Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 287
วาห์นตื่นขึ้นมาในมิติว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความมืดมิด
เขาตกใจอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะนึกออกว่าเคยเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อนแล้ว
หลังจากได้สติ พลังเขตแดนก็ถูกกางออกไปรอบๆ ทันที
เปลวเพลิงสีฟ้า สีทอง และสีแดงเริ่มกระจายออกไปทั่วบริเวณ
เมื่อมันหยุดลง ดวงตาหลายคู่ก็ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยรูปร่างที่ดูคล้ายกับ [ร่างจตุรเทพ] ทั้งสี่
ตัวที่อยู่ตรงหน้าวาห์นพอดีก็คือเจ้าพยัคฆ์ขาวที่กำลังยืนอย่างองอาจ ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คืออักษรรูนแปลกๆ ที่ติดอยู่ตามร่างกายของมัน
วาห์นพอสัมผัสได้ว่าพยัคฆ์ขาวกำลังอยู่ในช่วงวิวัฒนาการซึ่งมันจะเป็นประโยชนิอย่างมากสำหรับตัวเขาในอนาคต
เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบศีรษะของมันเพื่อแสดงความขอบคุณ
พยัคฆ์ขาวคือร่างแปลงที่สำคัญมาก เรียกได้ว่ามันคือหัวใจหลักของสไตล์การต่อสู้ที่วาห์นใช้มาพักใหญ่ๆ แล้ว
เจ้าเสือยักษ์ขนาด 10 เมตรค่อยๆ ล้มตัวลงนอนไปกับความว่างเปล่าพร้อมกับส่งเสียงครางที่ทำให้อากาศรอบๆ สั่นไหว
ดวงตาสีน้ำเงินนั่นบ่งบอกว่ามันกำลังมีความสุขมาก
ครู่ต่อมา วาห์นก็เริ่มหันไปสนใจเหล่าสหายสามตัวที่เหลือ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ประกาศนามของพวกมันอย่างเป็นทางการก็ตาม
เขารู้ว่าเรื่องการตั้งชื่อน่าจะผูกกับปัจจัยต่างๆ ในโลกจริงด้วย จะฝืนทำอะไรลงไปไม่ได้เด็ดขาด
มังกรฟ้าแห่งทิศตะวันออกนั้นกำลังมองเขาราวกับเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ส่วนนกไฟแห่งทิศใต้กลับใช้สายตาที่ออกแนว ‘เร่าร้อน’ หน่อยๆ
พอหันไปหาเจ้าเต่าดำแห่งทิศเหนือ… มันไม่ได้ส่งสายตาคิดถึงหรือหลงใหล แต่เป็นสายตาแห่งความภาคภูมิ
การจ้องมันแบบชัดๆ ทำให้วาห์นพบว่ายังมีดวงตาสีทองอีกคู่ที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
ร่างของงูสีทองที่ขดอยู่กับกระดองของเต่าดำปรากฏขึ้นราวกับรู้ว่าวาห์นสัมผัสถึงมันได้แล้ว
วาห์นลอยเข้าไปใกล้อีกจนทำให้พวกมันทั้งสองต้องก้มหัวลงต่ำ
ในช่วงที่กำลังต่อสู้กับทีโอเน่อย่างดุเดือดอยู่นั้น จู่ๆ ระบบก็แจ้งเตือนว่าร่างเต่าดำได้ตื่นขึ้นแบบ 100% แล้ว
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้วาห์นเสียเวลาไปประมาณเสี้ยววินาที ผลที่ตามมาน่ะเหรอ? ก็โดนถีบจนหน้ายุบไงล่ะ
ตอนที่บอกทุกคนว่าทีโอเน่ไม่ใช่คนผิด วาห์นน่ะหมายความแบบนั้นจริงๆ… แต่จะให้อธิบายเรื่องระบบก็ไม่ได้อีก นับเป็นช่วงที่เขารู้สึกลำบากใจมาก
เขาหมายมั่นว่าจะทำให้ทุกคนลืมเรื่องนี้โดยเร็ว ต้องกลบแบบฝังลืมกันไปเลย…
วาห์นส่ายหัวเพื่อหยุดคิดเรื่องนี้ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปวางไว้บนหัวของพวกมันทั้งสอง
ไม่กี่นาทีภายใต้ความเงียบงัน ดวงตาของวาห์นก็บังเกิดแสงบางอย่าง
รอยสักรูปเต่ากับมังกรเริ่มปรากฏขึ้นตามลำตัวของเขา ตามมาด้วยเกล็ดตรงแขน ไหล่ ศีรษะและขา
วาห์นที่มีสีหน้ามั่นใจยิ่งกว่าเดิมเริ่มเอ่ยคำออกมาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้ทั่วมิติสั่นไหวอย่างหนัก
“นับจากนี้… เจ้าจะมีนามว่าเต่าทมิฬ (ซวนหวู่)” (TL: พยัคฆ์ขาว = ไป๋หู่)
เต่าทมิฬเริ่มเปล่งแสงสีเขียวไปทั่วพร้อมกับคำรามเสียงดังกึกก้อง
ราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ สัตว์อสูรทั้งสามตัวก็เริ่มคำรามออกมาเช่นเดียวกัน
พยัคฆ์ขาวปล่อยเสียงคำรามที่ทำให้ดวงวิญญาณต้องสั่นคลอน ส่วนของนกไฟนั้นคล้ายกับความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ
ที่ดูน่าเกรงขามที่สุดเห็นจะเป็นของมังกรฟ้าซึ่งแทบจะกลบเสียงของอีกสามตัวไปเลย นอกจากนั้นมันยังปล่อยสายฟ้าออกมารอบๆ ตัวด้วย
วาห์นหันไปหาเหล่าสัตว์อสูรที่ยังไม่ได้รับชื่อพร้อมให้คำมั่นแก่พวกมัน
“สักวัน… พวกเจ้าจะได้รับชื่ออย่างแน่นอน”
ทันทีที่พูดจบประโยค จิตของวาห์นก็เริ่มเลือนลางซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเวลาของมิตินี้ได้หมดลงแล้ว
—
เมื่อสติกลับคืนมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือความร้อนจากร่างเล็กๆ ที่นอนกองอยู่ด้านบน
วาห์นยกมือขึ้นมาลูบเรือนผมสีดำแบบไม่คิดอะไรมาก ไม่นานดวงตาสีฟ้าใสก็ลืมตาตื่นขึ้นมาสบกับดวงตาสีน้ำทะเล
เทพตัวเล็กลงไปซุกที่แผงอกของเขาโดยไม่พูดอะไร แต่แล้วความเจ็บปวดตรงส่วนล่างก็แล่นเข้าสู่สมองจนวาห์นต้องรีบกัดฟันเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องออกมา
อีกฝ่ายคงต้องการสื่อว่า ‘หึ ไม่ยอมให้ลุกไปไหนหรอก’ ทว่าวาห์นที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ทุกวี่ทุกวันนั้นได้คิดวิธีแก้เอาไว้แล้ว
เขาไล่นิ้วไปตามกระดูกสันหลังเล็กๆ โดยใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ควบคู่ไปด้วย
เฮสเทียร้องครางด้วยความเสียว ขณะเดียวกันร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้านก่อนที่ความรู้สึกต่างๆ จะเลือนหายไปจนหมด หรือก็คือขยับตัวไม่ได้นั่นเอง
พอรู้สึกว่าความเจ็บปวดตรงช่วงล่างหายไปแล้ว วาห์นก็พาตัวเองออกมาจากร่างของเฮสเทียได้อย่างง่ายดาย
เฮสเทียทำหน้าบูดบึ้ง แต่วาห์นก็แค่จูบเธอเบาๆ พร้อมกับนวดตรงนั้นตรงนี้จนสีหน้าของเธอดูดีขึ้น
‘…หืม?’
ตอนนี้คงยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ แต่วาห์นรู้สึกว่าเฮสเทียไม่ได้แค่พยายาม ‘ปรับร่างกาย’ ของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เธอยังพยายามเข้ามาปรับร่างกายของเขาด้วย
พอคลายร่างออกจากกันแล้ว วาห์นก็รู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป… เป็นความรู้สึกที่ทำให้อยากกลับไปนอนต่อ
—
หลังจากแต่งตัวเสร็จ วาห์นก็มุ่งหน้ามาที่ลานฝึกทันที
ตอนนี้ที่ลานฝึกมีริวเพียงคนเดียวเพราะสาวๆ คนอื่นยังเตรียมตัวกันไม่เสร็จ
วาห์นสังเกตเห็นว่าเธอกำลังมองดูหลุมบ่อมากมายด้วยแววตาสงสัย (TL: ที่วาห์นสู้กับทีโอเน่เมื่อวาน)
พอเห็นเขาเดินเข้ามา ริวก็ยิ้มและกล่าวทักทาย
“อรุณสวัสดิ์นะวาห์น”
“…”
จู่ๆ บางอย่างในใจของวาห์นก็สั่งให้เขาก้าวต่อไปอีกหน่อยและสวมกอดเอลฟ์สาวแบบหลวมๆ
ริวเบิกตากว้างแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร หนำซ้ำเธอยังยกมือขึ้นมากอดแผ่นหลังและพิงหัวไปกับไหล่ของอีกฝ่ายด้วย
“ขอโทษนะ… ฉันแค่รู้สึกอยากกอดเธอขึ้นมาน่ะ” วาห์นกระซิบข้างใบหูเรียวยาว
เขาไม่รู้ว่าทำไมรอยยิ้มของริวถึงส่งผลต่อตัวเองได้มากขนาดนี้ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรต่อ
ริวขยับหัวออกเล็กน้อยเพื่อตอบกลับ
“ไม่เห็นต้องขอโทษอะไรเลยวาห์น ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่พอดีด้วย
บางครั้งฉันก็อยากให้นายมาเอาใจแบบนี้เหมือนกันนะ…”
วาห์นยิ้มกว้างกว่าเดิมขณะเอาหน้าผากไปพิงกับริว และแล้วทั้งสองก็เพลินอยู่แบบนั้นโดยไม่ต้องพูดอะไรกันต่อ
ก่อนที่สาวๆ คนอื่นจะเดินมาเห็นภาพบาดตาบาดใจ วาห์นก็จูบริวเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะผละตัวออกมา
ริวยิ้มอย่างเหม่อลอยขณะใช้มือแตะริมฝีปากตัวเอง แต่แล้วเธอก็ต้องรีบปรับสีหน้าเพื่อต้อนรับคนอื่นๆ
พอทุกคนมากันครบแล้ว ริวกับอาคิก็มาปรึกษากันสั้นๆ ว่าจะแบ่งการฝึกซ้อมยังไงดี จากนั้นก็ต่อด้วยการประลองกันเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เข้าใจความสามารถของอีกฝ่าย
อาคิเป็นผู้ใช้ดาบสั้นที่เน้นความเร็วและมีเทคนิคดีเยี่ยม ทว่าผลท้ายสุดเธอก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของริว
ในช่วงท้ายของการต่อสู้ อาคินั้นได้แต่ปัดป้องการโจมตีด้วยพลองไม้ของริวโดยที่ไม่อาจโต้กลับได้เลย
ไม่นานเธอก็หมดแรงจนต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้นพลางกล่าวชมเชยว่าฝีมือของริวนั้นสมแล้วที่ได้เป็นรองกัปตัน
ริวยื่นมือออกมาช่วยพยุงอาคิขึ้นและกล่าวชมเธอกลับเช่นกัน
จากนั้นทั้งสองก็หันไปคุยกับคนอื่นๆ ที่เอาแต่อ้าปากค้างเพราะมองการต่อสู้แทบไม่ทัน
—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
วาห์นเองก็มาดูการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยและสรุปออกมาได้สั้นๆ ว่าพวกเธอทั้งสองน่าทึ่งจริงๆ
การโจมตีของริวยังคงลื่นไหลไม่เปลี่ยน ส่วนของอาคิเองก็มีท่วงท่าที่งดงามไม่แพ้กัน
ในช่วงแรกนั้นเธอใช้ดาบสั้นปัดป้องการโจมตีหนักๆ ของริวได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ถือว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบเลยด้วยซ้ำ
แต่พอเวลาผ่านไป ริวก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีเรี่ยวแรงมากกว่าอาคิ แถมการโจมตีแต่ละครั้งของเธอก็รุนแรงขึ้นตามลำดับจนอีกฝ่ายรับมือไม่ไหว
หลังจากแบ่งกลุ่มกันได้แล้ว อาคิก็เริ่มฝึกให้กับคู่แฝดที่ไม่ค่อยมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ ส่วนเมนูฝึกก็เน้นไปที่การพัฒนาด้านความว่องไว
วันนี้ริวจะเป็นผู้ฝึกให้กับฮารุฮิเมะ เฟนเรียร์ รวมไปถึงมิโคโตะด้วย
มิโคโตะนั้นค่อนข้างสนใจเรื่องการเคลื่อนไหวที่ริวใช้ เพราะนอกจากฝีเท้าจะต้องเร็วแล้วยังต้องมีการใช้เวทมนตร์ประกอบเข้าไปด้วย
ฮารุฮิเมะนั้นอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นจอมเวทสายสนับสนุนที่มีความคล่องตัวสูง มิโคโตะเลยอยากเป็นนักสู้แนวหน้าที่เชี่ยวชาญด้านการรับมือกับศัตรูจำนวนมาก
วันนี้เป็นครั้งแรกเลยที่วาห์นได้เห็น [ฟุตสึโนะมิทามะ] ซึ่งเป็นเวทมนต์แรงโน้มถ่วงของมิโคโตะ
พอเธอร่ายเวทเสร็จ ดาบสีม่วงก็หล่นลงมาจากท้องฟ้าและลงมาบรรจบกับวงแหวนเวทมนตร์หลายชั้นที่อยู่เหนือพื้น
ทุกครั้งที่ดาบสีม่วงทะลุวงแหวนได้หนึ่งชั้น พื้นที่วงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตรตรงด้านล่างก็จะจมลึกลงไปอีกหลายนิ้ว
ข้อเสียของเวทมนตร์ดังกล่าวก็คือมันกินพลังงานเป็นจำนวนมาก
วาห์นสามาถใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อตรวจสอบปริมาณ ‘มานา’ ในร่างกายของคนอื่นได้ และเขาก็รู้ทันทีว่ามิโคโตะนั้นใช้มันมากถึง 70% ในการร่ายเวทเพียงครั้งเดียว
เพราะต้องฝึกดาบและพยายามทำให้ค่าสถานะเกิดความสมดุล วาห์นคิดว่ามิโคโตะคงใช้ประโยชน์จากเวทมนตร์นี้ไม่ได้มากเท่าไหร่… นอกเสียจากว่าเขาจะคิดค้นวิธีเพิ่มปริมาณมานาขึ้นอีกหลายเท่า
‘ถ้าเป็นเครื่องลางล่ะ หรือไม่ก็อุปกรณ์สักชิ้นที่จุมานาได้นานๆ… เอาตามนี้ละกัน’
พอคิดเสร็จแล้ว วาห์นก็ดึงชุดอุปกรณ์วาดแบบออกมาเริ่มร่างมันทันที
เพราะไม่ได้ร่วมฝึกกับคนอื่นด้วย พรีเซียที่นั่งอยู่ข้างลานฝึกจึงหันมามองการกระทำของวาห์นแทน
พอใกล้หมดช่วงฝึก วาห์นก็ได้แบบแปลนของสนับข้อมือ กำไล หรือแม้แต่สร้อยคอมามากมายหลายแบบ
เขาจะทำสนับข้อมือขึ้นมาเปลี่ยนกับอันที่มิโคโตะใส่อยู่ตอนนี้ก็ได้ แต่คิดไปคิดมาแล้วสร้อยคอน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า
ภาพของสร้อยคอที่ประดับอยู่บนทรวงอกอวบอิ่ม… นี่คือจินตนาการที่เกิดขึ้นจากความเป็นมืออาชีพล้วนๆ
มันคงไม่ต่างจากสร้อย [แซฟไฟร์สตาร์] ของเฮสเทียเท่าไหร่หรอก… ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนขุดหลุมให้ตัวเอง
ยังไงนี่ก็เป็นแค่แปลนต้นแบบเท่านั้น วาห์นกะจะเก็บเป็นความลับไว้ก่อนเพราะถ้าบอกไปตอนนี้ มิโคโตะก็อาจจะไม่มีสมาธิฝึกต่อ
วาห์นรู้ดีกว่าการพึ่งพาอุปกรณ์มากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียต่างๆ เช่นการได้รับค่าสถานะน้อยลง
ถ้าอยากเติบโตเร็วๆ นักผจญภัยจะต้องสู้กับมอนสเตอร์ที่มีพลังสูสี ขณะเดียวกันก็ต้องคอยผลักดันตัวเองอยู่ตลอด
ถ้าเอาแต่ใช้อุปกรณ์ที่ทรงพลังเกินไป ค่าสถานะที่ได้ก็จะเน้นหนักไปที่ความแม่นยำกับพลังเวท ส่วนค่าสถานะทางกายภาพอื่นๆ นั้นอาจจะเพิ่มเพียงเล็กน้อยหรือไม่เพิ่มเลย
หลังจบช่วงฝึก พวกสาวๆ ก็มุ่งหน้ามายังห้องอาบน้ำในขณะที่วาห์นแยกไปที่ห้องสมุด
ที่จริงแล้วพรีเซียอยากตามวาห์นไปห้องสมุดด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากลองเข้าสังคมกับคนอื่นและดูว่าพอจะมีอะไรที่ตัวเองช่วยได้หรือเปล่า
พรีเซียไม่อยากเป็นนักผจญภัยเพราะเธอไม่ชอบเรื่องการฆ่าฟัน บวกกับการต้องไปอยู่ในสถานที่มืดและหนาวเย็น
เพราะได้ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ภายใน ‘คุกใต้ดิน’ มาก่อน เธอจึงไม่อยากเข้าไปในสถานที่แบบเดียวกันเท่าไหร่
เธอมักใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับ ‘การผสมวัตถุดิบ’ ‘การเล่นแร่แปรธาตุ’ และ ‘ข่ายเวทมนตร์’ โดยหวังว่ามันจะช่วยทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ โดยที่เธอไม่ต้องเข้าไปในดันเจี้ยนด้วยตัวเอง
—
ภายในห้องสมุด วาห์นกำลังนอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้กล้าที่สังหารมังกรแดงตัวเท่าภูเขาย่อมๆ
นี่คือตำนานจากเรคคอร์ดอื่นและวาห์นก็พบว่าเนื้อหาของมันน่าสนใจดี
เขาชอบหนังสือจำพวกนี้มาก ส่วนหนังสือประเภทเรื่องเศร้าหรือสยองขวัญนั้นตอนนี้พวกมันตกกระป๋องไปซะแล้ว
ประเด็นหลักที่ทำให้เขาไม่ชอบพวกมันก็เพราะว่าส่วนใหญ่มักจะมีการดำเนินเรื่องแบบฝืนๆ จนถึงขั้นบังคับตัวละครมากเกินไป
วาห์นมักจะเอาตัวเองไปเปรียบกับตัวละครหลักซึ่งทำให้เขาเกิดความสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมคนพวกนั้นถึงชอบตัดสินใจแย่ๆ และทำให้ตัวเอง เพื่อน และครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตรายหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต
เขาชอบแนวเรื่องราวที่ตัวเอกพยายามก้าวไปข้างหน้าและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดมากกว่า
แน่นอนว่าเรื่องเศร้าๆ ย่อมต้องเกิดขึ้นบ้าง แต่วาห์นรู้สึกว่ามันจะเป็นตัวช่วยให้ตัวเอกเติบโตและทำให้ชัยชนะมีความหมายมากกว่าเดิม
หลังจากอยู่อย่างเงียบๆ มาประมาณหนึ่งชั่วโมง วาห์นก็รู้สึกได้ถึงออร่าสีฟ้าปนเหลืองที่กำลังมุ่งหน้ามาหา
กระแสของออร่าดวงนี้ต่างจากพวกสาวๆ ที่เห็นเป็นประจำ ดูแวบเดียวก็รู้ว่ามันต้องเป็นของอาคิแน่นอน
วาห์นลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับวางหนังสือลงขณะรอให้อีกฝ่ายเดินมาถึง
ไม่นานอาคิก็เดินเข้ามาในห้องและเริ่มจ้องมองหนังสือนับพันๆ ที่อยู่บนชั้น ก่อนจะหันมาหาวาห์นด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“กัปตันคงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว ขอโทษนะคะที่มาขัดจังหวะเวลาพักผ่อน…”
วาห์นอดไม่ได้ที่จะสำรวจอาคิเล็กน้อย ดูๆ ไปแล้วเธอก็เป็นสาวงามคนนึงเหมือนกัน
รูปร่างเพรียวบางตามแบบฉบับของเผ่ามนุษย์แมวถูกเสริมด้วยชุดทะมัดทะแมงที่มีสีดำ ขาว และทองซึ่งผสมรวมกันอย่างกลมกลืน
รอยยิ้มของเธอดูงดงามเป็นธรรมชาติมาก อาจสื่อได้ว่าเธอเป็นคนที่มีจิตใจดี
สิ่งเดียวที่ดูแปลกตาก็คือหางที่โค้งขึ้นเกือบตลอดเวลา เพราะหางของมนุษย์แมวส่วนใหญ่ที่วาห์นเคยเจอนั้นมักจะลู่ลงและแกว่งไปตามแรงโน้มถ่วง
ตอนนี้หางนั่นก็กำลังโค้งเป็นรูปตัว ‘S’ และอยู่สูงจนเกือบเท่าหัวไหล่ของเธอ
วาห์นถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะยิ้มตอบอาคิ
“ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก อาคิ เป็นอย่างที่เธอบอกนั่นแหละ
ฉันเองก็อยากคุยกับเธอเหมือนกัน มาได้ถูกจังหวะมาก…”
วาห์นนำชุดชาและขนมออกมาวางไว้บนโต๊ะซึ่งทำให้รอยยิ้มของอาคิกว้างขึ้น
หญิงสาวเอามือไขว้หลังและเดินเข้ามาด้วยท่าทางร่าเริงก่อนจะนั่งลงบนโซฟาโดยเว้นระยะห่างระหว่างตามความเหมาะสม
เธอจัดกระโปรงจนเข้าที่ทั้งตอนก่อนและหลังนั่ง เรียกได้ว่ามีความเป็นกุลสตรีสุดๆ
คิ้วของวาห์นเลิกขึ้นเล็กน้อยเพราะสำหรับเขาแล้ว มันเกือบจะเป็นท่าทางที่ ‘ผิดปกติ’ เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ
อาคิหัวเราะคิกคักก่อนจะหยิบขนมไทยากิขึ้นมาเล็มพลางจิบชาไปด้วย
หางของเธอเกิดการกระตุกเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะขนมพวกนี้อร่อยเกิดคาด
ครู่ต่อมา อาคิก็เอียงศีรษะและถามขึ้นก่อน
“กัปตันจะไม่ถามอะไรฉันเหรอคะ?”
วาห์นวางถ้วยชาลงบนโต๊ะก่อนจะพยักหน้ารับ
“ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ ว่าจะถามอะไรดี
เรามาเริ่มจาก… สาเหตุที่เธอถูกส่งมาที่นี่ก็แล้วกัน
โลกิคิดอะไรอยู่ฉันไม่รู้หรอก… แต่ที่แน่ๆ ก็คือเธอไม่เคยทำเรื่องเปล่าประโยชน์
การที่เธอมาที่นี่ ในช่วงนี้ ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปอยู่แล้ว”
สีหน้าของอาคิไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เธอก็ถอนหายใจสั้นๆ
“ท่านโลกิอนุญาตให้ฉันพูดเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผย… งั้นก็… มันเริ่มขึ้นจากผู้ชายงี่เง่าคนนึงค่ะ…”