Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 268
พอวาห์นออกจากโรงหลอมและเดินทางกลับคฤหาสน์ฮาร์ธ เฮเฟสตัสที่เดินกลับเข้ามาข้างในก็ต้องรีบทรุดลงกับเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะฟุบหัวลงกับโต๊ะทันที
ทุกครั้งที่ฉากเมื่อหลายชั่วโมงก่อนผุดขึ้นมาในหัว สีหน้าของเทพสาวก็ไม่เหลือเค้าของความเคร่งขรึมให้เห็นอีกเลย
ครั้งแรกของเธอกับวาห์น… รวมไปถึงอีก 34 ครั้งหลังจากนั้นมันช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
ราวกับว่าประสบการณ์ระหว่างเธอกับเทพบนสวรรค์เป็นแค่เรื่องตลก ไม่ควรยกนิ้วขึ้นมานับเลยด้วยซ้ำ
นอกจากวาห์นจะไม่ได้ติดใจเรื่องนี้แล้ว เขายังปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยนและรักใคร่ตั้งแต่ต้นจนจบ
ถึงเฮเฟสตัสจะทำเป็นใจกล้าและเล่นนอกบทไปบ้าง แต่วาห์นก็ยังพาเธอขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งความหฤหรรษ์ได้อยู่ดี
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่าการเหมารวมวาห์นเข้ากับพวกเทพในอดีตนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน
ตั้งแต่ที่ถือกำเนิดขึ้น เฮเฟสตัสไม่เคยถูกใครรักมากขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยรักใครมากขนาดนี้ด้วยเช่นกัน
ถึงจะแยกกันชั่วคราว แต่เธอก็ยังรู้สึกถึงวาห์นได้จากในที่ที่ชายหนุ่มเคยเข้ามาเติมจนเต็ม
มีความอบอุ่นสายใหม่ในร่างกายที่ไม่ยอมจางหายไปเลยแม้แต่น้อย เฮเฟสตัสเชื่อว่ามันคือผลจากการที่เธอตั้งครรภ์อยู่นั่นเอง
นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินคำบรรยาย แต่แน่นอนว่าสิ่งที่วาห์นพูดย่อมเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความจริง
เฮเฟสตัสเริ่มลูบหน้าท้องของตัวเองอย่างรักใคร่ด้วยสีหน้างุนงงและเปี่ยมสุข
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือประสบการณ์พิเศษที่ไม่มีเทพหรือเทพธิดาองค์ไหนเคยก้าวเดินมาก่อน
ถึงเหล่าเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์จะสามารถตั้งครรภ์ได้เอง แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีที่มนุษย์ทั่วไปทำกัน
แทนที่จะเกิดกระบวนการตกไข่ตามปกติ พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเธอจะส่งผลให้เด็กเกิดออกมาโดยมีข้อแม้อยู่บางประการ
อย่างแรกคือ ถ้าไม่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเธอไม่มีทางตั้งครรภ์ได้เองอย่างเด็ดขาด
อย่างที่สองก็คือเด็กที่เกิดออกมานั้นจะมีเผ่าพันธุ์ตามแบบผู้เป็นพ่อแน่นอน พวกเขาจะไม่มีทางเป็นเทพหรือแม้แต่ลูกครึ่งเทพ
ชีวิตน้อยๆ ที่อยู่ในครรภ์ของเฮเฟสตัสนั้นเปรียบได้กับความสำเร็จสูงสุดของเหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่า ‘เทพธิดา’
นี่คือสิ่งที่เหล่าทวยเทพนับพันปรารถนามายาวนานเป็นล้านๆ ปีแต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน
ถึงจะไม่ได้ออกอาการอะไรมาก เฮเฟสตัสก็รู้ว่าเธอกับวาห์นเพิ่งจะเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ให้กับโลกใบนี้ไปหยกๆ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจมากนัก เพราะสิ่งที่สนใจยิ่งกว่าก็คือการได้เดินก้าวเล็กๆ ไปบนเส้นทางที่ทั้งสองเลือกเดินร่วมกัน
ขณะกำลังคิดเรื่องในอนาคต เฮเฟสตัสก็เผยรอยยิ้มเพราะนึกบางอย่างออก จากนั้นเธอก็เดินกลับมาที่ห้องทำงานและนำม้วนคัมภีร์ออกมาจากชั้นหนังสือ
สิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ก็คือปากกาขนนกมากมายหลายสีที่สามารถส่งข้อความไปยังสถานที่ต่างๆ ได้เกือบทั่วทั้งเมือง
ตั้งแต่การประชุมครั้งแรก หรือที่บางคนเรียกมันเล่นๆ ว่า ‘วาห์นาตัส’ เฮเฟสตัสก็มอบคัมภีร์สื่อสารแบบเดียวกันให้กับทาง ‘กลุ่มต่างๆ’ อย่างพร้อมเพรียง
ด้วยการใช้ปากกาขนนกตามรหัสสี เธอสามารถส่งข้อความแบบเจาะจงไปที่บางกลุ่มได้ ส่วนปากกาสีดำนั้นคือการส่งข้อความไปหาทุกคนที่อยู่ในเครือข่าย
เฮเฟสตัสหยิบขนนกสีพีชขึ้นมาและเขียนข้อความหาคนรู้จักซึ่งเป็นผู้ดูแลแฟมิเลียระดับ D ที่ประจำอยู่ ณ เขตตะวันตกของโอราริโอ้
เธอเป็นเทพธิดาแสนใจดีผู้มีนามว่าเอโพน่า
พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอนั้นประกอบไปด้วยการขี่ม้าและความอุดมสมบูรณ์
เฮเฟสตัสรู้จักเธอมานานแล้ว และถึงจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทแบบเฮสเทีย แต่เอโพน่าก็เป็นเทพธิดาที่เธอไว้เนื้อเชื่อใจ
สาเหตุที่แฟมิเลียของเอโพน่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักก็เพราะว่ากิจการที่พักของเธอนั้นมุ่งเป้าไปที่การรับนักผจญภัยตกอับเข้ามาดูแลแบบไม่แสวงหาผลกำไร
หลังจากดำเนินกิจการมาถึง 50 ปีเต็ม แฟมิเลียของเธอก็มีสมาชิกอยู่เพียง 9 คนเท่านั้นโดยที่ 3 คนเป็นลูกแท้ๆ ของเธอเอง
ขณะเฝ้ารอการมาถึงของเอโพน่า เฮเฟสตัสก็เริ่มส่งข้อความเพิ่มเติมให้กับทางเครือข่ายซึ่งเป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่วาห์นออกไปหาใครสักคน คนที่อยู่ต้นทางก็จะรายงานเรื่องนี้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
หลังจากที่เขาออกเดินทาง พวกเธอก็จะส่งข้อความให้ปลายทางทราบ เพื่อที่ทางนั้นจะได้มีเวลาเตรียมตัวเพิ่ม
นี่ไม่ได้เป็นการจำกัดตัวเลือกของวาห์นแต่อย่างใด แต่มันคือการทำให้คนที่อยู่ปลายทางออกมาต้อนรับเขาได้ดีกว่าเดิมต่างหาก
พวกเธอไม่ได้พูดเรื่องนี้กันบ่อยนัก แต่บางครั้งวาห์นก็ชอบทำอะไรที่หนักหน่วงเกินไป การมีเวลาเตรียมตัวเพิ่มอีกนิดจึงเป็นเรื่องที่ดีกับทุกคน
ผู้ที่ถือคัมภีร์หลักๆ ในตอนนี้ก็มีเฮเฟสตัส เอน่า โลกิ เฮสเทีย ซีล สึบากิ และอนูบิส
หลังจากที่สมาชิกของเครือข่ายเพิ่มจำนวนมากขึ้น เฮเฟสตัสกับโลกิก็ช่วยกันแจกจ่ายคัมภีร์ขนาดเล็กให้กับคนที่ใกล้ชิดวาห์นเกินเพื่อน
เพราะคัมภีร์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปใช้เป็นประจำ ตัวน้ำหมึกจึงมีราคาแพงมากจนพวกเธอต้องเหมาซื้อและแจกจ่ายมันทุกครั้งหลังจบการประชุม
เพื่อป้องกันเรื่อง ‘ทรัพยากรขาดตอน’ โลกิแฟมิเลียจึงรับภารกิจสำรวจดันเจี้ยนช่วงชั้นที่ 28 โดยมีเป้าหมายแฝงอยู่ที่การตามหาวัตถุดิบสำคัญที่เอาไว้ใช้ทำน้ำหมึกดังกล่าว
การที่ปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียออกเดินทางสู่ดันเจี้ยนแบบเร่งด่วนก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน แน่นอนว่าวาห์นนั้นไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงสิ่งที่โลกิทำเพื่อวาห์นมาตั้งแต่แรกเริ่ม เฮเฟสตัสก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ก่อนจะได้พบกับวาห์นและก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร แฟมิเลียทั้งสองก็มีความสัมพันธ์อันดีและเคยร่วมงานกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ถ้ารวมกับเรื่องรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่บนสวรรค์ เธอย่อมรู้ดีว่าเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์นั้นอยากมีลูกเป็นของตัวเองมากแค่ไหน
ตอนนี้เฮเฟสตัสก็ตั้งครรภ์ลูกของวาห์นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำก่อนแจ้งเรื่องนี้ให้โลกิ อนูบิส และเฮสเทียทราบก็คือการขอคำยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย
พวกเธอเคยปรึกษาเรื่องนี้กันมาบ้างแล้วในอดีต และแม้เฮสเทียกับโลกิจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เทพตัวเล็กก็ให้สัญญาว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวาห์นกับโลกิเด็ดขาด
ส่วนหนึ่งก็เพราะตอนนั้นเฮสเทียยังตัดสินใจเรื่องความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เธอจึงไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นว่าวาห์นควรมีลูกกับใครบ้าง
อนูบิสเองก็อยากมีลูกในอนาคตเช่นกัน แต่ตอนนี้เทพสุนัขอยากให้ความสำคัญกับวาห์นมากกว่า นั่นหมายความว่าต่อให้เธอต้องรออีกหลายปีก็ไม่มีปัญหาไร
ตั้งแต่การเจรจาครั้งแรกระหว่างกลุ่มพันธมิตรกับโอรานอส อนูบิสก็พยายามพัฒนาและมอบการศึกษาให้กับแฟมิเลียของตัวเองอย่างเต็มที่
เธอรู้ว่าวาห์นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำให้เขาได้ก็คือยกระดับของเด็กๆ เพื่อไม่ให้พวกเขากลายมาเป็นตัวถ่วงหรือจุดอ่อนของวาห์นในอนาคต
นั่นเป็นเหตุผลที่ถึงแม้ว่าอนูบิสแทบจะกระดิกหางทุกครั้งที่ได้รับข้อความจากวาห์น เธอก็ต้องกัดฟันและทำตัวห่างเหินให้มากที่สุด
เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะรับใช้เขาไปชั่วชีวิต เธอจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด เหมือนกับว่ายังไม่ต้องทำอะไรเพิ่มก็นำหน้าสาวๆ หลายคนไปก่อนแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ…
สึบากินั้นยังชอบเอาเรื่องแต้มแพ้ชนะระหว่างตัวเองกับวาห์นมาล้อเล่นอยู่เรื่อย แต่ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่เธอพอจะตบตาต่อไปได้ก็มีแค่เด็กอมมือเท่านั้นแหละ
เพื่อเป็นการหยอกเธอแรงๆ สักรอบ อนูบิสจึงถือโอกาส ‘เบี้ยวเดต’ ระหว่างตัวเอง วาห์น และสึบากิโดยหวังว่าทั้งสองจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
พอได้ยินว่าสึบากิอัดวาห์นจนต้องลงไปนั่งคุกเข่ากลางถนน ทุกคนก็เริ่มหยิบยกเรื่องนี้มาล้อเธอทุกครั้งที่มีโอกาส
หญิงสาวพยายามพูดเบี่ยงประเด็นว่านี่เป็นการเก็บแต้มชนะเพิ่มเท่านั้นเอง แต่แย่หน่อยที่สมาชิกคนอื่นๆ ไม่ใช่เด็กอมมือ
—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
ผู้หญิงที่แฝงความน่ากลัวที่สุด และเป็นคนที่เฮเฟสตัสกับเอน่าดูออกตั้งแต่แรกแล้วก็คือซีลนั่นเอง
จากการที่วาห์นไป ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เพื่อพบโคลอี้เป็นประจำ พวกเธอก็รู้เลยว่าอีกเดี๋ยวคงได้สมาชิกเพิ่ม
พอรู้เรื่องของซีลหลังจากจบการประชุมครั้งแรก เฮเฟสตัสกับเอน่าก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าหญิงสาวผมเทาคนนี้คือแกนนำคนสำคัญของ ‘กลุ่มสาวเสิร์ฟ’
หลังจากตอนนั้นมา แม้วาห์นจะพยายามเข้าหาโคลอี้เป็นหลัก แต่ซีลก็ค่อยๆ ลิดรอนการป้องกันของเขาลงและทำหน้าที่เป็นแม่สื่อให้กับสาวเสิร์ฟคนอื่นแบบไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นมามามีอาไว้คนนึงละกัน
นอกเหนือจากโคลอี้แล้ว ตอนนี้วาห์นยังรู้สึกใกล้ชิดกับริวมากเป็นพิเศษ แถมได้ทำความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ อย่างอาเนีย ลูนัวร์ แล้วก็แน่นอน ตัวซีลเองด้วย
จริงอยู่ที่ซีลไม่เคยขัดขวางสัมพันธ์อื่นๆ ของวาห์นเลย แต่การกระทำที่แล้วมาของเธอก็เป็นสิ่งที่เหล่าแกนนำจะมองข้ามไปไม่ได้
พวกเธอรู้เรื่องที่หญิงสาวเป็นฝ่ายสารภาพความรู้สึกกับวาห์นก่อนด้วย
อีกไม่นานอิทธิพลของซีลก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนกลายมาเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของเครือข่ายเช่นกัน
ทุกอย่างยิ่งดูเข้าทางเมื่อซีลออกปากอาสาดูแลมิลานกับทีน่าหลังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวครั้งที่แล้ว แถมเธอยังเป็นผู้ออกความคิดให้ริวตามไปดูแลวาห์นในดันเจี้ยนอีกด้วย
พอใบหน้าของสาววัยรุ่นที่มีเรือนผมและดวงตาสีเทาลอยขึ้นมาในหัว เฮเฟสตัสก็ได้แต่ถอนหายใจแบบปลงๆ
ซีลนั้นเป็นคนที่จัดการเรื่องหลังฉากได้เก่งกาจมากโดยที่แม้แต่โลกิเองยังเคยเอ่ยปากชมเธอเลย
พวกเธอคิดว่าซีลน่าจะช่วยสนับสนุนวาห์นได้เป็นอย่างดี แต่บางอย่างที่เธอทำก็ยังดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่
ซีลชอบวาห์น อันนี้ทุกคนรู้ดี ปริศนาสำคัญก็คือการที่เธอเน้นกระชับความสัมพันธ์ของเขากับสาวเสิร์ฟคนอื่นแทนที่จะเป็นตัวเองนี่มัน…
ขณะกำลังคิดวิเคราะห์เรื่อยเปื่อย เฮเฟสตัสก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู
เทพสาวหยุดคิดเรื่องน่าปวดหัวและรีบออกไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม
เอโพน่านั้นสูงประมาณ 160 ซม. และมีร่างกายอวบอัดแต่ก็ดูสง่างาม
ผมสีส้มของเธอค่อนข้างหยิกและถูกเกล้าไว้แบบหลวมๆ ตรงด้านหลัง
ดวงตาสีม่วงและใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มตลอดเวลานั่นสามารถทำให้ผู้มองรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด
เธอใส่ชุดพิธีการสีเหลืองที่ยาวลงมาถึงข้อเท้าและสวมสิ่งที่ดูคล้ายผ้ากันเปื้อนสีแดงทับอีกชั้น
ก่อนที่เฮเฟสตัสจะหยิบยกเรื่องสำคัญขึ้นมาพูด เอโพน่าก็เอียงหัวไปมาพร้อมแสดงสีหน้าสงสัย
เธอไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่เฮเฟสตัสในตอนนี้นั้นดูแปลกไปจากที่แล้วๆ มา
ท่าทางของเฮเฟสตัสนั้นดูปกติ เสื้อผ้าก็เดิมๆ ที่ดูแปลกไปบ้างก็คือสีหน้ามีความสุขเพราะเพื่อนของเธอคนนี้มักจะทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
‘….เห!?’
ระหว่างนึกเรื่องที่พอจะทำให้เธอดูมีความสุขได้ขนาดนี้ ในที่สุดเอโพน่าก็พบคำตอบ
แต่ก่อนจะได้กล่าวแสดงความยินดีออกไป คำพูดเหล่านั้นก็มากระจุกอยู่ตรงลำคอแทน
เฮเฟสตัสยังไม่ต้องถามอะไรเลย เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว
“เป็นไปได้ยังไงกัน!?” เอโพน่าเอ่ยถามพลางเบิกตากว้าง
เฮเฟสตัสส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม
“ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ที่งานเดนาตัสครั้งหน้าทีเดียวเลย เธอช่วยเก็บเป็นความลับไว้ก่อนจะได้หรือเปล่า?”
เอโพน่าที่ยังคงสีหน้าไว้แบบเดิมเริ่มพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“อื้อ ได้สิ แน่นอน จะไม่ไปบอกใครก่อนเลย แต่ว่านะเฮเฟสตัส มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
ฉันมองออกว่าเธอไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์มาเพิ่ม… และมันก็ไม่เหมือนกับตอนที่ฉันท้อง… พลังงานนี่มัน พลังแห่งชีวิตงั้นเหรอ?”
เพราะเฮเฟสตัสยังพูดอะไรมากไม่ได้ เธอจึงอธิบายแบบสั้นว่าเดนาตัสครั้งหน้าจะออกมาในรูปแบบไหน
พอรู้ว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรมากไปกว่านี้ เอโพน่าจึงเก็บมันไว้ก่อนและเปลี่ยนไปให้ข้อมูลเรื่องการตั้งครรภ์แทน
ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานั้น เอโพน่ามีลูกมาแล้วกว่า 20 คน เธอจึงเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด
เทพสาวบอกเรื่องที่เฮเฟสตัสควรจะรู้ไว้ก่อน เรื่องสัญญาณเตือนต่างๆ และแน่นอน เรื่องอันตรายจากการทำงานหนักรวมถึงการทานอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย สภาพจิตใจ และเด็กในท้อง
เอโพน่ารู้สึกตื่นเต้นมากจนถึงขั้นอาสามาเป็นผู้ช่วยทำคลอด (TL: หมอตำแย) ให้กับเธอ ซึ่งเฮเฟสตัสก็ตอบรับพร้อมกล่าวขอบคุณทันที
หลังจากโดนเพื่อนที่ดูดีใจเสียยิ่งกว่าคนท้องสอนสั่งอยู่ราวๆ 4 ชั่วโมง ทั้งสองก็บอกลากัน
เฮเฟสตัสนั้นไม่รออะไรแล้ว เธอพุ่งตรงไปยังห้องทำงานเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ทางเครือข่ายทราบทันที
ผ่านไปไม่ถึง 20 วินาที เธอก็ได้รับการตอบกลับอย่างเร่งด่วนจากโลกิ
หากไม่ใช่เพราะมีคนรู้ทันและเข้ามาจับตัวโลกิไว้… เธอก็คงจะรีบบึ่งไปหาวาห์นที่คฤหาสน์แล้ว
สุดท้ายแล้วความหื่นกระหายของเธอก็โดนเบรกเข้าอย่างจังเมื่อเฮสเทียส่งข้อความกลับมาว่าวาห์นออกไปทำภารกิจตามหาเด็กสาวที่มีชื่อว่าฮารุฮิเมะ
หลังจากใจเย็นลงไปบ้าง โลกิก็สรุปได้เองว่าการเข้ากดดันวาห์นในตอนนี้นั้นไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใด
เธอจึงเปลี่ยนไปแจ้งให้เฮสเทียทราบว่าจะเรียกทีมสำรวจให้กลับมาโดยด่วน เผื่อว่าทางนี้ต้องการกำลังเสริม
ข้อความสุดท้ายของเธอก็คือ หากวาห์นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทางโลกิแฟมิเลียก็จะระดมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเข้าช่วยเหลือทันที
หลังจากการสนทนากลับสงบลงอีกครั้ง ซีลก็เปลี่ยนบรรยากาศด้วยการถามเรื่อง ‘เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงหลอม’
ถึงเฮเฟสตัสจะยังไม่ตอบในทันที แต่คำถามของซีลก็ทำให้หลายคนรู้สึกสนใจมาก นั่นร่วมถึงโลกิกับเฮสเทียด้วย
เฮเฟสตัสนั้นไม่เคยมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับวาห์นเป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใด เธอจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเผ็ดร้อน
ยิ่งพูดออกมามากเท่าไหร่ การสนทนาก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นจนมาถึงตอนที่เทพสาวป่าวประกาศให้ทั้งกลุ่มรู้ว่าเธอยอมให้วาห์นทิ้งตราสัญลักษณ์ของเขาไว้ตรงด้านหลัง…