Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 27
เมื่อเห็นสีหน้าของเอน่า วาห์นก็ยิ้มให้กับการที่แกล้งเธอได้สำเร็จ นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่าออร่าที่อยู่รอบตัวเธอนั้นค่อนข้างผิดปกติมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว เขาพบว่ามันดูตลกดีขณะที่กำลังสั่นไหวไปมา
เมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของวาห์นและได้ยินเสียงแซวจากเหล่านักผจญภัย เอน่าเลยอดคิดไม่ได้ว่า ‘รู้งี้ไม่น่าปลอบเจ้าหมอนี่เลย’ เธอไม่สนใจเสียงหัวเราะและการแสดงความยินดีรอบๆ และใจจดใจจ่อไปกับการนับคริสตัลที่อยู่บนโต๊ะ อีกครั้งที่เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับจำนวนของมันหากวาห์นพูดความจริงที่ว่าเขาได้รับคริสตัลถึง 139 ก้อนจากการสำรวจเพียงครั้งเดียว
ขณะที่สีหน้าของเธอเปลี่ยนจากเขินอายเป็นตกใจ วาห์นก็รู้สึกโล่งใจที่เขาเอาคริสตัลออกมาแค่ครึ่งเดียว ดูจากความประหลาดใจที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอคงจะจิตตกไปเลยหากเขาบอกไปว่านี่เป็นแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
เอน่าเข้าไปที่ห้องด้านหลังเพื่อนำคริสตัลไปประเมินราคา ราคาของมันจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบองค์ ธาตุ และปริมาณของพลังเวทที่บรรจุอยู่ภายใน ผู้ประเมินราคาของทางกิลด์นั้นจะใช้เวทมนตร์พิเศษในการตรวจสอบและวิเคราะห์สิ่งของเหล่านี้
การขายคริสตัลเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของกิลด์ คริสตัลจะถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ เช่นการสร้างความร้อน น้ำ หรือแม้แต่ไฟฟ้า ดังนั้นทางกิลด์จึงได้ออกกฎเพื่อรับรองว่าการซื้อขายคริสตัลที่อยู่นอกเหนือการดูแลของกิลด์นั้นถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แม้นักผจญภัยจะสามารถใช้คริสตัลที่ได้มาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้ แต่หากพบว่ามีการนำคริสตัลมาแจกจ่ายหรือขายต่อล่ะก็ พวกเขาอาจถูกทางกิลด์ขึ้นบัญชีดำหรือหากเป็นกรณีร้ายแรงก็อาจถูกเนรเทศออกจากเมือง
หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที เอน่าก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าแปลกๆ เธอถือถุงที่เต็มไปด้วยวาลิสในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือคริสตัลเอาไว้ เธอวางคริสตัลไว้บนโต๊ะและส่งถุงเงินให้กับวาห์นก่อนจะบอกเรื่องที่พนักงานตีราคาได้พูดไว้กับเธอ
“ผู้เชี่ยวชาญของเราไม่สามารถตีราคาคริสตัลก้อนนี้ได้ แม้มันจะดูเหมือนคริสตัลก้อนอื่นๆ แต่ก็มีพลังลึกลับอยู่ภายในซึ่งทำให้ทางเราไม่สามารถระบุมันด้วยวิธีการทั่วไปได้ ฉันถูกฝากให้มาถามว่าเธอว่าต้องการจะขายคริสตัลก้อนนี้ในราคาปกติเพื่อที่ทางกิลด์จะได้นำมันไปวิจัยต่อหรือเปล่า แน่นอนว่าเราจะจ่ายโบนัสให้กับเธอหลังระบุได้แล้วว่าความพิเศษของคริสตัลก้อนนี้คืออะไร”
วาห์นมองคริสตัลบนโต๊ะและมันดูไม่จากคริสตัลปกติเลย เขาตัดสินใจว่าจะเก็บมันไว้เองเพราะช่องเก็บของของเขาน่าจะวิเคราะห์มันได้เร็วกว่าทางกิลด์ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่มันอาจมีลักษณะเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์กับเขาในอนาคต และเขาไม่อยากมอบมันให้กับทางกิลด์ก่อนที่จะค้นพบว่าลักษณะเฉพาะนั่นคืออะไร
“ขอโทษนะครับคุณเอน่า ผมคิดว่าคงจะขอเก็บมันไว้ก่อน” วาห์นหยิบคริสตัลและเก็บมันเข้าช่องเก็บของผ่านกระเป๋าของเขา
เมื่อเห็นเขาเก็บมันไป เอน่าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาเก็บมันไว้เอง และตอนแรกเขาเองก็พยายามจะแลกเปลี่ยนมันอยู่แล้ว เขาไม่น่าจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับคริสตัลก้อนนี้ เธอจึงสงสัยว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะเก็บมันไว้หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่
วาห์นสังเกตเห็นสีหน้าของเธอจึงยิ้มก่อนจะพูด “ผมคิดว่าคริสตัลที่ไม่สามารถระบุได้เป็นอะไรที่เจ๋งมาก ทั้งยังดูลึกลับดีด้วย ผมเลยอยากเก็บมันไว้เป็นของนำโชค”
เมื่อคิดถึงลักษณะนิสัยและบุคลิกที่แปลกประหลาดของวาห์น เธอเลยคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาอยากเก็บมันไว้เอง
ทั้งสองได้เสร็จสิ้นการทำธุรกรรมแล้ว ก่อนออกไป วาห์นหันไปหาเอน่าและส่งรอยยิ้มที่ใหญ่ที่สุดให้กับเธอขณะที่โบกมือลา เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสา เอน่าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและโบกมือกลับไป หากสังเกตดีๆ จะพบว่าใบหูของเธอนั้นแดงเล็กน้อย
วาห์นตรวจสอบน้ำหนักของเงินในถุงหลังออกมาจากกิลด์ เขาได้รับเงินมา 43,900 วาลิสภายในวันเดียวซึ่งคิดเป็นสองเท่าของที่นักผจญภัยเลเวล 1 จำนวนห้าคนจะหาให้ในเวลาหนึ่งวัน หากต้องการ เขาสามารถนั่งเล่นนอนเล่นที่โรงแรมได้หลายสัปดาห์โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
หลังจากรู้สึกว่าตัวเอง ‘มั่งคั่ง’ ขึ้น เขาจึงรีบไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’ ทันที เขารู้สึกได้ว่าสัตว์ร้ายในท้องกำลังร้องครวญครางอย่างหนัก หากเขาไม่สามารถทำให้มันพอใจ คงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่นอน…
(TL: คนกำลังโมโหหิว ~ !?)
เขามาถึงด้านนอกร้านในเวลาที่กำหนดและใช้เวลาชั่วครู่เพื่อเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมที่มาจากด้านใน ขณะกำลังก้าวผ่านประตูเข้าไป เขาก็ได้รับการต้อนรับจากน้ำเสียงขี้เล่น
“ยินดีต้อนรับสู่เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อมนะ~เมี๊ยว!” เสียงนั้นมาจากหญิงสาวที่มีสีผมและดวงตาสีน้ำตาลพร้อมหูแมวที่สั่นไหวไปมา
วาห์นจำได้ว่าเธอคือ อาเนีย ฟรอมเมล และรู้สึกตกใจกับพลังเสียงของเธอเล็กน้อย เธอสูงพอๆ กับเขาและมีท่าทางร่าเริงสดใสซึ่งผิดกับท่าทางมืดมนและไม่มีอะไรให้น่าสนใจของเขาอย่างลิบลับ วาห์นสังเกตเห็นว่าออร่าของเธอเป็นสีฟ้าสดใส
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังจ้องมาจากนอกประตู อาเนียจึงนึกอะไรออก “อ้าววว นายเป็นเด็กที่โคลอี้ชอบนี่นา~? รอแปปนะ เดี๋ยวจะไปตามเธอให้
ก่อนที่เขาจะหยุดเธอไว้ อาเนียก็เดินออกไปและปล่อยให้วาห์นยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาเริ่มคิดที่จะมาใหม่วันหลัง แต่เสียงของสัตว์ร้ายในท้องและกลิ่นของอาหารกลับไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้น
ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็เห็นโคลอี้จากไกลๆ เมื่อสบตากันเธอจึงยิ้มให้พร้อมกับมีแสงระยิบระยับออกมาจากดวงตาของเธอ วาห์นรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในอันตรายและเกือบจะหนีออกจากร้านไปแล้ว แม้แต่ท้องของเขาก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำแบบนั้นก็ถูกโคลอี้ปิดทางหนีเสียก่อน
“เมี๊ยว~? ไหนๆ แวะมาแล้วก็อยู่นานๆ หน่อยสิ~” โดยที่ไม่รอฟังคำตอบ เธอก็คว้าแขนของเขาและพาไปนั่งที่เดิม หลังจากจับเขานั่งลงแล้วเธอก็มานั่งทางด้านซ้ายและเริ่มจ้องหน้าเขาด้วยรอยยิ้มที่ซุกซน
วาห์นนึกถึงตอนที่เขาเจอกับก็อบลินเป็นครั้งแรกและตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย เขารู้สึกว่าดวงตาของโคลอี้นั้นเหมือนกับนักล่าที่กำลังจ้องมองเหยื่อ หากเขาไม่ทันจะวังตัว เธอคงจะจับเขากินจนเหลือแต่กระดูกแน่ๆ…
“เอ่อ คุณ-”
“เรียกโคลอี้เฉยๆ ก็ได้~” เธอขัดจังหวะเมื่อเขาเริ่มพูด
เขากลืนคำพูดเมื่อกี้และพูดต่อ “โคลอี้… เธอไม่ต้องไปทำงานก่อนเหรอ?” เขามองไปทางเธอและเห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้น
“เนียะฮะฮะฮ่า~ ฉันขอพักเป็นกรณีพิเศษแล้วล่ะ แถมยังได้รับอนุญาตจากมามามีอาด้วยนะ~เมี๊ยว”
เมื่อพูดถึงมีอา วาห์นก็เห็นเธอยิ้มให้เขาจากที่บาร์ ดูเหมือนเธอคิดว่าสถานการณ์ของเขามันดูตลกดี…
วาห์นหันไปหาโคลอี้และนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะพูดต่อ เขาไม่รู้ว่าจะลองถามคำถามเธอดีหรือจะหาข้อแก้ตัวแล้วหนีกลับไปก่อนดี ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขที่ได้เห็นเขาดิ้นรนเพื่อหาคำพูดและใช้โอกาสนี้เพื่อขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น
เมื่อสังเกตว่าเธอเข้ามาใกล้เรื่อยๆ วาห์นก็รีบถามเธอก่อนจะเขยิบออกห่างเล็กน้อย “โคลอี้ ในนี้มีอะไรที่เธอชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า!?” เขาโพล่งคำถามออกมาในทันที
เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา โคลอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ วาห์นไร้เดียงสามากกว่าที่เธอคิดซึ่งทำให้อยากแกล้งเขามากกว่าเดิม
“ฉันว่ามันก็อร่อยทุกอย่างเลยนะ~เมี๊ยว คงจะมีความสุขมากเลยถ้านายได้ลองครบทุกอย่าง~” เธอยังคงขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนวาห์นไม่มีที่จะหนี ถ้าเขาขยับwxอีกนิดคงได้ลงไปนั่งที่พื้นแทนแล้ว…
ขณะที่ร่างทั้งสองใกล้จะแนบชิดติดกัน มามามีอาก็ขว้างจุกไม้ก๊อกมาที่กลางหน้าผากของโคลอี้ หัวของแมวสาวกระตุกอย่างแรงและเธอก็เริ่มถูตรงจุดที่ถูกไม้ก๊อก
“มามามีอา~เมี๊ยว! ทำแบบนี้มันใจร้ายเกินไปแล้วนะ~!!” เธอจ้องมองมีอาพร้อมกับน้ำตาที่สั่นคลอ
“หมดเวลาพักแล้วนะโคลอี้ รับออเดอร์มาก่อนที่เธอจะทำให้เขากลัวจนหนีไปเสียก่อน! ถ้าจะจีบก็ไปจีบกันนอกเวลางานนู่น” มามามีอาหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของโคลอี้ก่อนจะหันไปดูแลลูกค้าต่อ
โคลอี้เหมือนจะพึมพำในขณะที่ยังถูหน้าผากของตัวเองอยู่ “เห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ แค่เพราะตัวเองยังหาผู้ชายไม่ได้-”
ก่อนที่เธอจะพูดจบประโยคก็มีลำแสงสีน้ำตาลลอยผ่านมาและเฉี่ยวผมของเธอไปเล็กน้อย แสงนั้นพุ่งต่อไปก่อนที่จะออกจากประตูและหายเข้าไปบนขอบฟ้า ผู้ที่มีสายตาและสัมผัสที่ดีมากจะรู้ว่านั่นคือจุกก๊อกจากขวดไวน์ที่กำลังบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์
เมื่อโคลอี้หันกลับไปก็เห็นสายตาอันดุร้ายที่จ้องมองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หลังลุกออกจากที่นั่ง เธอก็รับออเดอร์จากวาห์นก่อนจะหายเข้าไปในครัว
ในขณะเดียวกัน วาห์นตัดสินใจว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ทำให้มามามีอาโกรธเด็ดขาด วัตถุที่บินเฉียดโคลอี้ไปนั้นอยู่ห่างจากหัวของเขาเพียงไม่กี่นิ้วเช่นกัน เขารู้สึกว่ามันมีพลังมากพอที่จะตัดหัวของมังกรได้เลย ถ้าเลเวล 1 แบบเขาโดนเข้าไปล่ะก็… เป็นครั้งที่สองของบ่ายวันนี้ที่วาห์นรู้สึกมุ่งมั่นว่าต้องแข็งแกร่งกว่านี้ให้ได้…
หลังจากนั้นไม่นาน โคลอี้ก็กลับมาพร้อมกับอาหารหลายจาน ตอนนี้เธอทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟได้อย่างดีขณะที่วางจานลงบนบาร์ เมื่อวาห์นจ้องไปที่อาหาร เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลียปากตัวเองและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ โดยไม่คิดอะไรให้มากความ เขาเริ่มทานอาหารที่อยู่ตรงหน้า อาหารแต่ละจานนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ตอนนี้เขากำลังลิ้มรสมันในทุกการเคี้ยวพร้อมกับดวงตาที่เริ่มเปียกชื้น
เมื่อเห็นท่าทางการกินของวาห์น โคลอี้ก็แลกเปลี่ยนสายตากับมามามีอาซึ่งมองมาเป็นระยะ มีอายักไหล่เหมือนเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ เมื่อหันกลับไปหาวาห์น โคลอี้ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นที่เธอมีต่อเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เธอเริ่มสงสัยว่าเด็กหนุ่มต้องมีชีวิตแบบไหนถึงได้รู้สึกซาบซึ้งกับอาหารขนาดนี้ ในฐานะที่เคยเป็นเด็กกำพร้าและนักฆ่ามืออาชีพ เธอได้เห็นเด็กหลายคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานเนื่องจากธรรมชาติอันโหดร้ายของโลกใบนี้ นั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เธอสนใจวาห์นตั้งแต่แรก เธอยังพอดูออกด้วยว่าเขาคงพบกับความทรมานมามากกว่าคนปกติทั่วไป
แม้ว่าเขาจะดูเรียบๆ และอ่านออกง่าย แต่การกระทำทุกอย่างของเขานั้นแฝงไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับว่าเขากำลังปกป้องตัวเองโดยการสร้างกำแพงระหว่างเขากับโลกภายนอก
เธอคิดว่าการที่เขาชอบจ้องมองคนอื่นนั้นเป็นเพราะความวิตกภายในใจขณะที่พยายามตัดสินว่ามีคนที่เขามองอยู่นั้นเชื่อถือได้มากแค่ไหน
เธออยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ และถ้าเป็นไปได้ ก็จะช่วยเขารักษาแผลในใจเช่นกัน
หลังจากที่เขาทานอาหารทุกจานจนหมดเกลี้ยงและถอนหายใจออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับยกเหล้าแอปเปิ้ลขึ้นมาดื่ม โคลอี้ก็ยอมแพ้ให้กับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง…
“วาห์น นายอยากไปเดตกับฉันไหม?”
*แค่กๆ*
วาห์นเกือบสำลักเครื่องดื่มหลังได้ยินคำพูดของเธอ เขามองไปทางเธอและเห็นสีหน้าจริงจังที่ไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย แม้การกระทำของเธอมักทำให้เขาอยู่ภายใต้แรงกดดัน แต่เขาก็มองออกจากออร่าของเธอว่าเธอไม่ได้คิดร้ายกับเขา หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจพยักหน้า
“ได้สิ โคลอี้ ฟังดูไม่เลวนะ” เมื่อพูดจบ เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอขยายใหญ่กว่าเดิม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่ารอยยิ้มนี้มีสิ่งสำคัญบางอย่างที่เขาเสียมันไปเมื่อนานมาแล้ว
หลังจากนัดหมายและยืนยันเวลากับสถานที่แล้ว วาห์นก็เดินออกจาก ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’ เขาจำไม่ได้ว่ากลับมาที่โรงแรมตอนไหน แต่เขาเดินขึ้นบันไดไปภายใต้สายตาใคร่รู้ของคู่แม่ลูกก่อนที่จะมาถึงห้องพักและทรุดตัวลงบนเตียง
สิ่งสุดท้ายที่จำได้ก่อนจะหลับไปก็คือเสียงของการแจ้งเตือนต่างๆ ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เขารับปากเรื่องเดต
//โคลอี้ โลโล่: ค่าความชื่นชอบ + 3//
//โคลอี้ โลโล่: ค่าความสนใจ + 10 //
//โคลอี้ โลโล่: ค่าความชื่นชอบ +1//
//โคลอี้ โลโล่: ค่าความชื่นชอบ +1//
//โคลอี้ โลโล่: ค่าความชื่นชอบ +1//
//โคลอี้ โลโล่: ค่าความชื่นชอบ +1//
….
[ดูค่าความชื่นชอบ: โคลอี้ โลโล่] [ความชื่นชอบ: 73 [เอาใจใส่], ความสนใจ:85[ปรารถนาที่จะปกป้อง]