Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 28
คืนนั้นวาห์นรู้สึกว่าตัวเองหลับไม่ค่อยสนิทเลย เขายังกังวลเกี่ยวกับวันพรุ่งนี้ เรียกได้ว่ารู้สึกหวาดกลัวเลยคงจะดีกว่า เขามักตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆ ตลอดทั้งคืนก่อนที่จะใช้เวลาสองสามนาทีเพื่อพยายามหลับต่อ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเริ่มฝัน…
วาห์นถูกมัดไว้กับโต๊ะในห้องปลอดเชื้อจนขยับไปไหนไม่ได้ เขาลองออกแรงดูแล้ว แต่เตียงที่มีสายรัดอย่างแน่นหนากลับไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้นได้ง่ายๆ ดวงตาของเขาถูกง้างเปิดอยู่ตลอดเวลาด้วยเครื่องมือแปลกๆ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือจ้องมองไปที่แสงสว่าง มันเป็นแสงที่สาดส่องใส่เขาจากด้านบน เขาได้ยินการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นจากภายในเงามืดในขณะที่พวกมันใช้และทดลองร่างกายของเขากับเครื่องมือต่างๆ ที่แย่ที่สุดก็คือความเจ็บปวดแสนสาหัสจากที่รัดตรงส่วนแขนและขาของเขา แม้เขาจะสูญเสียความรู้สึกไปในช่วงแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกชาก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เขาเริ่มกังวลว่าอาจจะสูญเสียแขนขาไปหากไม่นำที่รัดออกโดยเร็ว จากเงามืด เขาได้ยินเสียงอู้อี้คล้ายกับคนพูด… หนึ่งในสิ่งมีชีวิตหัวเราะออกมา.. วาห์นเริ่มมองเห็นเลื่อยขนาดใหญ่ที่เพิ่งออกมาจากความมืด…
วาห์นตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อเย็นเฉียบ เขารู้สึกชาไปทั้งแขนและขาและเริ่มตื่นตระหนกก่อนที่จะยืนยันว่าพวกมันยังอยู่ครบ (“มันเป็นแค่ความฝัน…”) เขาถอนหายใจขณะเอนหลังกลับลงไปยังเตียงที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากหน้าต่าง แสงแห่งวันใหม่เริ่มคืบคลานผ่านมู่ลี่ไม้ ทำให้วาห์นเลิกคิดที่จะกลับไปนอนต่อ
เขาลุกจากเตียงของและพยายามทำความสะอาดตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดต เขายังไม่มีโอกาสได้อาบน้ำเลยนับตั้งแต่เข้าเมืองมา หากไม่นับตอนที่พยาบาลเช็ดตัวเขาในระหว่างการรักษา แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจมากนัก แต่ดูจากปฏิกิริยาของคนที่เดินสวนกับเขาแล้วกลิ่นตัวของเขาคงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็จำได้ว่าโคลอี้พยายามเอาตัวมาติดกับเขาอยู่ตลอดเวลาและเริ่มสงสัยว่าจมูกเธอนั้นผิดปกติไปจากคนทั่วไปหรือเปล่า
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วเขาพบว่าเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัดหมาย เขาไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรเพื่อฆ่าเวลาดีและจำได้ว่าในมังงะมักจะมีตัวละครที่ชอบไปรอก่อนเวลาอยู่เสมอ เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมจึงเตรียมที่จะออกจากโรงแรมและและมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดพบ
พวกเขาตัดสินใจพบกันที่นอกหอคอยบาเบลก่อนที่จะเข้าไปเดินช้อบปิ้งในนั้น วาห์นคิดว่าแม้ว่าเขาจะไปก่อนเวลา แต่ก็คงใช้เวลาอยู่แถวนั้นเพื่อทานอาหารเช้าเล็กน้อยและดูนู่นดูนี่ก่อนที่โคลอี้จะมาถึง มันจะทำให้เขามีเวลาเขาพอที่จะศึกษาระบบต่างๆ และทำการตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปในช่วงเดือนที่จะมาถึง เขายังมีเวลาอีกมากในการทำภารกิจให้สำเร็จ แต่แค่คิดว่าต้องล่าโคโบลด์ ก็อบลินและดันเจี้ยนลิซาร์ดไปวันๆ จนกว่าภารกิจจะเสร็จนั้นก็ทำให้เขาเบื่อแล้ว เป้าหมายของเขาคือไปให้ถึงโซนปลอดภัยที่ชั้น 18 (ริวิร่า) ด้วยตัวคนเดียว
ในขณะที่เขาเดินลงจากบันไดไปสู่บริเวณต้อนรับ/ห้องอาหารของโรงแรม วาห์นก็พบกับทีน่า ออร่าของเธอไม่ใช่สีม่วงเข้มอีกแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นสีเหลืองผสมกับสีเขียว เมื่อวาห์นเข้ามาในห้องเธอก็ตรงมาที่เขาด้วยสีหน้ากังวล
“คุณลูกค้า หนูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คุณอย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้เลยนะ แค่เห็นคุณเป็นแบบนี้ หนูเองก็พลอยเศร้าไปด้วย…” เธอมองเขาด้วยดวงตาสีทองขนาดใหญ่และขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด วาห์นเอามือไปจับหน้าตัวเองและรู้สึกว่ามันตึงมาก เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำสีหน้าน่ากลัวและทำให้เด็กสาวเป็นห่วง
วาห์นผ่อนคลายสีหน้าของเขาลงและพยายามยิ้มให้เธอ
“ฉันนึกว่าเธอกลัวฉันซะอีก” เขาถามโดยสังเกตว่าเธอไม่ได้เบือนหน้าหนีแบบครั้งก่อน
เธอทำหน้าเหมือนกับไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดออกมา
“ฉันได้ไม่กลัวสักหน่อยนะ~เมี๊ยว! ฉันแค่ฟังที่แม่บอกเท่านั้นเอง สายตาที่คุณจ้องหูและหางของฉันมันน่าขนลุกมากเลยล่ะ~เมี๊ยว!” เธอพูดออกมาดังมากจนทำให้แม่ของเธอออกมาดู แต่เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเธอกำลังคุยอยู่กับวาห์น เธอจึงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของเธอต่อ
วาห์นเห็นการกระทำของมิลานและรู้สึกอึดอัด “ขะ-ขอโทษด้วยนะ… ฉันไม่เคยเห็นมนุษย์แมวมาก่อนก็เลยเผลอไปหน่อย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอขนลุกหรืออะไรแบบนั้นหรอก…” เขาหันไปหาทีน่าและก้มหัวขอโทษเธอ
เด็กสาวกระทืบเท้าและหันมาดุเขา “ให้ตายสิ! จะทำอะไรก็กล้าๆ หน่อยนะ~เมี๊ยว! ไม่มีสาวที่ไหนจะมาชอบคนที่ดูเศร้าตลอดเวลาหรอกนะ~เมี๊ยว!?” หลังจากที่พูดจบ เธอก็ดูเขินๆ ก่อนจะวิ่งไปที่ประตูที่แม่ของเธอเพิ่งเข้าไป
วาห์นจ้องไปที่เธอแบบงงๆ ก่อนที่จะออกจากโรงแรม เขาเดินอย่างไม่เร่งรีบและมาถึงจัตุรัสบาเบลหลังผ่านไปห้าสิบนาที เขายังคงมีเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนที่โคลอี้จะมาถึงก็เลยซื้อเคบับจากแผงขายของข้างๆ
เขาเคยเห็นเคบับจากในมังงะเท่านั้นจึงอยากรู้ว่าของจริงจะมีรสชาติแบบไหน เขาเอาเนื้อแกะเสียบไม้ย่างเข้าปากและปล่อยให้รสจัดจ้านซึมเข้าไปในลิ้นก่อนที่จะกลืนมันลงไป มันอร่อยเหมือนที่เขาคิดไว้เลย เช่นเดียวกับอาหารทุกอย่างที่เขาได้ลิ้มลองนับตั้งแต่มาที่โลกใบนี้หลังออกมาจากป่า วาห์นชอบรสชาติของมันมาก เขาเริ่มคิดที่จะซื้อคู่มือการทำอาหารผ่านระบบและเรียนรู้ที่จะทำมันตัวเองเพื่อที่จะทานมันเมื่อไหร่ก็ได้
หลังจากชมเชยคนขาย เขาก็ซื้อมาเพิ่มอีกในราคาที่ทำให้คนขายต้องยิ้มก่อนจะไปยังจุดนัดพบ เมื่อเขาใกล้ถึงก็เห็นโคลอี้จากไกลๆ วาห์นนิ่งไปสักพักเพื่อตรวจสอบเวลาและพบว่ายังเหลืออีก 53 นาทีก่อนเวลานัด
เขาเดินเข้าไปอีกจนกระทั่งโคลอี้สังเกตเห็นเขา เธอยิ้มและเริ่มเดินเข้ามาหา เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้กันแล้วเธอก็เริ่มตรวจสอบการแต่งตัวของเขาก่อนจะพูดขึ้น
“คิดไว้ไม่ผิดว่านายต้องใส่ชุดสีดำออกมาแน่ๆ เลย~เมี๊ยว”
วาห์นเหลือบมองไปที่ชุดของตัวเองก่อนที่จะมองดูชุดของเธอบ้าง ชุดของโคลอี้ดูค่อนข้างตัดกับสีชุดของเขา เธอสวมชุดกระโปงสั้นสีเบจและที่มีเสื้อด้านในสีกรมท่าที่ขับกับสีผมของเธอและทำให้ชุดดูโดดเด่นมาก รอบคอของเธอมีสร้อยติดคอประดับลายปักสีเขียวอ่อนและเธอยังใส่ถุงน่องสีขาวและรองเท้าบูทสีเทา เรียกได้ว่าครบเครื่องมากๆ
“ขอโทษนะแต่ผมไม่รู้จะใส่อะไรแล้ว ผมไม่มีเสื้อผ้ามากมายนักและชุดๆ นี้คือสิ่งที่ผมคิดว่ามีประโยชน์มากที่สุดในบรรดาสิ่งของที่ผมมี ว่าแต่… แต่ทำไมเธอมาถึงที่นี่เร็วนักล่ะ?
โคลอี้ฟังส่วนแรกที่เขาพูดและพยักหน้ารับ เมื่อเธอได้ยินส่วนที่สอง เธอก็เริ่มยิ้มและมองเข้าไปในดวงตาของวาห์นโดยตรง
“เนียะฮะฮะฮ่า~ ฉันคิดว่าต้องมีคนอยากมาก่อนเวลานัดแน่ๆ ก็เลยรีบมาเซอร์ไพรส์ที่นี่ก่อนไง~ เป็นไง เซอร์ไพรส์ไหมล่ะ~เมี๊ยว? “
วาห์นพยักหน้าขณะเริ่มกินเคบับที่ถืออยู่ เมื่อเห็นการตอบสนองของเขา โคลอี้รู้สึกว่าหูของตัวเองกระตุกขึ้นเล็กน้อย
เธอเดินเข้ามาคล้องแขนขณะที่วาห์นไม่ทันระวังตัว
“เมี๊ยว~ นั่นอะไรเหรอ~ ฉันกินด้วยคนสิ~ ขอหน่อยนะ~”
วาห์นสะดุ้งจากการสัมผัสที่ไม่คาดคิด เขามองลงไปที่แขนของโคลอี้และงุนงงกับความรู้สึกอันนุ่มนวลที่ถูกดันเข้าหาเขาในสภาพที่งุนงง เมื่อได้ยินว่าเธออยากลองเคบับ เขาจึงยื่นมันไปให้เธอ
“เนียะ~อ้ามมม!” *งั่มๆ* *งั่มๆ* “ว้าว~รสจัดเอาเรื่องอยู่นะ ~เมี๊ยว!”
เมื่อเห็นโคลอี้กลืนเคบับเข้าไป วาห์นก็หลุดจากภวังค์ลึกลับทันที เขาจ้องมองไม้ย่างที่ว่างเปล่าและรู้สึกเหมือนตาจะชื้นขึ้นนิดหน่อย…
ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร โคลอี้ก็ปล่อยแขนและเริ่มดึงมือเขาไปทางหอคอยบาเบล
“ช่างมันเถอะ~เมี๊ยว เดี๋ยวเราค่อยไปซื้อเพิ่มตอนช้อปปิ้งก็ได้ ฉันเลี้ยงเอง~”
วาห์นพยักหน้ารับและยอมให้ตัวเองถูกลากเข้าไปในหอคอย เมื่อเข้ามาแล้ว เขามองไปที่ทางเข้าดันเจี้ยนและเริ่มคิดว่าจะทำอะไรต่อในครั้งหน้าที่ลงไปในนั้นดี เขายังคงต้องหาเงินเพื่อใช้ชีวิตและกักตุนแต้ม OP สำหรับภารกิจของเขา…
“เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย เราต้องไปซื้อเสื้อผ้าก่อนนะ~เมี๊ยว! เสื้อผ้าน่ะไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์ในการต่อสู้เสมอไปหรอกรู้ไหม? การสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายเป็นหนึ่งในสิ่งที่สามารถนำความสุขมาให้กับผู้คน~”
เมื่อได้ยินที่โคลอี้พูดถึง “ความสุข” วาห์นก็หยุดคิดเรื่องดันเจี้ยน “เธอจะบอกว่าการใส่เสื้อผ้าทำให้ผู้คนมีความสุขขึ้นงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็หันมาสนใจเธอ โคลอี้จึงยิ้มออกมา “ใช่ๆ แน่นอนอยู่แล้ว~ นายไม่ชอบใส่เสื้อผ้าที่ใหม่และสะอาดแทนการสวมอะไรที่สกปรกและเต็มไปด้วยเหงื่องั้นเหรอ~? อีกอย่าง การใส่เสื้อผ้าดีๆ ไม่ได้ทำให้นายมีความสุขแค่คนเดียวนะ~”
“เธอหมายความว่ายังไงกัน” เขาถามต่อ
“นายรู้สึกยังไงตอนที่เห็นฉันแต่งตัวแบบนี้ล่ะ~เมี๊ยว?” โคลอี้จ้องไปที่ตาของเขาขณะที่เธอถามคำถามและจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
วาห์นนึกย้อนกลับไปเมื่อเขาเห็นโคลอี้ใกล้จุดนัดพบ สิ่งแรกที่เขาจำได้หลังจากเห็นเธอก็คือ… รอยยิ้มของเธอ เธอดูมีความสุขที่ได้เห็นเขา และชุดที่ใส่อยู่ก็ทำให้สีหน้าของเธอดูโดดเด่นกว่าปกติมาก เสื้อผ้าดูเหมือนจะช่วยเสริมบรรยากาศที่มาจากเรือนร่างของเธอและดึงให้สายตาหลายคู่ไปจดจ่ออยู่ที่หญิงสาวเรือนผมสีดำคนนี้…
“ผมว่า… ผมว่าชุดนี้เหมาะกับเธอมากเลย มันเข้ากับบุคลิกของเธอมากกว่าชุดที่เธอใส่ทำงานในร้าน” วาห์นพยายามสรุปมันออกมาอย่างดีที่สุดขณะจ้องไปที่มือเรียวงามทั้งสองที่กำลังจับมือของเขาอยู่
“ใช่ไหมล่ะ~ใช่ไหมๆ~? มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นแหละ เสื้อผ้าไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิธีที่นายมองดูคนอื่นแต่ยังเปลี่ยนวิธีที่นายมองดูตัวเองด้วย ถ้าเรารู้จักแต่งตัว เราจะดึงดูดคนรอบข้างหรือแม้แต่สร้างความประทับใจให้กับคนที่เราพูดคุยด้วยนะ~เมี๊ยว”
วาห์นพยักหน้าขณะฟังคำพูดของเธอ เขาจำได้ว่าทุกคนมองดูเขาแปลกๆ ในขณะที่เดินไปไหนมาไหนรอบๆ เมืองและการที่เขาดูเหมือนเป็นแกะดำก็เพราะเสื้อผ้าของเขาต่างจากคนอื่นมากและไม่ใช่ ‘ต่าง’ ในด้านที่ดีด้วย แม้แต่คนที่ดูจะไม่ได้สนใจเรื่องชุดของเขาเป็นพิเศษก็ยังมีสีหน้างุนงงขณะที่เห็นเขาเป็นครั้งแรกเลย… ยกเว้นอยู่คนนึงนะ
เขามองไปยังหญิงสาวที่กำลังเล่นกับนิ้วมือของเขาขณะที่ความรู้สึกอันไม่คุ้นเคยเริ่มผุดขึ้นในใจ เขาถามแบบไม่ได้คิดออกไป “ทำไมเธอถึงไม่มองผมแบบคนอื่นล่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา เธอก็หยุดเล่นนิ้วมือและมองเข้าไปในดวงตาของเขาตรงๆ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เธอก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนซึ่งดูเหมือนจะสะท้อนกับบางสิ่งในใจของวาห์น
“เพราะฉันมองเห็นเด็กที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นไงล่ะ ฉันเห็นว่านายกำลังเจ็บปวดซึ่งตัวนายเองก็เชื่อว่ายังไงก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะมาเข้าใจได้…”
วาห์นเริ่มรู้สึกตึงเครียดและพยายามคลายมือของเขาออก
แม้เธอจะไม่ได้จับมันจนแน่น แต่เขาก็พบว่าโคลอี้จับมือของเขาอย่างมั่นคงและทำให้เขาไม่สามารถดึงมันกลับได้หากไม่ใช้แรงมากพอ
“ฉันไม่เข้าใจความเจ็บปวดของนายหรอกนะวาห์น แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่ามีคนบนโลกนี้มากมายที่จะเห็นใจในสิ่งนายประสบมา รู้ไว้ว่านายจะไม่มีวันอยู่ตัวคนเดียวตราบใดที่นายเต็มใจรับมือที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ และบางที ไม่แน่นะ เมื่อความเจ็บปวดเริ่มจางหายไป… นายจะสามารถยื่นมือของตัวเองไปให้ผู้ที่ต้องการมันได้เช่นกัน”
โคลอี้ยังคงจ้องตาของเขาตลอดเวลาที่เธอพูด วาห์นรู้สึกว่าร่างกายของเขาสั่นเทาและยอมแพ้ที่จะดึงมือออก เขานึกถึงสิ่งที่เธอพูดซ้ำไปซ้ำมา ในใจนั้นอยากจะเชื่อ แต่สิ่งที่อยู่ลึกๆ ในตัวของเขายังรู้สึกต่อต้านมันอยู่
ในขณะที่ยังคงครุ่นคิดกับคำพูดเหล่านั้น เขาก็รู้สึกถึงแรงที่ดึงตัวเขาไปข้างหน้าอย่างอ่อนโยน เขาเงยหน้าขึ้นและโคลอี้ที่ยังคงจ้องมองมาด้วยสีหน้าอันอ่อนโยนขณะที่กำลังพาเขาเข้าไปในหอคอยโดยไม่สนใจสายตาของฝูงชนรอบข้างเลย
“ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้นายกันเถอะ วาห์น ฉันแน่ใจว่านายต้องประหลาดใจภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของตัวนายเองแน่นอน…”
วาห์นพยักหน้าและไม่ขัดขืนต่อการนำของเธอ ขณะที่เธอดึงเขาไปยังจุดหมาย เขาก็ใช้มืออีกข้างปาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาตอนไหน…
—————