Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 265
หลังจากที่ร่างของเฮสเทียผ่อนคลายลงแล้ว วาห์นก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังถอนหายใจยาวๆ ขณะนอนแหมะอย่างไร้เรี่ยวแรงไปกับท้องน้อยของเขา
เพราะรู้ว่าเธอคงเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก วาห์นจึงเพ่งสมาธิและขจัดความตึงเครียดออกจากร่างกายด้วย [จิตแห่งราชัน]
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ สิ่งที่เคยแข็งกร้าวก็ค่อยๆ อ่อนยวบลง ตามมาด้วยการจัดชุดชั้นในของอักฝ่ายให้เข้าที่และนำร่างเล็กลงมานอนที่เตียง
สติของเฮสเทียเริ่มแจ่มชัดขึ้นขณะที่วาห์นคอยลูบใบหน้าจากด้านข้างพลางกระซิบบอกเธอเบาๆ
“ทำดีแล้วล่ะ เฮสเทีย… ขอบใจนะที่พยายาม”
วาห์นโน้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของเทพตัวเล็กก่อนจะใช้ผ้าห่มห่อตัวเธอไว้ด้วยความเอาใจใส่
เฮสเทียจ้องมองแผ่นหลังของวาห์นราวกับอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เธอกลับพบว่าตอนนี้สมองไม่อาจรวบรวมมันออกมาเป็นคำพูดได้เลย
แรงสั่นสะเทือนจากร่างกายส่วนล่างคงจะตามหลอกหลอนเธอไปอีกพักหนึ่ง
สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ในตอนนี้คือ ‘ความเศร้า’ เพราะขาดความอบอุ่นจากคนตรงหน้า
มืออ่อนปวกเปียกค่อยๆ ขยับไปเองและกุมเข้ากับด้านหลังชายเสื้อของคนที่กำลังเดินจากไป
วาห์นต้องรีบหันกลับมาคว้าร่างเล็กและจับเธอนอนลงอีกครั้ง พอมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้า เขาก็เห็น ‘ความถวิลหา’ ที่ฝังลึกอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน
วาห์นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะกลับเข้าไปใต้ผ้าห่มและกอดเฮสเทียต่ออีกหน่อย
เขาสัมผัสได้ว่าสาวๆ หลายคนเริ่มตื่นกันแล้ว แต่ก็น่าจะเหลือเวลานอนเล่นอยู่บ้างเพราะต่างก็ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวกันอีกพักหนึ่ง
ความอบอุ่นจากวาห์นเข้ามาขับไล่เศร้าออกไปและทำให้หัวใจของเธอกลับมาพองโตขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เฮสเทียพยายามออกแรงกอดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ร่างเปลือยเปล่าและความนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายทำให้วาห์นรู้สึกอยากจะนอนต่ออยู่เหมือนกัน
เมื่อกี้เขาได้ถอดเสื้อออกไปแล้ว นั่นทำให้สัมผัสจากยอดชูชันทั้งสองส่งผ่านมาถึงผิวกายได้อย่างชัดเจน
ขณะใช้มือลูบไล้เส้นผมยาวสลวย วาห์นก็รู้สึกว่าถ้าสามารถรวมเป็นร่างเดียวกัน หรือเข้ามาสิงเขาได้ เฮสเทียก็คงทำมันไปนานแล้ว
เขาค่อยๆ ใช้มือยกหน้าแดงระเรื่อของเธอขึ้นเพื่อดูว่าสติกลับมาครบดีหรือยัง
ใบหน้างามยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตาอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยแววตาสีฟ้าก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้งหนึ่งแล้ว
วาห์นดูออกว่าเธอโอเค แต่แค่กำลังอยากให้เขามาเอาใจหลังจากที่เพิ่งทำกิจกรรมร่วมกันไปหมาดๆ
หลังจากเช็ดคราบต่างๆ ออกให้ วาห์นก็โน้มหน้าเข้ามาจูบกับเฮสเทียสั้นๆ อีกหลายครั้ง
เขาไม่อยากให้เธอฝืนไปมากกว่านี้ แถมสาวๆ บางคนก็เริ่มมารวมตัวกันที่บันไดชั้นล่างแล้วด้วย
สุดท้ายเฮสเทียก็ยอมปล่อยมือและพยายามลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก
เทพตัวเล็กหันมาจ้องที่ใบหน้าของวาห์นและถามด้วยน้ำเสียงลังเล
“วาห์น นายรักฉันหรือเปล่า?”
วาห์นลุกขึ้นมานั่งสบสายตากับเฮสเทียเช่นกันขณะเผยรอยยิ้มจริงใจ
เขารู้ว่าตอนนี้เฮสเทียไม่ได้ต้องการคำชมหรือคำพูดหวานเกินจริง
เธอแค่ถามในสิ่งที่คิดและคงอยากได้คำตอบชนิดเดียวกันกลับไป
แววตากับคำตอบของวาห์นล้วนแฝงไปด้วยความมั่นใจสุดๆ
“รักสิ ฉันรักเธอนะ เฮสเทีย”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูป ตามมาด้วยการพยักหน้าเบาๆ ราวกับกำลังยืนยันบางอย่าง
“แต่นายก็รักคนอื่นด้วย ใช่ไหมล่ะ?”
เป็นคำถามที่ตอบยากกว่าเดิม แต่วาห์นก็ตอมกลับไปตามตรง
“ใช่”
เฮสเทียถอนหายใจยาวและทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก้มลงไปจ้องมองร่างกายของตัวเองที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อกับร่องรอยสีแดงมากมายและเริ่มนึกถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่ใช้ร่วมกับคนตรงหน้า
เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งเทพและทั้งสองคงจะได้อยู่ด้วยกันอีกหลายร้อยปี
ในช่วงเวลาดังกล่าว วาห์นคงจะมีทั้งภรรยาหรือคนรักเพิ่มขึ้น นั่นยังไม่รวมถึงพวกเด็กๆ ที่เกิดออกมาและเทพธิดาคนอื่นนอกเหนือไปจากตัวเธอเอง…
นั่นคือความเป็นจริง คือความจริงที่เธอต้องเผชิญ คือความรู้สึกอิจฉาที่เธอไม่อาจควบคุมได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเฮสเทียก็ยังอยากอยู่เคียงข้างวาห์น
เขาเป็นคนที่เอาใจใส่เธอมากที่สุด อ่อนโยนกับเธอมากที่สุด และไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด ไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหนก็ตาม
ถึงจะถูกความอ่อนแอเข้าเล่นงานเป็นบางครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยหลีกหนีมันและพยายามเสาะหาแรงสนับสนุนจากคนอื่นในยามที่จำเป็น
เขาแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อแต่อีกด้านก็เปราะบางไม่แพ้กัน… เฮสเทียอยากปกป้องผู้ชายคนนี้และช่วยค้ำจุนเขาไปตลอดในฐานะเสาหลักคนหนึ่ง
หลังยืนยันความรู้สึกของตัวเองเสร็จแล้ว เฮสเทียก็ตัดสินใจได้ว่าเธอจะสนับสนุนวาห์นเท่าที่ทำได้ และจะพยายามไม่ไปจำกัดหรือตั้งแง่กับเขาเหมือนแต่ก่อน
อย่างที่เขาคอยโอนอ่อนให้กับความเอาแต่ใจของเธอมาตลอด เธอเองก็ต้องยอมโอนอ่อนตามเช่นกัน นั่นร่วมถึงการช่วยผลักดันให้เขาใกล้ชิดคนอื่นมากขึ้นด้วย
สีหน้าและออร่าของเทพตัวเล็กกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พอมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเล เธอก็เห็นความเอาใจใส่ ความเป็นห่วง และความกลัวเล็กน้อยที่แทบจะจางหายไปทันทีที่ได้สบตากัน
เฮสเทียเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรักและงดงามที่สุด พร้อมตอบกลับอย่างมั่นใจ
“ฉันเองก็รักนายนะ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ… ฉันจะช่วยทำให้ความฝันของนายเป็นจริงขึ้นมาให้ดู~”
นั่นเป็นคำตอบที่สร้างความสุขให้กับวาห์นอย่างล้นเหลือจนต้องนำอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เฮสเทีย ฉันดีใจจริงๆ ที่ได้มาเจอเธอ… ขอบคุณนะที่มารักกัน”
วาห์นโน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากงามอย่างดูดดื่ม ส่วนเฮสเทียก็ตอบรับมันอย่างเต็มหัวใจ
ราวกับว่าความกลัวเรื่องต่างๆ นาๆ ของเธอพลันหายไปจนหมดสิ้น
ทั้งสองจูบกันนานมากจนลืมหายใจกันอยู่พักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายก็หันไปใช้จมูกหายใจต่อและไม่ยอมจบจูบนี้ลงง่ายๆ
ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นาน และแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเพื่อดึงให้ทั้งสองกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เฮสเทียต้องรีบถอนปากออกและกล่าวเตือนเบาๆ
“รีบไปได้แล้ว อย่าให้คนอื่นต้องรอนานสิ!”
วาห์นยังปรับตัวตามไม่ทันและเอาแต่จ้องมองเฮสเทียที่นำผ้าห่มขึ้นมาปิดช่วงบน
กลีบดอกสีขาวที่กระจายอยู่รอบเตียงค่อยๆ บินขึ้นมาบรรจบกับร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่ม หรือก็คือเธอกำลังแต่งตัวอยู่นั่นแหละ
เทพตัวเล็กหันมาจ้องเขม็งด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“เลิกมองแบบนั้นได้แล้ว!… เอาไว้ต่อกันทีหลังก็ได้ วันนี้ฉันยังต้องไปจัดการธุระอีกหลายเรื่องน่ะ…”
วาห์นหัวเราะเบาๆ ขณะใช้มือขยี้ผมของเฮสเทียและโดดลงจากเตียง
หลังจากใช้ผ้าเช็ดตัวแบบลวกๆ เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าผ่านทางระบบก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับริวที่เฝ้ารออย่างใจเย็น
ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อย แต่เธอก็แค่กล่าวคำทักทายสั้นๆ ตามแบบฉบับ
“อรุณสวัสดิ์นะวาห์น”
ชายหนุ่มยิ้มให้พลางเอ่ยตอบ
“ขอโทษทีนะที่ให้รอนาน ลงไปเริ่มฝึกกันเถอะ”
ริวพยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าไปยังลานฝึกประจำคฤหาสน์
ทุกคนมากันครบหมดแล้วและกำลังยืนรออยู่ตรงลานที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ฝึกมากมายหลายรูปแบบ
เนื่องจากกำลังอารมณ์ดีแบบสุดๆ วาห์นจึงกล่าวทักทายทุกคนอย่างกระปรี้กระเปร่าพร้อมตรวจสอบค่าสถานะของแต่ละคน… แต่แล้วก็สังเกตุได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทุกคนต่างทำสีหน้าแปลกๆ แม้กระทั่งพรีเซียที่นั่งอยู่ข้างลานพร้อมกับมิลานก็ยังจ้องเขาในลักษณะเดียวกัน นั่นร่วมถึงทีน่าที่ตัดสินใจมาร่วมฝึกในวันนี้ด้วย แถมใบหน้าของเด็กสาวนั้นยังแดงเข้าขั้น ‘เลฟิย่า’ ไปแล้ว
สมองของวาห์นทำงานอย่างรวดเร็วจนเริ่มเห็นคำตอบขึ้นมาลางๆ เริ่มจากการไล่จำแนกสมาชิกที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก่อน
มิลานกับทีน่า -> เผ่ามนุษย์แมว -> จมูกดี
เอมิรุกับมาเอมิ -> เผ่าเสือดาวหิมะ -> จมูกดี
พรีเซีย -> เผ่ามนุษย์แกะ -> จมูกดี
ฮารุฮิเมะ -> เผ่าเรนาร์ด (จิ้งจอกชั้นสูง) -> จมูกดี
มิโคโตะ -> มนุษย์ -> จมูกปานกลาง
ริว -> เอลฟ์ -> จมูกปานกลาง
ตอนแรกวาห์นก็คิดว่าไม่น่าจะใช่เพราะมีคนไม่เข้าข่าย แต่เขาก็ต้องร้อง ‘อ๋อ’ ในใจเมื่อนึกถึงสีหน้าตอนริวกล่าวทักทาย
เพราะเมื่อกี้เล่นกับเฮสเทีย ‘หนักไปหน่อย’ ทั้งใบหน้าและลำตัวของวาห์นในตอนนี้จึงชุ่มไปด้วยกลิ่นของเธอ
ต่อให้มี ‘จมูกปานกลาง’ แต่นักผจญภัยเจนสนามอย่างริวย่อมต้องมีประสาทสัมผัสที่ดีกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
นี่เองที่ทำให้เกือบทุกคนทำหน้าแบบเดียวกัน
งานเข้าแล้วก็ต้องเข้าให้สุด เพราะคนที่จมูกดีที่สุดบนโลก(?)… ก็คือเฟนเรียร์ซึ่งกำลังจ้องมองวาห์นด้วยดวงตาสีแดงเปล่งประกาย
จริงอยู่ที่เฟนเรียร์ไม่เคยรู้เรื่องอย่างว่ามาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสัญชาตญาณของเธอจะหยุดทำงานไปด้วย
เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นนายและทำท่าสูดดมในขณะที่คนอื่นได้แต่มองดูแบบเงียบๆ
วาห์นเผลอถอยหลังออกไปเล็กน้อย แต่เฟนเรียร์ก็รีบพุ่งแบบจมูกมาก่อนและชนเข้ากับแผงอกที่วันนี้… ไม่คอยจะคุ้นเคยเท่าไหร่นัก
“…วาห์นกลิ่นเหมือนเฮสเทียเลย กลิ่นแรงมาก!”
คนอื่นๆ อาจจะรู้และพอเข้าใจได้ว่าเมื่อคืนคงมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ส่วนที่วาห์นคิดว่าน่าอายที่สุดก็คือการโดนเฟนเรียร์จับผิดนี่แหละ
เขากำลังพยายามคิดหาข้อแก้ตัวแบบด่วนจี๋ แต่แล้วฮารุฮิเมะก็ดันพูดเสริมขึ้นเสียก่อน
“ดีจริงๆ เลยนะคะ~!
ดูเหมือนว่าท่านเฮสเทียคงทำตามที่ฉันแนะนำแล้วก็ทำสำเร็จซะด้วยสิ~!”
วาห์นจ้องไปทางดวงตาสีเขียวที่ดูแสนเปี่ยมสุขทันที
นับเป็นครั้งแรกเลยที่เขาอยากกล่าวโทษเธอขึ้นมาตะหงิดๆ ต่อให้ใบหน้านั่นจะไร้เดียงสาแค่ไหนก็เถอะ
เพราะเป็นคนเดียวที่ยังตามไม่ทัน มิโคโตะจึงโน้มหน้าเข้ามาใกล้และเอ่ยถามเพื่อสนิทเบาๆ
“เธอบอกให้ท่านเฮสเทียทำอะไรเหรอ?”
วาห์นเบิกตากว้างและรีบร้องห้ามทันที
“ฮารุฮิเมะ! ขอล่ะ อย่าพูดอะไรที่มัน… เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของเฟนเรียร์เลยนะ”
เรนาร์ดสาวชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอียงหัวและทำหูกระดิกไปมาอย่างสงสัย
อาจเป็นเพราะ ‘คอร์สฝึกสาวบริการ’ และเวลา 3 ปีที่อยู่แต่ในซ่อง ความนึกคิดของเธอก็เลยผิดไปจากคนปกติ… เผลอๆ อาจจะหนักกว่าวาห์นเสียอีก
เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าปกติสุดๆ
“การที่คนสองคนรักกันมันไม่ใช่เรื่องเสียหายตรงไหนเลยนี่คะ
ฉันเองก็อยากจะลองดูสักครั้งเหมือนกัน… ถ้าหากว่าคุณวาห์นไม่ติดอะไร~”
พอพูดถึงส่วนหลัง ฮารุฮิเมะยังได้เอามือขึ้นมาแนบแก้มสีแดงระเรื่อและหัวเราะแบบแปลกๆ เป็นการปิดท้ายอีกต่างหาก
หลังจากได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ฝันร้ายที่สุดของวาห์นก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้
“…เฟนเรียร์รักวาห์น?”
มันเป็นคำพูดลอยๆ ที่ดูคล้ายคำถามสำหรับตัวคนพูด วาห์นจึงไม่แน่ใจว่าจะตอบยังไงดี ทว่าสุดท้ายเฟนเรียร์ก็สรุปมันได้เอง
“ใช่ๆ เฟนเรียร์รักวาห์น!”
เด็กสาวหุบกรงเล็บเข้าออกหลายครั้งด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะแหงนหน้ามองผู้เป็นนาย
“วาห์นรักเฟนเรียร์มั้ย~?”
วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะวิ่งพุ่งชนกำแพงด้วยความเร็วสูงสุดไปหมาดๆ
เขารู้ว่าการตอบ ‘ใช่’ ก็คือการเดินเหยียบกับระเบิดดีๆ นี่เอง แต่การตอบ ‘ไม่’ นี่… คือการต้องเดินฝ่าทุ่งระเบิดทั้งสนามที่ไม่รู้ว่าจะโดนเมื่อไหร่ หรือต้องโดนกี่อัน
การคิดนานเกินก็ไม่ใช่ตัวเลือกเช่นกัน เพราะทุกวินาทีที่เสียไป แววตาสีแดงสดก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ
เขาเห็นกรงเล็บที่เริ่มยาวจนผิดสังเกต ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือใช้มือลูบหัวของเด็กสาวพร้อมเอ่ยคำตอบที่แย่น้อยกว่า
“วาห์นก็รักเฟนเรียร์เหมือนกัน…”
เฟนเรียร์พยายาม ‘ยิ้มแย้ม’ อย่างดีที่สุดขณะวิ่งไปหาฮารุฮิเมะพร้อมตะโกนเสียงดัง
“ฮารุฮิเมะ สอนรักให้เฟนเรียร์หน่อย!”
แต่ก่อนที่เรนาร์ดสาวจะได้สาธยายแบบหมดเปลือก เธอก็โดนมิโคโตะลากไปเก็บชั่วคราว ในขณะที่มิลานรีบก้าวออกมาอุ้มเฟนเรียร์ไว้ในอ้อมแขน
วานากานดร์น้อยค่อนข้างหงุดหงิดและดิ้นไปมาไม่หยุด แต่ในที่สุดคุณแม่ผู้มากประสบการณ์ก็กล่อมเธอจนอยู่หมัด
“เฟนเรียร์จำได้เหรือเปล่าว่าต้องขยันเรียนให้จบก่อนนะ จะผิดสัญญาที่ให้ไว้แล้วเหรอ~เมี๊ยว?”
คำพูดนั่นทำให้เฟนเรียร์มองวาห์นสลับกับฮารุฮิเมะไปมาอยู่หลายครั้งก่อนที่เธอจะยอมอยู่นิ่งๆ และปล่อยให้มิลานกล่อมต่อ
ทุกคนมักพร่ำบอกว่าเธอต้องขยันเรียนให้มากๆ จะได้โตขึ้นมาเป็นคนดีและไม่สร้างปัญหาให้คนรอบข้าง
เธอให้สัญญากับมิลานและทีน่าว่าจะพยายามอย่างหนัก ส่วนเป้าหมายที่วางไว้ก็คือการอ่านหนังสือให้จบทั้งเล่มและเขียนรายงานสรุปส่ง
หากทำออกมาได้ดี มิลานบอกว่าจะสอนเรื่อง ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ ให้กับเธอเอง
กลิ่น ‘ตื่นเต้น’ บวกกับคำพูดของฮารุฮิเมะทำให้เฟนเรียร์ลืมสัญญาที่ให้ไว้ไปซะสนิทเลย นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่หนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ทว่าดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรบางอย่างก่อนจะหันไปทางคู่แฝด
“พวกเธอก็ต้องเรียนด้วย อย่ามาโกงเฟนเรียร์นะ….”
ทั้งสองจ้องมองฉากตรงหน้าอย่างสนใจมาโดยตลอดและรู้ความหมายของกลิ่นที่ติดตัววาห์นเป็นอย่างดี
หลังจากโดนเฟนเรียร์แว้งกัดทีเผลอ เอมิรุกับมาเอมิจึงต้องหันไปอีกทางเพื่อหลบสายตาสีแดงเปล่งประกาย
นอกจากจะมีศักดิ์เป็นถึง ‘รุ่นพี่’ ในแฟมิเลียแล้ว เฟนเรียร์ยังเป็นผู้สอนอ่านเขียนให้อีกด้วย แน่นอนว่าทั้งสองไม่มีทางปฏิเสธเด็กสาวได้เลย
“แน่นอนค่ะ…”, “เข้าใจแล้วค่ะ…”
ปกติแฝดคู่นี้มักจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน แต่ดูเหมือน ‘เรื่องฉาวแต่เช้า’ คงทำให้สายสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ทำงานเป็นการชั่วคราว
วาห์นรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองพลาดตั้งแต่ก้าวเดินออกจากห้อง เขาจึงได้แต่มองมาทางรองกัปตันแบบเพลียๆ
ราวกับเข้าใจในสิ่งที่กัปตันของเธออยากเอ่ยถาม ริวก้มหัวเล็กน้อยก่อนพูดมันขึ้นมาเอง
“ต้องขออภัยด้วย ฉันเองก็ลืมคิดเรื่องจมูกของคนอื่นไปเหมือนกัน
ถ้ากัปตันจะไปล้างตัว เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเองค่ะ”
วาห์นจะไปโทษริวก็ไม่ถูก เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็เกิดขึ้นจากความเลินเล่อของเขาเอง
“โทษทีนะริว งานนี้ฉันไม่ระวังเอง
ไม่ต้องมาขอโทษอะไรหรอก… แต่ขอตัวสักครึ่งชั่วโมงละกันนะ”
ขณะกำลังเดินออกจากลานฝึก สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมาที่แผ่นหลังของวาห์นด้วยสีหน้าหลากหลายแบบ
แม้แต่ริวเองยังหรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำเสียงเบาจนแม้แต่เฟนเรียร์เองยังไม่ได้ยิน
“…เรื่องนี้ยังไงก็ต้องเกิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง
ส่วนตัวแล้วฉันว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดีนะ ที่แน่ๆ ทุกคนจะได้ตั้งใจฝึกกันมากกว่าเดิม…”
ริวพยายามคำนึงถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับวาห์น ทั้งสกิล [โพรมีธีอุส] ทั้งเรื่องผู้หญิงคนอื่นที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขา
เรื่องเมื่อกี้ก็เป็นสิ่งที่เธอเจตนาเช่นกัน แต่ทุกอย่างก็เพื่อความสุขของตัวเขาเอง
วาห์นจะรู้สึกปลอดภัยก็ต่อเมื่อผู้หญิงทุกคนแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขาจนเกินเหตุ
ตอนนี้เมล็ดได้ถูกหว่านลงไปแล้ว ริวจึงอยากดูแลอย่างใกล้ชิดไปอีกพักหนึ่งเพื่อความแน่ใจ
เพราะครั้งนี้เธอต้องหลอกใช้ประโยชน์จากวาห์นอยู่บ้าง ริวจึงสาบานกับตัวเองในใจว่าจะชดเชยให้เขาอย่างแน่นอน…