Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 279
วาห์นยังคงอยู่ในท่าทำสมาธิ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้พลังเพื่อสอดส่องรอบๆ ไปด้วย
ตอนแรกเขานึกว่ามิโคโตะจะเข้ามาถามต่อ แต่เธอกลับเดินออกไปฝึกที่ตำแหน่งเดิมและกำลังเหวี่ยงดาบแบบมือเดียวโดยออกท่าคล้ายกับการเหวี่ยงแส้แทน
ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะแกะเคล็ดวิชานี้ด้วยตัวเองแทนการถามตรงๆ
ขณะที่ยังหลับตาอยู่ วาห์นก็เริ่มใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อสอดส่องคนอื่นๆ อย่างละเอียด
ทุกคนดูมีศักยภาพพอประมาณ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยฝึกหนักกันมาก่อน การเคลื่อนไหวถึงยังดูขัดๆ อยู่บ้าง
นอกเหนือจากเฟนเรียร์แล้ว ฮารุฮิเมะก็เป็นอีกคนที่เรียนรู้ได้เร็วมาก
หากตั้งใจฝึกไปเรื่อยๆ เธออาจจะสำเร็จวิชา ‘การเคลื่อนที่แบบลื่นไหล’ ได้เร็วกว่ามิโคโตะเสียอีก
‘การเคลื่อนที่แบบลื่นไหล’ นั้นจริงๆ แล้วก็คือวิชาสำหรับนักสู้ที่ไม่ได้เน้นเรื่องพละกำลังเป็นหลัก
ทั้งริวหรือแม้แต่สึบากิเองก็ใช้วิชานี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แน่นอนว่าทุกอย่างมักจะมีข้อยกเว้น ซึ่งในกรณีนี้ก็คือทีโอน่าที่มีทั้งฝีเท้าว่องไวและพละกำลังมหาศาล
หลังจากฝึกกันเสร็จ พวกสาวๆ ก็พากันไปอาบน้ำในขณะที่วาห์นเข้าครัวเพื่อช่วยมิลานเตรียมอาหารเช้า
แม้จะมีเพรเซียมาคอยนั่ง ‘จ้องงง’ ไปด้วย แต่บรรยากาศในช่วงที่วาห์นได้เตรียมอาหารคู่กันกับมิลานนั้นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก
ไม่นานพวกคู่แฝดและทีน่าก็ตามเข้ามาช่วยก่อนที่ทุกคนจะลงไปนั่งกับโต๊ะและทานมื้อเช้ากันอย่างพร้อมเพรียง
เฮสเทียนั้นยังไม่ตื่นลงมาเลย ที่นั่งข้างๆ วาห์นจึงถูกเปลี่ยนเป็นริวกับฮารุฮิเมะแทน
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่มิลานและทีน่าก็เดินกลับไปแล้วโดยมีริวและฟาฟเนียร์ติดสอยห้อยตามไปด้วย
หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเธอก็จะมาเยือนอีกครั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์รอบหน้า
อันที่จริงพวกเธอจะแวะมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะการเดินมาที่นี่จะกินเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้นเอง
ถ้าใช้เวทมนตร์ช่วยเสริม ริวสามารถเดินทางมาที่นี่โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที
ส่วนฟาฟเนียร์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ 30 วินาทีก็บินมาถึงแล้ว
ถึงฟาฟเนียร์จะไม่ได้ใช้ความสามารถนี้เท่าไหร่ แต่มันสามารถบินได้เร็วถึง 4100 กม./ชม. เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเป็นกระสุนปืนดีๆ นี่เอง
เพราะไม่มีเฮสเทียมาคอยแง่งใส่ ฮารุฮิเมะกับพรีเซียเลยเดินตามวาห์นมาที่ห้องสมุดและจบลงด้วยการอ่านหนังสือกันแบบเงียบๆ
ฮารุฮิเมะนั้นลงมานั่งโซฟาตัวเดียวกับเขา แต่เธอก็ไม่ได้เข้ามารบกวนแต่อย่างใด
พรีเซียพยายามนั่งห่างออกไปและคอย(แอบ)มองทั้งสองผ่านหนังสือที่ถือไว้ในมือ
แน่นอนว่ามันดูโจ่งแจ้งมากเสียจนวาห์นไม่ต้องเสียเวลาถามเลยว่าเธออ่านอะไรอยู่… ถามไปก็ตอบไม่ได้หรอก
แม้จะอยากทดสอบ ‘ความปุกปุย’ ของเธอ แต่วาห์นก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรทำแบบนั้น
ฮารุฮิเมะเองก็เช่นกัน… ถึงหางนั่นจะดูนุ่มมากก็เถอะ
เรนาร์ดสาวมีความสูงประมาณ 150 ซม. ส่วนหางของเธอนั้นยาวเกือบ 80 ซม. เลยทีเดียว
และตอนนี้เจ้าหางที่ว่านั่นก็กำลังส่ายไปมาอยู่บนโซฟานี่เอง ราวกับว่าเจ้าของหางกำลังใช้มันยั่วเขาอย่างสุดความสามารถ
โลกิพูดไว้ไม่ผิดเลยว่าเขามักจะชอบและสนใจอะไรที่ดูแปลกใหม่อยู่เสมอ ราวกับว่ามันคือแอ่งน้ำในทะเลทรายที่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่มีวันพอ
ดูๆ แล้วสองคนนี้คงไม่ปฏิเสธเขาแน่นอน ดังนั้นถ้าวาห์นไม่หักห้ามใจตัวเองแล้วใครจะเป็นคนห้ามเขาไว้ล่ะ…?
สุดท้ายวาห์นก็เอาชนะใจตัวเองได้สำเร็จและอยู่รอดมาถึงช่วงพักเที่ยงก่อนจะได้พบกับเฮสเทียที่มีสีหน้ายิ้มแย้มเกินจะบรรยาย
เทพตัวเล็กเข้ามากอดเอวของวาห์นไว้แน่น ตามมาด้วยการเขย่งขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากโดยไม่สนใจสายตายของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
วาห์นค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง แต่เขาก็จูบตอบเบาๆ ก่อนที่ทุกคนจะลงไปนั่งกับโต๊ะ
พวกสาวๆ เริ่มกลับมามองเขาแบบแปลกๆ อีกครั้ง มีเพียงเฟนเรียร์เท่านั้นที่หันมาคุยตามปกติและได้รับจูบที่หน้าผากเป็นของแถม
ในระหว่างที่ทานอาหาร เฮสเทียจะคอยเข้ามาป้อนให้วาห์นบ้างล่ะ เป่าของร้อนๆ ให้บ้างล่ะ เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังส่งสายตา ‘คาดหวัง’ มาที่เขาด้วย
เพราะไหนๆ ก็บอกอะไรหลายอย่าง และทำอะไรหลายอย่างร่วมกันไปแล้ว วาห์นจึงไม่ติดใจที่จะ ‘ดูแล’ เธอบ้างขณะปล่อยให้ฮารุฮิเมะเข้ามาช่วยเฟนเรียร์แทน
ต่อให้ไม่มีใครถามอะไร ทุกคนก็รู้อยู่ดีแล้วว่าเมื่อคืนต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
ฮารุฮิเมะรู้ว่าเฮสเทียต้องการทำให้มันดู ‘ชัดเจน’ โดยไม่ต้องกล่าวมันออกมาเป็นคำพูด
หลักๆ ที่เธอต้องการจะสื่อนั้นก็คือ ‘ถ้าอยากใกล้ชิดวาห์น ก็ขอให้มาตรงๆ อย่าใช้วิธีอ้อมค้อม’
หลังจากจบช่วงมื้อเที่ยง เฮสเทียกับวาห์นก็จูบกันอีกครั้งก่อนที่เธอจะปล่อยเขาไปทำงาน
ส่วนตัวเธอเองนั้นมีแผนว่าจะไปนั่งดูพวกสาวๆ เรียนหนังสือที่ห้องสมุดต่อ
คนที่ดูลังเลเห็นจะมีแต่พรีเซียที่เฝ้ามองตามแผ่นหลังของวาห์นก่อนจะโดนเฟนเรียร์ลากตัวให้ไปด้วยกัน
ในระหว่างทางไปห้องทำงาน วาห์นก็กลับมาคิดเรื่องการหาเพื่อนผู้ชายเพิ่มและวิธีที่จะพาฮารุฮิเมะออกไปข้างนอกโดยไม่ให้ลำบากคนอื่น
หากไม่นับริวกับฟาฟเนียร์ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงแล้ว กำลังหลักของเฮสเทียแฟมิเลียก็จะประกอบไปด้วยวาห์น เฟนเรียร์ และมิโคโตะ
ยังดีที่ฮารุฮิเมะใช้เวทมนตร์เพิ่มเลเวลได้ วาห์นจึงน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับศัตรูเลเวล 6 ในขณะที่เฟนเรียร์กับมิโคโตะเข้าต่อกรกับศัตรูเลเวล 3 หรือต่ำกว่า
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น วาห์นก็ตระหนักว่าทางแฟมิเลียควรแก้ไขและเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ให้ได้โดยเร็ว
นอกเหนือจากเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองแล้ว เขายังต้องมีสมาชิกเลเวล 4-5 เพื่อกระจายฐานกำลังออกไปอีก
ริวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่วาห์นอยากหาจอมเวทเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญเรื่องเวทป้องกันและข่ายเวทมนตร์มาเสริมด้วย
ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันรวมถึงเรื่องที่มีปัญหากับอิชทาร์แฟมิเลียนั้นทำให้มันเป็นไปได้ยาก
อิชทาร์เป็นเจ้าแม่แห่งสถานบันเทิง นั่นหมายความว่าเขาได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเฟมิเลียอาชญากรรมที่ทำงานในเขตดังกล่าวเช่นกัน
ถึงทางนั้นจะทำอะไรมากไม่ได้ แต่ปัญหาเรื่องสมาชิกเลเวลต่ำก็จะยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าทุกคนจะได้เข้าดันเจี้ยนและเก็บเลเวลกันอย่างจริงจัง
พอเดินมาถึงห้องทำงาน วาห์นก็เริ่มออกแบบอุปกรณ์ต่อ พร้อมกับทดสอบทฤษฎีบางอย่างที่เคยคิดเอาไว้
นี่เป็นความคิดที่วาห์นไม่อยากมอบเครดิตให้คนคิดเลย… เพราะเขาอยากให้พวกสาวๆ ลองมาสวมชุดและอุปกรณ์ที่คิดขึ้นมาเองดูสักครั้ง หรือให้พูดอีกอย่างก็คือมา ‘จับแต่งตัว’ นั่นแหละ
จากค่าความแม่นยำที่สูงพอตัว วาห์นเชื่อว่าตัวเองสามารถเย็บและตัดชุดได้ในระดับนึง
อาจต้องมีการศึกษาและฝึกเพิ่มเติมด้วย แต่เรื่องนี้มิลานกับฮารุฮิเมะก็น่าจะพอช่วยเขาได้
ไอส์ที่ดูเหมือน ‘ตุ๊กตา’ ที่สุดนั้นได้กลายมาเป็นเป้าหมายแรกของเขาไปแล้ว
วาห์นพยายามนึกภาพชุดที่เหมาะสมกับเธอโดยที่มันต้องต่างออกไปจากชุดในเนื้อเรื่องเดิมอยู่บ้าง
ตอนนี้เธอกำลังสวมชุดเกราะแบบหลายชั้นและค่อนข้างเทอะทะกว่ามาก ดูก็รู้แล้วว่ามันน่าจะ ‘ใส่ก็ยาก ถอดก็ยาก’
หลังจากมอบ [แกรม] ให้ไอส์ วาห์นก็รู้ว่าชุดสีขาวและน้ำเงินน่าจะเหมาะกับเธอที่สุด
สิ่งแรกที่นึกออกก็คือชุดเกราะที่เบา ไม่เทอะทะจนเกินไป และทำให้ผู้สวมดู ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
เขาตัดสินใจว่าตัวเองควรจะออกไปชอบปิ้งกับไอส์อีกครั้งเพื่อสังเกตดูชุดและสีที่เธอชอบ
พอได้ชุดต้นแบบมาแล้ว วาห์นจะนำมันไปดัดแปลง แก้ไข ปรับแต่งมันตามคำแนะนำของผู้สวมใส่ หรือไม่ก็เสริมความสามารถเพิ่มเข้าไปอีก…
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา วาห์นก็เลือกซื้อหุ่นที่มีรูบร่างคล้ายกับทีโอน่า ไอส์ และริวจากระบบ
หลาย ‘เหตุการณ์’ ที่เจอมากับตัวทำให้วาห์นจดจำรูปร่างเปลือยเปล่าของทั้งสามได้อย่างแม่นยำ เรื่องการหาหุ่นที่มีรูปร่างคล้ายกันจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
วาห์นเคยฝึกเรื่องการแกะสลักรูปปั้นกับเอวามาแล้ว ดังนั้นหากต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติม เขาก็สามารถทำได้เช่นกัน
แน่นอนว่าวาห์นไม่ได้แกะสลักส่วนใบหน้า รวมไปถึงส่วนที่… ไม่เป็นการสมควรเท่าไหร่
ถ้าทำแบบนั้นแล้วมีใครเดินเข้ามาเจอล่ะก็คงจะเป็นเรื่องแน่นอน
แม้จะไม่ใช่คนจริงๆ แต่วาห์นก็รู้สึกดีใจที่ได้จับ ‘พวกเธอ’ แต่งตัวด้วยผ้าหลากสีและชนิด
เขาตบแต่งไอส์ด้วยเสื้อผ้าสีขาว สีเขียว และสีทอง ส่วนทีโอน่านั้นจะเป็นสีครีม สีน้ำตาล และสีอุ่นผสมกัน
สำหรับริว เธอดูจะชอบสีที่หาได้ตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นสีเขียวใบไม้ สีเบจ สีน้ำเงินธรรมชาติ สีน้ำตาล
โครงการนี้อาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน แต่อย่างน้อยวาห์นก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ ‘สนุก’ มาก
เย็นนี้ไม่มีแขกมาที่คฤหาสน์ แต่เฮสเทียก็มาเล่าให้ฟังว่าปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียนั้นน่าจะกลับมาถึงในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้
พอมาบวกกับการคิดเรื่องของพวกเธอไปบ้าง วาห์นเลยรู้สึกคาดหวังว่าไอส์และทีโอน่าจะมาเยี่ยมในเร็ววัน
อาจจะน้อยกว่าหน่อย แต่เขาก็อยากเจอทีโอเน่กับเลฟิย่าอีกครั้งเช่นกัน รวมไปถึงการขอคำแนะนำจากแกเร็ธด้วย
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การพบหากับกลุ่มพันธมิตรเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่วาห์นก็ยังเป็นที่รู้จักในฐานะช่างตีเหล็กฝีมือดี แม้ว่าเรื่องสกิล [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] ของเขาจะยังไม่ถูกเปิดเผยก็ตาม
ทางกิลด์จะเข้ามายุ่มย่ามอะไรได้หากสมาชิกของโลกิแฟมิเลียแค่เดินทางเพื่อมา ‘ซื้ออุปกรณ์’ เฉยๆ…
เพราะตอนนี้สมาชิกหลายคนของโลกิแฟมิเลียก็ใช้สิ่งของที่เขาสร้างหรือซื้อจากระบบอยู่แล้ว นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด
หลังช่วงมื้อเย็น เฮสเทียได้มาอาบน้ำกับวาห์นอีกครั้งขณะคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆ ก่อนจะออกไปเตรียมตัวเข้านอน
เฟนเรียร์ยังคงปักหลักอยู่กับพรีเซียเช่นเดิม เฮสเทียจึงพยายามใช้ประโยชน์จากตรงนี้อย่างเต็มที่ แถมโลกิยังอุตส่าห์ทิ้งเครื่องรางเอาไว้ให้ด้วย
แต่ถึงเธอจะดึงดันยังไง วาห์นก็ไม่ยอมท่าเดียวและเตือนว่าเธอควรพักเรื่องนั้นไปสักระยะ
เนื่องจากเธอปฏิเสธที่จะให้เขารักษา การจัดกิจกรรมช่วงกลางคืนแบบติดๆ กันหลังเสียพรหมจรรย์ไปแล้วจึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง
อีกเรื่องหนึ่งที่วาห์นไม่มีทางพูดออกมาก็คือ… เขาเริ่มรู้สึกกลัวร่างกายส่วนล่างของเฮสเทียขึ้นมาหน่อยๆ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน เขาหวังจริงๆ ว่าเวลาพักรักษาตัวจะช่วยปรับสภาพให้มัน ‘ง่ายขึ้น’ และไม่เจ็บราวกับถูกคีมหนีบ
เฮสเทียคิดว่ามันฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่แม้จะรู้ว่าวาห์นเป็นห่วงร่างกายของเธอจริงๆ
พอรู้ว่าเดี๋ยวจะมีผู้หญิงมาเยี่ยมเพิ่ม เธอก็ไม่อยากรอช้าและมาเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
ในฐานะสมาชิกของเผ่าเทพ เรื่องอันตรายจากการติดเชื้อนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับเธออยู่แล้ว
หลังจากขึ้นมานั่งบนตัววาห์น เสื้อผ้าของเฮสเทียก็แตกกระจายออกไปรอบๆ
จากมุมมองวองวาห์นนั้น ตอนนี้สายตาของเฮสเทียดู ‘หลอน’ มาก
เขาไม่เคยเห็นเธอทำหน้าแบบนี้มาก่อนจนต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกและอยากเอ่ยถามเบาๆ
แต่ก่อนจะได้พูดออกไป น้ำเสียงร้อนๆ หนาวๆ ก็ดังขึ้น
“วาห์น… เรารักกัน… ใช่ไหมคะ?”
วาห์นตอบกลับแบบไม่ลังเล
“แน่นอน ฉันก็ต้องรักเธอสิเฮสเทีย
เธอเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันเลยนะ”
รอยยิ้มแปลกๆ ของเฮสเทียยิ่งดูกว้างขึ้นกว่าเดิม
“อื้อ… แต่นายรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นพวกขี้หึง… ถึงปากจะบอกว่าเปิดใจไปแล้วก็เถอะ
ฉันรู้ดีว่าตัวเองอยู่ตรงไหน… แล้วมันก็ไม่ใช่จุดสูงสุดในหัวใจของนายด้วย…”
มือเรียวเล็กค่อยๆ เอื้อมมาแตะที่กระดุมเสื้อของวาห์น
“ตอนที่เราอยู่กันแบบนี้ ถึงจะไม่ได้เป็นจริงก็เถอะ แต่ฉันก็อยากเป็นแค่คนเดียวในหัวใจของนาย… ฉันอยากสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้น
ฉันมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดให้นายไปแล้ว เรื่องแค่นี้นายคงพอทำให้ฉันได้ใช่ไหม…?”
วาห์นรู้สึกเหมือนสมองกำลังโดนคำพูดของเฮสเทียตอกใส่ไม่หยุดเลย
และแม้จะไม่มาก เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนและความชื้นแฉะที่หลั่งไหลออกมาจากร่างการส่วนล่างของเธอ
เฮสเทียไม่ยอมเปิดโอกาสให้วาห์นพูดอะไรต่อ เธอโน้มตัวเข้าไปประสานตาในระยะประชิดทันที
“อย่าเห็นแก่ตัวนักเลยวาห์น… ฉันรู้ดีว่าตัวเองไหวหรือไม่ไหว… ร่างกายฉัน ฉันดูแลเองได้… นายจะเอาความสงสารมาใช้ปฏิเสธสิ่งที่ฉันปรารถนาจากหัวใจไม่ได้หรอกนะ
หยุดลังเลได้แล้ว… ไม่งั้นฉันจะสงสัยเรื่องความรู้สึกของนายไปตลอด…
ฉันรู้ว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่พออยู่คนเดียวแล้วมันก็อดคิดไม่ได้… ช่วยทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจเวลาที่นายไม่อยู่ด้วยเถอะนะ”
ถึงจะรู้ว่าเฮสเทียไม่มีเวทมนตร์เสน่ห์ แต่วาห์นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคล้อยตาม
เธอมักจะใช้คำพูดนุ่มนวลเพื่อช่วยทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบอยู่เสมอ ทว่าครั้งนี้มันกลับทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวผิดปกติ
วาห์นนั้นสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย
พอเฮสเทียจะถอยหลังออกมา วัตถุแข็งบางอย่างก็ดันโผล่ขึ้นมา ‘ขวางทาง’ จนเธอได้แต่ยิ้มกว้าง
“ฉันรักนายนะวาห์น… นับจากนี้และตลอดไป… โปรดอย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะ… ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม”