Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 269
ในเบื้องลึกของดันเจี้ยนชั้นที่ 30 นักดาบสาวผมทองกำลังประจัญหน้ากับมอนสเตอร์ยักษ์ 3 ตัวที่สูงประมาณ 5 เมตร
พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเลือดที่ต้านทานได้ทั้งความเสียหายแบบกายภาพและเวทมนตร์ แถมยังทำให้แต่ละตัวดูคล้ายกับไดโนเสาร์หรือไวเวิร์น
นอกจากร่างขนาดมหึมาแล้ว พลังโจมตีของพวกมันก็มากพอที่จะป่นหญิงสาวตัวเล็กให้เป็นผงได้ในพริบตา
การจู่โจมแต่ละครั้งทำให้พื้นดันเจี้ยนแตกเป็นแถบๆ ต่อด้วยฝุ่นผงและเศษซากที่จะเด็นออกมาราวกับสะเก็ดระเบิดชิ้นเล็กๆ
มอนส์เตอร์ตัวนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘บลัดซอรัส’ ซึ่งถูกเหล่านักผจญภัย (ที่มีความสามารถมากพอ) ออกตามล่าเป็นประจำ
พวกมันอาจมีความเร็วไม่มาก แต่ถ้าไม่สามารถโจมตีทะลุผ่านเกล็ดแข็งเข้าไปหรือโจมตีจุดอ่อนที่คอไม่ถึง การหลบหนีก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเช่นกัน
แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวตัวเล็กคนนี้จะไม่สนใจเรื่องเกล็ดแสนทนทานของพวกมันเลย
เธอพุ่งไปตามทางก่อนจะดีดตัวขึ้นจนพื้นที่อยู่รอบๆ ร้าวไปหมด
‘กระสุนมนุษย์’ ถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีเขียวขณะที่เธอใช้สิ่งที่ดูเหมือนดาบศักดิ์สิทธิ์บั่นหัวมอนสเตอร์ตัวหน้าสุด
เจ้าสองตัวที่เหลือดูไม่ค่อยสนใจเลยว่าเพื่อนตายยังไง พวกมันพยายามไล่ทุบเด็กสาวต่อ แต่เธอก็หลบหลีกได้ทุกครั้งไป
ขณะที่พวกมันกำลังใจจดใจจ่อกับเป้าหมาย เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากด้านบน
จู่ๆ หญิงสาวผิวสีน้ำตาลก็หล่นลงมาจากฟ้าพร้อมใช้อาวุธขนาดใหญ่ขยี้ลงไปตรงหลังของมอนสเตอร์ตัวที่สองและทำให้กระดูกสันหลังของมันขาดสะบั้น
ตรงจุดที่อาวุธตกกระทบ พลังงานบางอย่างเริ่มเปล่งออกมาเสริมจนอวัยวะภายในของบลัดซอรัสตัวนี้แหลกเหลวไปหมด
นี่ก็คือคุณสมบัติ [พลังในการบดขยี้: A] ของตัวอาวุธและเป็นสิ่งที่ทำให้สาวผิวเข้มหัวเราะออกมาได้ทุกครั้ง
หลังจากที่ทำตามแผนสำเร็จ เธอก็ตีลังกาจากหลังของบลัดซอรัสและลงจอดบนพื้นจากนุ่มนวล
ส่วนบลัดซอรัสตัวสุดท้ายนั้น มันถูกสาวผิวเข้มอีกคนที่ใช้ดาบคู่เล็งโจมตีเข้าตรงส่วนคอเหมือนกับเจ้าตัวแรกที่ตาย
ถึงจะตัดผ่านเกล็ดของมันได้ แต่เธอก็ไม่สามารถเฉือนลำคอและกระดูกที่หนาได้ในครั้งเดียว
หญิงสาวต้องหมุนตัวกลับลงมาบนพื้น กระโดดขึ้นไปใหม่ และโจมตีเข้าที่จุดเดิมอีกครั้ง
บลัดซอรัสตัวสุดท้ายล้มลงไปในขณะที่ผู้สังหารได้แต่จ้องมอง ‘ดาบคู่อันทรงพลัง’ ในมือด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
จากด้านข้าง ปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียนั้นกำลังมองการต่อสู้ทั้งหมดด้วยความสนใจ
ตั้งแต่ที่เริ่มการออกสำรวจครั้งนี้ หญิงสาวทั้งสามดูราวกับเป็นคมดาบที่ไม่มีอะไรมาหยุดลงได้
ฟินน์รู้สึกประทับใจกับความสามารถของพวกเธอมาก มากถึงขั้นที่คิดจะไปสั่งทำอาวุธกับวาห์นในอนาคตด้วยซ้ำ
ตอนนี้เขาก็กำลังใช้อาวุธที่วาห์นเคยมอบให้เมื่อนานมาแล้วเช่นกัน แต่ประสิทธิภาพของมันไม่อาจเทียบเท่ากับของรุ่นใหม่กว่าได้เลย
แม้แต่เลฟิย่าเองก็ยังได้รับคทาเวทมนตร์แสนอเนกประสงค์ซึ่งทำให้ดวงตาของริเวเรียส่องประกายทุกครั้งที่เธอใช้มันออกมา
หลังจากที่มอนสเตอร์ทั้งสามไปสบายแล้ว ปาร์ตี้สนับสนุนก็เคลื่อนพลและเริ่มเก็บเกี่ยวทรัพยากรต่างๆ จากศพก่อนที่พวกมันจะสลายหายไปเป็นเถ้าถ่าน
ผิวหนังของบลัดซอรัสนั้นสามารถเอามาทำเป็นคัมภีร์สื่อสารระดับต่ำได้ ในขณะที่เลือดของพวกมันจะถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำหมึกเวทมนตร์ที่ใช้คู่กับคัมภีร์ดังกล่าว
การจะทำน้ำหมึกออกมาลิตรหนึ่งนั้นต้องใช้เลือดของบลัดซอรัสมากถึง 40 ลิตรด้วยกัน
แน่นอนว่ากระบวนการผลิตดังกล่าวไม่สามารถทำในดันเจี้ยนได้ นักผจญภัยส่วนใหญ่ก็เลยไม่ยอมเสียเวลามานั่งเก็บเลือดทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นรายได้ชั้นดี
ฟินน์เดินเข้ามาหาหญิงสาวทั้งสาม หรือก็คือไอส์ ทีโอน่า และทีโอเน่นั่นเอง
“ทำได้ดีมาก ช่วงนี้พวกเธอจัดการได้เร็วกว่าเดิมเยอะเลยนะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของกัปตัน ไอส์ก็ทำหน้าดีใจขณะจ้องมอง [แกรม] ที่ไร้รอยขีดข่วนซึ่งเป็นอาวุธที่วาห์นมอบให้
ทีโอน่าเริ่มยิ้มกว้างและพูดแบบเพ้อๆ
“กัปตันเห็นฉันขยี้มันไหมคะ~? ทุกครั้งที่ได้อัดมอนสเตอร์ เลือดมันก็สูบฉีดไปหมดเลย~”
ราวกับจะเชิดชูชื่อของอาวุธ ทีโอน่าเริ่มแกว่ง [อเมซอนเริงระบำ] ไปมาอย่างเบิกบาน
แม้จะไม่ได้ทนทานเท่า [เออร์ก้า] แต่ทีโอน่าก็ชอบ [อเมซอนเริงระบำ] มากกว่าเพราะมันมีคุณสมบัติที่ทำให้ฝีเท้าของเธอว่องไวกว่าเดิม
มันยังช่วยลดแรงต้านเวลาที่เธอโจมตีด้วย แถมคุณสมบัติ [พลังในการบดขยี้] ก็เป็นอะไรที่ใช้แล้วมันมือมาก
คนเดียวที่รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับคำชมของฟินน์… ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นทีโอเน่
ถึงมันจะเป็นสิ่งที่เธออยากได้ยินมากที่สุดในโลก แต่ทีโอเน่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของไอส์กับทีโอน่า
เธอเองก็ชอบดาบคู่ของตัวเองเช่นกัน เพราะนอกจากจะดีกว่าอาวุธอันเก่าแล้ว พวกมันยังดูงดงามอีกด้วย
ประเด็นก็คือยิ่งเวลาผ่านไป เธอก็เริ่มรู้ซึ้งว่าคุณภาพของพวกมันนั้นต่ำกว่าอาวุธที่อีกสองคนใช้อยู่มาก
ฟินน์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่
ทีโอเน่นั้นพยายามแข่งขันกับไอส์และน้องสาวมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้เธอจะเจออุปสรรคเล็กน้อย
และในฐานะที่เรียกตัวเองว่า ‘พี่สาว’ ศักดิ์ศรีของทีโอเน่จึงถูกบั่นทอนลงไปบ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่เริ่มการสำรวจครั้งนี้
เรื่องที่สังเกตได้ง่ายๆ เลยก็คือเธอมานั่งบ่นให้เขาฟังเกือบทุกเย็น
หลังจากปล่อยให้ราอูลรับช่วงต่อ ฟินน์ก็เดินทางกลับค่ายพร้อมสมาชิกคนอื่นๆ ซึ่งประกอบไปด้วยแกเร็ธ ริเวเรีย เบต และเลฟิย่า
คนที่จิกกัดอาวุธพวกนี้ไว้ยับในตอนแรกอย่างเบตนั้น ตอนนี้ได้แต่ทำหน้าเจื่อนและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแทน
เขานึกว่าพวกมันเป็นของปาหี่และถูกสร้างขึ้นโดนช่างฝึกหัด หรือไม่ก็เป็นของที่วาห์นใช้เงินซื้อเพื่อเอาใจสาวๆ
หลังจากที่รู้ว่าวาห์นเป็นคนทำพวกมันขึ้นมาเองและได้เห็นประสิทธิภาพกับตา เบตก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าสาวๆ อีกเลย
ตอนนี้เขาได้แต่บ่นให้แกเร็ธฟังในระหว่างที่ทั้งคู่นั่งก๊งเหล้ากัน
ตั้งแต่ที่โดนพวกสาวๆ ‘เมิน’ ใส่ เบตก็อยู่ในสภาพเครียดจัดและต้องไป ‘ขอความช่วยเหลือ’ จากสาวชาวอเมซอนที่ย่านโคมแดงเพื่อ ‘ปลอดปล่อยความเครียด’
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปเจอกัน เบตจึงอยากกลับขึ้นไปข้างบนเร็วๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่ต้องมานั่งดู ‘ผู้หญิงเพ้อ’ สองคนที่เอาแต่ทำให้บรรยากาศรอบๆ กลายเป็นสีชมพู
หลังจากกลับมาถึงที่พัก พวกสาวๆ ก็มารวมตัวกันอยู่ในเต็นท์และเริ่มพูดคุยสัพเพเหระต่างๆ จนกระทั่งมาถึงประเด็นที่เผ็ดร้อนที่จุดในช่วงนี้
ทีโอน่าเริ่มทำหน้าดีใจขณะขัดถู [อเมซอนเริงระบำ] อย่างทะนุถนอม
“อยากเจอวาห์นเร็วๆ จังเลยยย~!
รู้สึกเหมือนเราไม่ได้เจอกันนานมาก ตอนนี้เขาจะเก่งขึ้นแค่ไหนแล้วนะ~?”
ทีโอเน่เริ่มพ่นพิษที่เก็บอยู่ในใจทันที
“เห้อ ช่วงนี้ก็เอาแต่พูดถึงวาห์นอย่างนู้น วาห์นอย่างนี้!
ดูตัวเองสิ นี่เอาสมองไปฝากวาห์นไว้หรือเปล่า!?”
ทีโอน่าไม่ได้แสดงท่าทีโมโหแต่อย่างใด เธอแค่ตอบพี่สาวกลับแบบยิ้มๆ
“อิจฉาล่ะสิที่วาห์นทำของดีให้ฉันกับไอส์
ขนาดเลฟิย่ายังได้คทาแจ่มๆ มาใช้เลยนะ แต่เธอกลับได้มาแค่มีดหั่นผลไม้ ฮ่าฮ่าฮ่า~!”
ไอส์ที่ไม่ได้ดูดำดูดีเรื่องบรรยากาศในเต็นท์ก็พูดเสริมขึ้นมาอีก
“อืม อาวุธดีมาก ฉันชอบมัน… นี่เป็นดาบเล่มโปรด” ดวงตาสีทองของไอส์จ้องมอง [แกรม] อย่างมั่นอกมั่นใจ
มันต่างไปจากดาบที่เธอเคยใช้อย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยๆ [แกรม] ก็สามารถทนแรงและเพลงดาบของเธอได้แบบไร้รอยขีดข่วน
จริงๆ ไอส์ไม่ต้องขัดถู [แกรม] ก็ได้ แต่ที่ทำไปก็เพราะเห็นว่ามันเป็นตัวแทนของ ‘คนๆ นั้น’
ทีโอเน่กัดฟันกรอดเมื่อเห็นท่าทางของสองสาวพลางจ้องมองดาบของตัวเองราวกับว่ามันเป็นอาวุธไร้ประโยชน์
ถ้าคุณภาพของมันแย่กว่าดาบคู่ที่เธอเคยใช้ ทีโอเน่ก็คงคิดว่าวาห์นสับขาหลอกเธอไปแล้ว
ทีโอเน่รู้ว่าวาห์นหวังดี แต่ไอ้ความหวังดีนี่เองที่กลับกลายมาเป็นสิ่งย้ำเตือนถึง ‘ความล้มเหลว’ ของเธอเอง
เธอรู้ทั้งรู้ว่าวาห์นไม่ได้พยายามตามจีบ แต่การที่เขาให้ความสนใจกับผู้เป็นน้องมากกว่าก็ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี
ช่วงนี้เรื่องของเธอกับฟินน์ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แถมอีกฝ่ายยังออกมาประกาศชัดเจนว่าจะแต่งงานและมีลูกกับชาวพลูมเท่านั้นด้วย
เธอเคยให้สัญญาว่าจะใช้ยาเพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล
ฟินน์ยังคงปฏิเสธหัวแข็งและไม่เคยหลงกลแผนการต่างๆ ของเธอเลย
ทีโอเน่ยังวางแผนให้ฟินน์ดื่มยาปลุกอารมณ์ แต่สุดท้ายเขาก็หลอกให้เธอดื่มมันเองจนเกิดเรื่องวุ่นวายถึงขั้นที่ต้องเรียกให้ริเวเรียมารักษาในขณะที่ทีโอน่าและไอส์จับตัวเธอไว้
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ทีโอเน่ก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเธอกับฟินน์กลับยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่เรื่องนี้เห็นจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
เลฟิย่าที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศในห้องแบบจับใจเริ่มพูดไกล่เกลี่ยทันที
“ดะ-เดี๋ยวพอกลับขึ้นข้างบน เราไปสั่งทำอาวุธกับท่านเฮเฟสตัสก็ได้นี่
ฉันมั่นใจว่าเธอคงทำอาวุธที่ดีกว่าของทีโอน่ากับไอส์ได้แน่”
ตามปกติแล้วทีโอเน่ควรจะใจเย็นลงเมื่อได้ยินคำพูดมีเหตุผล… หากไม่ใช่เพราะเอลฟ์สาวกำลังนั่งกอดคทา [ฟื้นฟู] ราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าอยู่บนที่นอน
เธอถอนหายใจยาวๆ หลังจากมองดูเลฟิย่า ‘อุ้ม’ คทา
“ต่อให้เฮเฟสตัสทำอาวุธให้ใหม่ เดี๋ยววาห์นก็คงทำของมาโปะให้ยัยสองคนนี้เพิ่มอยู่ดี… เห้ออออ~!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเซ็งหนัก ทีโอเน่จึงลงไปนอนตะเกียกตะกายบนพื้นพลางเอามือมากุมหัว
ทั้งสามจ้องมองหญิงสาวที่ดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว… จนกระทั่งทีโอน่าหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้
พอได้ยินเสียงหัวเราะเท่านั้นแหละ ทีโอเน่ก็หัวร้อนทันที
“อย่าขำสิ นี่ฉันเป็นพี่เธอนะ! หน้าอกก็ใหญ่กว่าด้วย!”
หลังจากโดนพี่สาวพาลใส่ ทีโอน่าก็ยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม
“ฮ่าๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงโมโหไปแล้ว แต่วาห์นไม่เคยสนเรื่องพวกนั้นเลยนี่นะ~!
ฉันแค่ต้องเดินไปหาแล้วก็ขอให้เขาจูบ ง่ายๆ แค่นี้เอง แล้วถ้าเราอยู่กันแบบสองต่อสอง เขาก็อาจจะจับก้นด้วย… หรืออาจทำมากกว่านั้นก็ได้ ใครจะไปรู้วว~?”
ทีโอเน่ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมน้ำตาแต่ความโมโหขณะตะโกนเสียงดัง
“ทีโอน่า! อย่าให้มันมากนักนะ! คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษของวาห์นหรือไง!?
หึ ถ้าฉันหรือเลฟิย่าลองดูบ้าง วาห์นก็คงยอมทำกับพวกเราเหมือนกันนั่นแหละ!”
“เอ๋!?”
เลฟิย่าที่จู่ๆ ก็โดนหางเลขไปด้วยเริ่มเข้าโหมดหน้าแดงอย่างรวดเร็ว แถมรอบนี้มันยังรุนแรงมากเสียจนควันลอยออกจากหัว ต่อด้วยการล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นเป็นคนที่สอง
แทนที่จะบอกปัดคำพูดของพี่สาว ทีโอน่าแค่พยักหน้าและพูดต่อ
“ฉันไม่คิดว่าวาห์นจะเป็นคนแบบนั้นหรอกนะ แต่ถ้าเป็นเธอกับเลฟิย่า… ก็อาจจะได้อยู่ แต่เลฟิย่าคงต้องไปอีกพักนึงเพราะเธอยังเด็กไปล่ะมั้ง~?”
ไอส์ที่ต้องรอจนถึงวันเกิดตัวเองก็พยักหน้าเช่นกัน
“เลฟิย่าต้องรอ… สักปีนึง?”
คำพูดนั่นไม่ได้ทำให้เอลฟ์สาวอาการดีขึ้นเลย
“ฉะ-ฉันไม่คิด… ฉันไม่คิดว่าตัวเองเหมาะกับวาห์นหรอกนะ… ฮืออออ”
ไอส์หันมามองเธอและเอียงหัวด้วยความสงสัย
“เธอไม่ชอบ… วาห์น?”
จู่ๆ ไอส์ก็ดูเศร้าลงเล็กน้อยและเริ่มกลับไปขัด [แกรม] ที่ดูสะอาดหมดจดอยู่แล้วอีกรอบ
ก่อนที่เลฟิย่าจะคิดคำพูดเพื่อปลอบไอส์เสร็จ ที่โอเน่ก็พูดตอบน้องสาวแบบขันๆ
“ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากนอนกับวาห์นล่ะ? เธอก็รู้นี่ว่าฉันชอบกัปตันและอยากมีลูกด้วยกันกับเขา”
ทีโอน่ายังยิ้มอยู่ แต่ตอนนี้เธอหยุดขำแล้วและเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงเรียบๆ แทน
“ฉันอยากให้เธอสมหวังกับกัปตันจริงๆ นะ… แต่บางครั้งเราก็อาจจะไม่ได้ในสิ่งที่หวังเอาไว้
เธอกับกัปตันอายุห่างกันตั้งหลายปี แถมเขายังยึดติดเรื่องอุดมการณ์ของตัวเองด้วย
จนกว่าจะได้แต่งงานมีลูกกับชาวพลูมด้วยกัน ฉันไม่คิดว่าเขาจะยอมนอนกับเธอหรอก
เธออาจจะต้องรอไปอีก 10 ปีหรือมากกว่า ระหว่างนั้นก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ เพิ่มด้วย
แล้วก็… อย่าคิดนะว่าคนอื่นจะไม่รู้เวลาที่เธอทำตัวตอนอยู่กับวาห์นน่ะ ไม่รู้หรอกนะว่าที่ทำไปแค่เพราะเธออิจฉาหรืออยากแหย่เขาเฉยๆ แต่เธอน่ะไม่ได้ระวังเนื้อระวังตัวเลย ใช่ไหมล่ะ?”
ระหว่างที่ทีโอน่าร่ายยาว คิ้วของทีโอเน่ก็ลดต่ำลงและไร้การตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
ทุกอย่างที่น้องสาวของเธอพูดล้วนเป็นความจริงแท้แน่นอน แถมเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย
ผลจากสิ่งที่เธอทำลงไปก็คือระยะห่างที่กว้างมากขึ้นแทนที่มันควรจะหดสั้นลง
ส่วนเรื่องวาห์น… เขาทำดีกับเธอและยังชมเชยเธอหลายครั้ง ถึงตอนนั้นเธอจะทำไปเพราะอยากเอาคืนทีโอน่าก็เถอะ
หากไม่ได้มีฟินน์อยู่ในใจ ทีโอเน่ก็คงเข้าหาวาห์นด้วยอีกคน เพราะอย่างน้อยๆ จิตใจที่ชอบเสียสละของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้าง
ทีโอเน่แค่ไม่อยากเสียรักครั้งแรกไป ถึงทุกอย่างจะเป็นตามที่น้องสาวบอกก็เถอะ
ถ้าเทียบกับวาห์นแล้ว… เขามีอายุพอๆ กับเธอและไม่ติดขัดเรื่องมีคนรักหลายคน แบบนี้ยังดูมีเหตุผลมากกว่าฟินน์อีก…
ทีโอน่าจ้องมองพี่สาวที่กำลังงัดข้อกับตัวเองในใจก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“วาห์นสัญญาว่า… ถ้ามีลูกด้วยกัน เราจะเลี้ยงพวกเขาแบบครอบครัว”
ทีโอเน่ขมวดคิ้วทันที
“จะเป็นไปได้ยังไง เธอก็รู้นี่ว่าธรรมเนียมของเรา…”
ทีโอน่าส่ายหัวและพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่ ฉันเชื่อวาห์น ถ้าเขาบอกว่าได้ ฉันก็เชื่อว่ามันต้องเป็นแบบนั้น
เธอก็เห็นแล้วนี่ ว่าเขาพยายามได้มากขนาดไหน
วาห์นคงไม่พูดออกมาแบบนั้นนอกจากว่าเขาจะมีแผน หรือไม่ก็รู้ว่ามีโอกาสสำเร็จอยู่บ้าง
ถ้าเป็นเขา ฉันเชื่อว่าลูกๆ ของเราจะได้อยู่อย่างอิสระ และห่างไกลจากเรื่องน่าเศร้าที่เทลิสคิวร่า”
ก่อนที่ทีโอเน่จะแย้งอีกรอบ ไอส์ก็พูดเสริมอีกครั้ง
“วาห์นไม่เคยพูดโกหก เขาจะแข็งแกร่งที่สุด”
ที่โอเน่มองแววตาลุกโชนของทั้งสองก็พอรู้แล้วว่า ‘จะเชื่อยัยสองคนนี้หมดเลยคงไม่ดีแน่’
การขัดธรรมเนียมของชาวอเมซอนนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เธอเองก็คิดว่าวาห์นเป็นคนที่เชื่อถือได้… แต่ไม่ถึงกับที่ ‘สาวก’ สองคนนี้คิดไว้
เธอลองหันไปถามเลฟิย่าที่กำลังทำสีหน้าครุ่นคิดแทน
“เลฟิย่า เธอคิดว่าไง คิดว่าวาห์นน่าเชื่อถือแบบที่คนบ้าพวกนี่อ้างไหม?”
เลฟิย่าตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็โดนถาม แต่เพราะกำลังคิดเรื่องของวาห์นอยู่เช่นกัน เธอจึงให้คำตอบในแบบของตัวเอง
“คทาอันนี้ ผลการวิจัยของริเวเรียกับฉันสรุปออกมาว่า… มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าจะพยายามศึกษาโครงสร้างของมันมากแค่ไหน สิ่งที่เราได้กลับมาเพิ่มก็คือคำถาม
‘ความซับซ้อนไม่รู้จบ’ นี่แหละคือสิ่งที่เราค้นพบ
ถ้าวาห์นทำคทานี้ขึ้นมาเอง นั่นหมายความว่าความรู้ทางด้านวิศวกรรมเวทมนตร์ของเขาก้าวหน้ากว่าสิ่งที่เรารู้ไปแล้วเป็นพันๆ ปี…. ฉันคิดว่า… ฉันคิดว่าเขาน่าเชื่อถือมาก”
ในช่วงท้ายประโยค เลฟิย่าก็เริ่มหน้าแดงและก้มหัวลงไปนาบกับคทาที่กอดไว้แนบอกแทน
ทีโอเน่ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเพราะเธอรู้ว่าเลฟิย่านั้นเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ แถมริเวเรียเองก็เป็นจอมเวทที่เก่งที่สุดในเมือง
ถ้าทั้งสองไขความลับของคทานี้ไม่ได้ งั้นความสามารถของวาห์นก็คงเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก
ทีโอเน่เองก็พอรู้มาบ้างว่าเขาได้คิดค้นนวตกรรมที่เกี่ยวกับการหลอมขึ้นมาใหม่หลายอย่าง…
นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวาห์นนั้นมักทำอะไรที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของคนปกติและผลักดันตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
หากวาห์นบอกทีโอน่าไว้แบบนั้น แม้แต่ที่โอเน่เองก็เริ่มจะรู้สึกเชื่อตามไปด้วย
หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะมองไปทางเต็นท์ของฟินน์
“กัปตันคะ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ ฉันคง…”
ก่อนที่ทีโอน่าจะได้พูดจนจบ ฟินน์ก็โผล่มาที่ทางเข้าเต็นท์พร้อมกับริเวเรียพอดี
“เราจะกลับขึ้นไปข้างบนก่อนกำหนดนะ ท่านโลกิส่งข้อความมาบอกว่าอาจมีเรื่องเกิดขึ้นกับวาห์นและกลุ่มพันธมิตร
พวกเธอก็รีบเข้านอนได้แล้ว เพราะเดี๋ยวเราจะออกเดินทางแต่เช้าเลย”
ฟินน์ยิ้มปิดท้ายก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นพร้อมกับริเวเรียทันที
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปไกล ริเวเรียก็หันกลับมาอีกครั้งเพื่อมองสีหน้าดีใจที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน
“สงสัยพวกเธอคงได้ไปเดตกับวาห์นเร็วๆ นี้สินะ”
ไอส์ยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่ทีโอน่ารีบวาง [อเมซอนเริงระบำ] และตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ฉันนอนก่อนนะ~!”
เลฟิย่าเองก็ยิ้มนิดๆ และเริ่มเปลี่ยนเป็นชุดนอนเหมือนกัน
ส่วนที่โอเน่… ทีโอเน่ที่ทำหน้าตื่นเต้นกำลังจ้องค้างไปตรงจุดที่ฟินน์เคยยืนอยู่
จู่ๆ คนที่กำลังคิดถึงก็โผล่ออกมาตรงหน้าพอดี ความตื่นเต้นของเธอก็เลยพุ่งสูงทะลุชาร์ท
หลังที่ตัวการเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรเป็นการส่วนตัวกับเธอเลย ทีโอเน่จึงได้แต่ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเสียงดังลั่น
“กัปตันบ้าที่สุดดดด~!”
ฟินน์หยุดชะงักไปชั่วครู่และหันมาหาริเวเรีย
“ริเวเรีย นี่ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
เอลฟ์สาวทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเริ่มอธิบาย
“เธอคงนึกว่านายจะแอบย่องมาหาตอนนอนล่ะมั้ง?
บางครั้งทีโอเน่ก็อ่านยากเหมือนกันนะ…”
ฟินน์ถอนหายใจหนักๆ พลางนวดขมับของตัวเองก่อนจะเริ่มเดินต่ออีกครั้ง
พอเดินไปได้เพียง 2-3 ก้าว เขาก็พูดขึ้นอีก
“หวังว่าทีโอเน่คงไม่รู้สึกเครียดจนเกินไปนะ
ฉันน่ะเคารพความรู้สึกของเธอ แต่บางทีเธอก็น่าจะเคารพความรู้สึกของฉันบ้าง…
ฉันผ่อนปรนเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ คงเพราะเธออยู่ในช่วงวัยรุ่นด้วย…”
ฟินน์นั้นอายุ 38 ปี ส่วนริเวเรียก็ 97 ปี ทั้งสองนั้นถือว่าเป็นผู้สาวุโสที่สุดในแฟมิเลียคู่กันกับแกเร็ธ (54 ปี) อีกคน
ตอนที่ฟินน์สู้ชนะทีโอเน่เมื่อหลายปีก่อน เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเธอจะเปลี่ยนมาชอบเขาแทน นับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ตามหลอกหลอนเขามานานเหลือเกิน
ฟินน์แอบหวังลึกๆ ว่าจะมีคนมาล้มทีโอเน่ลงอีกสักครั้ง เธอจะได้ไม่มาเครียดแบบตอนนี้…
จู่ๆ ภาพของเด็กหนุ่มตาสีน้ำทะเลก็ผุดขึ้นมาในหัวจนเขาต้องส่ายหัวแรงๆ และพึมพำกับตัวเอง “หวังว่าเด็กนั่นจะไม่สร้างปัญหาให้เราเพิ่มนะ…”