี่ก็เป็นภารกิจของทางเราตั้งแต่แรก เดี๋ยวเรื่องงานหนักเราจะจัดการกันเอง
เบาะแสหรือไม่ก็ที่อยู่ของเธอ… ฉันอยากขอนายแค่นี้จริงๆ!”
วาห์นหยุดและจ้องมองไปทางศีรษะของทาเคมิคาสึจิก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“…ถ้าโอกาสมาอยู่ตรงหน้า ขอรับรองเลยว่าฉันจะไม่หยุดรอและหาทางช่วยเธอออกมาทันที”
ทาเคมิคาสึจิเงยหน้าขึ้นอย่างยิ้มแย้มและลงไปคำนับอีกถึง 3 ครั้งก่อนจะพูดต่อ
“ขอบคุณมากเลย ทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียจะเป็นหนี้บุญคุณนายตลอดไปหากภารกิจนี้สำเร็จลงด้วยดี”
จากนั้นเทพหนุ่มก็ดึงถุงเครื่องลางเล็กๆ ออกมาและส่งมันให้กับวาห์น
“นี่คือของส่วนตัวของซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ
เราเคยลองวิธีนี้โดยใช้เผ่าเชียนโธรปมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
อีกเรื่องก็คือเราไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในเมืองมากนัก…”
พอได้ถุงเครื่องลางมาแล้ว วาห์นก็เริ่มลูบหัวเฟนเรียร์และอธิบายแบบง่ายๆ
“เฟนเรียร์ นี่เป็นถุงเครื่องรางของเด็กผู้หญิงที่กำลังถูกพวกคนชั่วรังแก เธอช่วยฉันตามกลิ่นนี้ให้หน่อยได้ไหม?”
หลังจากฟังที่วาห์นอธิบายแล้ว เฟนเรียร์ก็มอง ‘คนแปลกหน้า’ ทั้งสองด้วยดวงตาที่ส่องประกายมากกว่าเดิม
โอวกะเริ่มตื่นตัวทันที แต่วาห์นก็ขยายพลังเขตแดนออกมาและสกัดเขาไว้กับที่อย่างไม่อยากเย็นนัก
ทาเคมิคาสึจิรีบยกมือห้ามโอวกะ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลังเหงื่อแตกไม่แพ้กัน
วาห์นหันกลับไปลูบหัวเฟนเรียร์และพยายามอธิบายต่อ
“สองคนนี้ไม่ใช่พวกคนชั่วนะ พวกเขาเป็นเพื่อนของเด็กผู้หญิงคนนั้นต่างหาก
พวกเขาพยายามตามหาเด็กผู้หญิงเพื่อปกป้องและทำให้เธอมีความสุข แบบเดียวกับที่เฟนเรียร์มีความสุขไง”
ดวงตาของเฟนเรียร์ยังคงเปล่งประกายอย่างต่อเนื่องขณะที่ขนของเธอเริ่มตั้งชัน
“เหมือนกับเฟนเรียร์เหรอ…?”
คนที่รู้จักเด็กสาวอาจนึกว่าเฟนเรียร์กำลังหิว แต่จริงๆ แล้วนี่คือรูปร่างเวลาที่เธอเปิดใช้สกิล [นักล่า] บวกกับการดึงเอาสัญชาตญาณออกมาเพื่อเพิ่มระดับประสาทสัมผัส
เด็กสาวนำถุงเครื่องรางมาวางไว้บนอุ้งมือ ก่อนจะเริ่มสูดดมแรงๆ ขณะหันไปมองชายหนุ่มทั้งสอง และเริ่มสูดดมอากาศรอบๆ
ไม่นานเธอก็พยักหน้าพร้อมสูดดมเครื่องรางอีกหลายครั้งและส่งมันกลับคืนให้วาห์น
ถึงตอนนี้จะยังไม่พบตำแหน่งของฮารุฮิเมะ แต่เฟนเรียร์ก็ตบหน้าอกตัวเองพลางพูดอย่างมั่นใจ
“เฟนเรียร์จำกลิ่นได้แล้ว เดี๋ยวเฟนเรียร์จะไปช่วยเธอ กระทืบพวกคนชั่ว!”
วาห์นเผยรอยยิ้มและลูบหัวของเฟนเรียร์อีก 2-3 ครั้งก่อนจะบอกให้เธอไปอยู่กับเฮสเทียก่อน ตอนนี้เทพตัวเล็กเองก็เตรียมหวีขึ้นมาไว้ในมืออย่างรู้ใจ
เพราะเธอสามารถเก็บกลิ่นไว้ในจมูกได้ หากพบกลิ่นแบบเดียวกันเข้า เฟนเรียร์ก็จะตามหาฮารุฮิเมะจนพบแน่นอน
วาห์นเริ่มหันไปคุยกับทาเคมิคาสึจิต่อ
“ตอนนี้ฉันขอยืมเครื่องรางนี่ก่อนก็แล้วกัน
ส่วนเรื่องค่าตอบแทน เพราะเราต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด… งั้นก็ช่างมันก่อนเถอะ
ถ้ามีคนรู้ว่าแฟมิเลียของเราแอบทำงานร่วมกันก่อนครบกำหนด 1 ปี ทางกลุ่มพันธมิตรก็อาจจะพลอยลำบากไปด้วย
ทางที่ดีเราควรจะติดต่อกันผ่าน ‘เครือข่าย’ ของฉันแทน
สำหรับตอนนี้ คงต้องแยกไปสืบกันเอง”
ทาเคมิคาสึจิยิ้มให้วาห์นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาและโอวกะจะขอตัวกลับไปก่อน
เมื่อเดินมาถึงด้านนอก ทาเคมิคาสึจิก็หันกลับไปถามเด็กหนุ่ม
“คิดว่าเขาเป็นไงบ้าง?”
มันเป็นน้ำเสียงเชิงหยอกล้อที่พอโอวกะได้ยินแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็ตอบกลับไป
“เขาดูมีความเป็นผู้ใหญ่มาก ทั้งคำพูดแล้วก็ท่าทาง แต่ถ้าพูดเรื่องความแข็งแกร่ง… แค่แลกหมัดกันยกเดียวผมก็คงจอดแล้วล่ะ”
ทาเคมิคาสึจิยิ้มกว้างขึ้นขณะหันไปตบไหล่ของโอวกะเบาๆ
“ตอนนี้คงพอเข้าใจแล้วสินะ ว่าเป้าหมายของเธออยู่สูงขนาดไหน
เธอน่ะแข็งแกร่งมาก… ถ้าเราวัดแค่คนจากแดนตะวันออกนะ
แต่ว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยคนที่เก่งกว่าเธออยู่เยอะแยะเต็มไปหมด บางคนยังอายุน้อยกว่าเธอด้วยซ้ำ
ถ้าอยากปกป้องคนสำคัญ เธอก็ต้องคิดอะไรให้รอบคอบและหมั่นฝึกฝีมือให้มากกว่านี้ด้วยล่ะ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็เงียบกันไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่งโอวกะเริ่มพูดอีกครั้ง
“เขาคิดช่วยเราอยู่แล้ว… ใช่ไหมครับ?
ผมดูยังรู้เลยว่าเขาตัดสินใจช่วยแน่นอนตั้งแต่ตอนที่ท่านทาเคมิคาสึจิเล่าออกไปได้ครึ่งเรื่องเอง…”
คำถามนั่นทำให่ทาเคมิคาสึจิยิ้มอย่างมั่นใจ
“จะบอกว่าเราใช้ประโยขน์จากเขาก็คงไม่ผิดนักหรอกนะ ถึงเจ้าตัวจะไม่ยอมรับแต่วาห์นน่ะมีบุคลิกของวีรบุรุษอยู่หลายอย่าง
อันที่เด่นหน่อยๆ ก็คือการ ‘อยู่เฉยไม่ได้เมื่อมีสิ่งผิดมาลอยอยู่ตรงหน้า’
ฉันคิดว่าตราบใดที่มันไม่เป็นอันตรายต่อคนที่เขาห่วงใย วาห์นต้องหาฮารุฮิเมะเจอแน่นอน เผลอๆ แค่วันสองวันก็หาเจอแล้วมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า”
โอวกะหันกลับไปมองทางคฤหาสน์ฮาร์ธอีกครั้ง
ตอนนี้สายตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เขาขอติดตามทาเคมิคาสึจิมาก็เพราะรู้สึกสงสัยในตัวเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่บางคนกล่าวขานว่าเป็นถึง ‘วีรบุรุษ’
พอได้พบกันแล้ว โอวกะก็รู้สึกเหมือนได้พบกับคู่แข่งคนสำคัญที่ตัวเองต้องพยายามไล่ตามให้ทัน และสักวันหนึ่ง ต้องเอาชนะให้ได้… อาจจะนะ
—
หลังจากที่ทั้งสองกลับกันไปแล้ว เฮสเทียก็มองวาห์นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“นายจะไปช่วยเธอแน่นอน ใช่ไหมล่ะ?”
วาห์นมองตอบแบบยิ้มๆ ขณะลูบเส้นผมของเธอ
“ฉันจะไม่เปลี่ยนกำหนดการอะไรหรอกนะ นอกจากว่ามันจะเป็นเรื่องด่วนจริงๆ
ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดก็คือแฟมิเลียของเราแล้วก็…”
พอมองออกไปยังทิศของสถานที่แห่งหนึ่ง วาห์นก็รู้สึกได้ว่าสัมผัสเชื่อมโยงระหว่างเขากับเฮเฟสตัสตัสเริ่มจะสั่นไหวนิดๆ
“ฉันต้องไปหาเฮเฟสตัส… หลังจากนั้นถึงค่อยออกไปตามหาฮารุฮิเมะและช่วยเธอให้เป็นอิสระ
ยังไงซะ นั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันสร้างแฟมิเลียนี้ตั้งแต่แรก… เพื่อช่วยคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”
เฮสเทียเผยรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนที่เธอและเฟนเรียร์จะเข้าสวมกอดวาห์นด้วยกัน
เทพตัวเล็กหันไปหอมแก้มเขาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็ผละออกมา
“นายต้องระวังตัวด้วยล่ะ จำไว้นะว่าฉันจะรออยู่ที่นี่เสมอ… ถ้ารู้สึกเหนื่อย ก็ขอให้กลับมาที่นี่… กลับมาฉัน”
วาห์นหัวเราะขณะลูบพวงแก้มของเธอด้วยมือขวาก่อนจะเอนตัวไปข้างหน้าและมอบจูบสั้นๆ ที่ริมฝีปาก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่จูบแรกของทั้งสอง แต่เฮสเทียก็อายจนตัวม้วนและรีบผละออกมาทันที
โรค ‘อยากแหย่คน’ ของวาห์นเริ่มกลับมากำเริบอีกครั้ง เพราะตอนนี้เทพธิดาของเขากำลังทำตัวเขินอายเหมือนกับตอนที่ได้เจอกันใหม่ๆ
แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร เฟนเรียร์ก็เริ่มใช้กรงเล็บจิ้มๆ ที่ปากตัวเองและพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“เฟนเรียร์อยากจูบๆ บ้าง”
วาห์นนึกว่าตัวเองเตรียมพร้อมรับมือได้ทุกอย่างแล้ว แต่คำพูดของเด็กสาวก็ทำให้เขาอึ้งไปเลย
แววตาสีแดงเริ่มส่อแววอันตรายจนวาห์นต้องรีบอธิบายทันที
“ไม่ได้หรอกเฟนเรียร์ เธอต้องเรียนให้จบก่อนนะ ถึงจะทำแบบนั้นได้
อืมม ยืนหน้ามานี่สิ…”
เฟนเรียร์โน้มตัวไปข้างหน้าตามที่วาห์นบอกก่อนจะได้รับจูบตรงหน้าผาก
“ฉันจูบแบบเดียวกับที่จูบให้ ‘พี่สาว’ ของเธอเลยนะ แบบนี้พอได้ใช่ไหม?”
เฟนเรียร์ยกอุ้งมือขึ้นมาแปะตรงหน้าผากและแสดงสีหน้าที่ดู ‘มีความสุข’ มาก
เมื่อได้ยินสิ่งที่วาห์นบอก เฟนเรียร์ก็รีบวิ่งออกไปทางห้องอาหารพลางตะโกนเสียงดัง
“พี่สาว พี่สาว เฟนเรียร์ได้จูบด้วยล่ะ!”
คำพูดนั่นทำให้วาห์นต้องเอามือก่ายหน้าผากและหันมามองเฮสเทียที่กำลังหัวเราะร่า
เนื่องจากทั้งสองนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน วาห์น (ที่อยากแกล้งจนทนไม่ไหวแล้ว) ก็เลยจับข้อเท้าของเธอไว้ก่อนจะกดจุดใกล้กับตรงส้นเท้า
เฮสเทียรู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านร่างกายจนต้องร้องเสียงหลง
เธอพยายามพุ่งออกไปตีมือของวาห์นออก แต่เด็กหนุ่มตัวแสบก็ใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพื่อหนีออกจากตรงนั้น
เพราะรู้ตัวว่าต้องโดนด่าแน่นอน วาห์นก็เลยยิ้มแบบหล่อๆ และพูดขึ้นเสียก่อน
“ฉันจะไปหาเฮเฟสตัสนะ จะไปดูว่าเธอต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่า
มิลานกับทีน่าคงจะค้างอยู่ที่นี่อีกวัน ถ้าไม่มีอะไรมาก ฉันน่าจะกลับมาตอนเที่ยงๆ…”
เพราะเข้าใจในสิ่งที่เด็กหนุ่มพยายามจะสื่อ รอยยิ้ม ‘เดือดดาล’ ของเฮสเทียก็เลยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนจนวาห์นปรับตัวตามไม่ทัน
เฮสเทียเริ่มพูดเสียงเบาแต่ก็ฟังดูจริงจังมาก
“ดูแลเธอให้ดีล่ะวาห์น ถึงจะดูเป็นสาวแกร่งแค่ไหน แต่ฉันก็รู้จักกับเฮเฟสตัสมาตั้งนานแล้ว…
เธอเป็นเทพธิดาที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด… ต้องปฏิบัติกับเธอให้ดีที่สุดเลยนะ”
วาห์นก้มหน้าลงเพื่อใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน
“ไม่ใช่แค่เฉพาะกับเฮเฟสตัสเท่านั้นนะ ฉันจะปฏิบัติกับทุกคนเป็นอย่างดี
นั่นก็รวมถึงเธอด้วยนะ เฮสเทีย… เมื่อเธอพร้อม”
สีหน้าของเฮสเทียยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม… ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเจ้าตัวได้กลายเป็นรูปปั้นแช่แข็งไปแล้ว
แต่รูปปั้นนี้มีความพิเศษอีกอย่าง ซึ่งก็คือการที่ใบหน้าของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ แถมตรงส่วนหูก็มีควันลอยออกมาด้วย
เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เฮสเทียก็เลยกลายสภาพกลับมาและกัดฟันพูดพร้อมน้ำตา
“ไม่ใช่แค่ดีเฉยๆ แต่นายต้องปฏิบัติกับฉันเป็นพิเศษเลยต่างหาก!
ฉันไม่อยากเป็นแค่หนึ่งในกลุ่มสาวๆ นะ แต่อยากเป็นอะไรที่พิ-”
ก่อนจะสิ้นเสียง วาห์นก็ใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] อีกครั้งเพื่อก้าวเข้ามายกคางของเธอขึ้น จ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใส และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจนเฮสเทียอ้ำอึ้งไม่กล้าพูดต่อ
“เธอเป็นคนในครอบครัวที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ เป็นเทพธิดาผู้งดงาม และเป็นคนที่ฉันฝากฝังทุกอย่างเอาไว้ ไม่ใช่แค่ชีวิตของฉันคนเดียว แต่รวมถึงชีวิตของทุกคนที่ฉันห่วงใจด้วย
อย่าตีค่าตัวเองต่ำไปนักเลยนะ…”
ก่อนที่เธอจะอ้าปากพูด วาห์นก็มอบจูบเพื่อปิดปากนั่นลง เป็นจูบแบบดูดดื่มอันแรกที่ทั้งสองมีร่วมกัน
แม้จะรู้สึกลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายเฮสเทียก็ยอมโอนอ่อนตามและเริ่มกอดวาห์นกลับ… จนกระทั้งได้ยินเสียงใครบางคนที่ประตู
“อ้า! เฟนเรียร์อยากได้แบบนี้บ้าง!”
ชื่อตอน: ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ