Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 29
วาห์นยังครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ขณะที่โคลอี้ลากเขาเข้าไปในย่านการค้าของหอคอย เธอทำตามอย่างที่พูดจริงๆ เพราะจุดหมายแรกของพวกเขาก็คือคาเฟ่เล็กๆ ที่เสิร์ฟกาแฟและขนมปังอบ วาห์นไม่ชอบรสชาติของกาแฟเท่าไหร่นัก แต่หลังจากที่โคลอี้แสดงวิธีเพิ่มครีมและน้ำตาลให้ดู เขาก็เริ่มที่จะสนุกไปกับมัน
“เนียยยอ้ามมม~” ในขณะที่เขาเริ่มเพลิดเพลินไปกับกาแฟ โคลอี้ก็ชูคุกกี้รูปปลาขนาดเล็กมาที่ปากของเขา
วาห์นจ้องไปที่คุกกี้ขณะที่โคลอี้มองสีหน้าของเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง หลังจากนั้นไม่กี่วินาที… เขาก็ยอมให้เธอป้อนคุกกี้และเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย มันคือการผสมผสานระหว่างความหวาน ความเค็มและมีรสสัมผัสที่กรุบกรอบ อร่อยเอาเรื่องเลยทีเดียว
โคลอี้หัวเราะขณะมองดูเขาลิ้มรสคุกกี้ “นายเป็นคนที่ชอบอาหารมากเลยใช่ไหม~? งั้นต่อไปลองจุ่มคุกกี้ลงในกาแฟดูสิ” เธอส่งคุกกี้อีกอันให้และรอให้เขาลองทำดู
วาห์นทำตามคำแนะนำของเธอ เขาแช่คุกกี้ลงในกาแฟก่อนที่จะเอามันใส่ปากและแปลกใจมากที่การรวมกันของสองรสชาตินี้ส่งเสริมกันเองได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา โคลอี้ก็แสดงรอยยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง “เห็นไหม แม้ว่าบางอย่างจะมีดีที่ตัวมันเองอยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีขึ้นอีกไม่ได้เมื่อเพิ่มบางอย่างเข้าไป บางครั้งการรวมกันของสองสิ่งก็สามารถนำเอาคุณสมบัติที่ดีที่สุดของทั้งคู่ออกมาได้”
วาห์นพยักหน้าและจุ่มคุกกี้ลงในกาแฟอีกครั้ง หลังจากลองอะไรอีกสองสามอย่าง เขาก็เห็นด้วยกับโคลอี้ เมื่อเห็นว่าเธอยังมองเขาอยู่ วาห์นลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นคุกกี้ไปทางเธอ
“อะ-อ้ามมม-” เขาเขินหน้าแดงและรู้สึกอึดอัดกับการพยายามเลียนแบบเธอเมื่อกี้
*งั่ม*
ก่อนที่มือของเขาจะเข้ามาใกล้ โคลอี้ก็โน้มตัวไปข้างหน้าและงับคุกกี้อย่างช้าๆ เธอขยิบตาให้เขาก่อนจะทานคุกกี้พร้อมจิบกาแฟ
วาห์นยังคงจ้องพร้อมกับมือที่ยื่นค้างไว้ ในขณะที่มองเธอกลืนคุกกี้ เมื่อเห็นสีหน้าของเขา โคลอี้ก็เริ่มปิดปากและหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณนะวาห์น อร่อยมากเลยล่ะ~เมี๊ยว”
หลังจากที่พวกเขาออกจากคาเฟ่ โคลอี้ก็จับมือของวาห์นอีกครั้งและพาเขาไปที่ร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายที่มีทั้งชุดสำหรับนักผจญภัยและชุดลำลอง แม้ในตอนแรกวาห์นจะให้ความสนใจกับชุดนักผจญภัยมากกว่า แต่โคลอี้ก็ลากเขาไปที่โซนชุดลำลองและเริ่มทาบมันกับตัวของเขา
“นายมีผมสีเข้มแต่ดวงตาของนายเป็นสีฟ้าน้ำทะเล… ถ้างั้นลองสีพีชดีไหมนะ~? ไม่สิ ดูนุ่มเกินไป… เอาเป็นสีเขียวแบบธรรมชาติที่เข้ากับสีตาของนายจะดีกว่าไหมนะ~ เมี๊ยว? ” เธอเทียบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสองตัวไปมาและรอการตัดสินใจของเขา
วาห์นตัดสินใจเลือกเสื้อสีเขียวเพราะเธอบอกว่ามันเข้ากับสีตาของเขา เธอพยักหน้าพร้อมกับหยิบเสื้อทั้งสองตัวออกมาและแขวนมันไว้ที่ชั้นวางถัดจากห้องลองชุด เธอยังคงเลือกเสื้อผ้าแบบอื่นๆ ในขณะที่ถามความคิดเห็นของวาห์น เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเลือกมาหนึ่งอย่าง เธอก็จะมองเข้าไปในดวงตาของเขาเสมอก่อนที่จะหยิบอันที่เขาเลือกหรือไม่ก็หยิบมาทั้งสองอย่างเลย
วาห์นสับสนว่าทำไมเธอถึงถามความคิดเห็นของเขาเพราะสุดท้ายเธอก็เป็นคนจัดการเองอยู่ดี…
หลังจากเลือกเสื้อเชิ้ตมา 7 ตัว, กางเกงทรงหลวม 3 ตัว, กางเกงขายาว 1 ตัว และกางเกงขาสั้นที่มีกระเป๋ามากมากอีก 1 ตัว เธอก็บังคับให้วาห์นเข้าไปที่ห้องลองชุด เธอบอกว่าเขาจะไม่สามารถออกมาได้จนกว่าจะลองเสื้อผ้าและเทียบมันในกระจกจนครบทุกตัว เมื่อเขาพอใจกับการแต่งตัวแล้วเท่านั้นเธอถึงจะยอมปล่อยเขาออกมา
ตอนที่เขาอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า วาห์นก็จ้องไปที่กองเสื้อผ้าแบบเซ็งๆ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเสื้อผ้าหรือแม้แต่การเลือกใส่ให้มันเข้าชุดกันเลยแม้แต่น้อย เขาส่ายหัวก่อนจะหยิบเสื้อตัวแรกที่เลือกตอนเข้ามาในร้าน หลังจากถอดเสื้อคลุมถักเงาไหมออกแล้ว วาห์นก็สวมเสื้อรัดรูปที่ดูหลวมเล็กน้อยก่อนจะตรวจดูตัวเองในกระจกเป็นครั้งแรก
สิ่งแรกที่เขามองเห็นก็คือสีหน้าตกใจของตัวเอง ไม่ใช่ที่เสื้อแต่เป็นการได้เห็นร่างกายของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในพื้นผิวสีเงิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นภาพสะท้อนของตัวเองเนื่องจากเคยมองกระจกที่ดีกว่านี้ในชีวิตก่อนมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นตัวเองหลังจากเดินทางมาที่โลกใบนี้ เขาค่อยๆ ยื่นมือไปแตะพื้นผิวของกระจกราวกับจะยืนยันว่าคนที่สะท้อนออกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวเขาจริงๆ…
เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผอมแห้งที่พิการทางขา และมีสีผิวโปร่งใสอีกแล้ว บัดนี้เขาเห็นชายหนุ่มที่มีผิวสีแทนเล็กน้อยและมีรูปร่างที่สมส่วน เส้นผมที่ขาดหายไปในชีวิตก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวกระเซอะกระเซิงอยู่บนหัวของเขา ภายในเรือนผมด้านหน้าที่ยาวรุงรังนั้นจะมีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่หนึ่งที่จ้องมองมาทางเขา มันช่างต่างจากภาพไร้ชีวิตที่เขาเห็นในความทรงจำตอนนี้ดวงตาของเขาดูสุกสว่างมากแม้จะดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวามากก็ตาม แต่เขาก็มองเห็นความหวังและความมุ่งมั่นที่เคยขาดหายไปในแววตาสีเข้มนั่น หลังจากจ้องมองไปสักระยะ เขาก็มองเห็นภาพลางๆ ของนักรบที่ดูดุดันภายในดวงตาคู่นั้น…
(“นี่คือตัวเราเอง ร่างกายที่เราได้รับเมื่อถือกำเนิดใหม่บนในโลกใบนี้… ผลของการฝึกและความพยายามทั้งหมดของเรา เราไม่ใช่เด็กผู้ชายที่ตายอย่างอนารถอีกแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่ถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนที่เห็นเราเป็นแค่สินค้าหายากอีกแล้ว เราได้ก้าวข้ามชีวิตตอนนั้นหรือแม้กระทั่งโลกใบนั้นมาแล้ว…”)
เพื่อตอบรับในสิ่งที่เขาพูดออกมาในใจ พี่สาวจึงพูดเสริมขึ้น
(*ใช่แล้ววาห์น เธอไม่ได้ถูกผูกมัดเข้ากับชะตากรรมอันน่าเศร้านั่นอีกแล้ว เธอสามารถทำทุกอย่างได้อย่างอิสระและใช้ชีวิตตามที่เธอเลือกเอง ตราบใดที่เธอไม่ยอมแพ้ จะไม่มีสิ่งใดที่ขวางทางเธอกับ ‘เดอะพาธ’ ได้เลย*)
วาห์นพยักหน้ารับพร้อมกับมองไปที่ภาพสะท้อนของตัวเองอีกครั้ง… แล้วก็ยิ้มออกมา
หลังจากนั้นไม่กี่นาที วาห์นก็ออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า โคลอี้ลุกขึ้นมาจากที่ที่เธอนั่งรออยู่ ตรวจสอบวาห์นก่อนจะพยักหน้าอย่างชื่นชม “พวกเขาเคยพูดกันว่าคนงามเพราะแต่งและดูท่าจะเป็นความจริงอยู่นะ~เมี๊ยว”
เมื่อเปรียบเทียบกับชุดสีดำทั้งตัวที่เคยใส่ ตอนนี้วาห์นใส่เสื้อเชิ้ตคอปกที่มีกระดุมสี่เม็ดซึ่งวาห์นกลัดเอาไว้แค่สองเม็ด จากการเกงขาดๆ ที่มีรอยเปื้อน ตอนนี้เขาใส่กางเกงทรงหลวมสีดำที่ดูสะอาดสะอ้านพร้อมลายปักเล็กน้อยตรงด้านข้าง เนื่องจากรูปร่างที่แข็งแรงและหน้าตาที่หล่อเหลา วาห์นจึงดูโดดเด่นมากแต่เป็นคนละเหตุผลกับตอนก่อนหน้านี้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของเขาซึ่งตอนนี้มันแฝงไปด้วยความมั่นใจเล็กน้อย
วาห์นยิ้มให้กับหญิงสาวที่ยิ้มตอบเขาเช่นกัน “ขอบคุณนะโคลอี้ ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าสามารถเปลี่ยนความรู้สึกของคนได้จริงๆ ด้วย”
รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วก็กว้างมากกว่าเดิมขณะที่เธอพุ่งเข้าไปคล้องแขนของเขาเอาไว้
“เนียะฮะฮะฮ่า ใช่ไหมล่ะ~? ใช่ไหมๆ~? รู้อยู่แล้วว่านายต้องเข้าใจแน่~เมี๊ยว!”
ตอนนี้วาห์นไม่นิ่งค้างจากการถูกสัมผัสอีกแล้ว เขากลับมองไปทางเธอก่อนที่จะหยิบเสื้อผ้าทั้งหมดและพาเธอไปที่แคชเชียร์ เธอทำได้แต่เพียงยิ้มและยอมให้วาห์นเป็นคนนำทาง
แม้โคลอี้จะเสนอให้ตัวเองเป็นผู้จ่ายค่าเสื้อผ้าเพราะมันเป็นความคิดของเธอ แต่วาห์นก็ปฏิเสธและกล่าวว่า “นี่อาจเป็นความคิดของเธอก็จริง แต่ผมเป็นคนตัดสินใจที่จะซื้อเสื้อผ้าพวกนี้เอง ผมต่างหากเป็นหนี้จากการที่เธอพามานี่ในวันนี้ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนได้บางอย่างที่เคยเสียไปแล้วกลับมาเลย…”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เธอเพียงแค่กอดแขนของเขาเบาๆ เหมือนเป็นการตอบกลับในขณะที่แคชเชียร์จ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
(“เจ้าคู่นี้คิดจะมาทำอะไรในนี้กันเนี่ย!? พวกเขาไม่เห็นจริงๆ เหรอว่ากำลังทำให้ลูกค้าคนอื่นอึดอัดไปหมดแล้ว!”) เธอรีบคิดเงินให้ไวที่สุดราวกับจะไล่ให้พวกเขาออกไปเร็วๆ
วาห์นออกจากร้านขายเสื้อผ้าพร้อมกับโคลอี้ที่กอดแขนซ้ายของเขาเอาไว้ ส่วนแขนขวาก็เต็มไปด้วยถุงใส่เสื้อผ้ามากมาย โคลอี้มองมาที่เขาแล้วถามขึ้น “คราวนี้จะไปไหนต่อดีล่ะ~เมี๊ยว”
วาห์นมองไปที่เธอในขณะที่เริ่มรู้สึกคันตรงหน้าผากของเขา “ผมว่าจะไปตัดผมซะหน่อย” เขายิ้มขณะที่โคลอี้หัวเราะออกมา
โคลอี้บอกทางให้วาห์นรู้และปล่อยให้เขาเป็นคนเดินนำ พวกเขาพบร้านทำผมและโคลอี้ก็สั่งอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างก่อนที่จะยอมให้ช่างทำผมที่เริ่มจิตตกเข้ามาตัดผมของวาห์น ในตอนท้ายนั้น ผมที่กระเซอะกระเซิงของเขาก็ถูกเล็มและตกแต่งจนเป็นทรงที่โคลอี้ตั้งชื่อให้ว่า สไตล์ ‘อิสระ’ และ สไตล์ ‘ดิบๆ’
วาห์นสังเกตว่าโคลอี้นั้นอยู่ไม่สุขเลยในขณะที่ช่างทำผมกำลังตัดแต่งครั้งสุดท้าย เขามองเห็นสายตา ‘นักล่า’ คล้ายกับเมื่อตอนที่พบกันครั้งแรก แต่คราวนี้เขากลับไม่รู้สึกขนลุกแบบตอนนั้นแล้ว เขาเพียงแค่ยิ้มกลับซึ่งทำให้หูของเธอกระดิกอย่างรุนแรง
เมื่อวาห์นเป็นอิสระจากเก้าอี้ โคลอี้ก็รีบจ่ายเงินให้กับช่างทำผมแถมยังให้ทิปพิเศษอีกด้วย
พวกเขาเดินเที่ยวไปรอบๆ ด้วยกันตลอดทั้งวัน เข้าดูร้านค้าต่างๆ และซื้อทุกอย่างที่พวกเขาสนใจ ในตอนท้ายนั้นเงินของวาห์นก็เริ่มเหลือน้อยเต็มทีแต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจเพราะวันนี้เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำที่สุดจากทั้งสองชีวิตของเขา เขารู้สึกว่าตราบใดที่ยังเก็บรักษาความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ เขาจะสามารถทิ้งความทรงจำอันเจ็บปวดไว้ข้างหลังได้
ขณะที่พวกเขายังคงเดินไปรอบๆ หอคอย วาห์นก็มองไปที่โคลอี้เป็นระยะ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอเห็นเขามองมา เธอก็จะยิ้มตอบแบบเรียบง่ายๆ มันเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งก่อนที่พวกเขาจะมาถึงจุดหมายสุดท้ายของการเดต
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว และพวกเขาก็ยืนอยู่บนแท่นชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นส่วนตะวันตกทั้งหมดของเมืองได้ พวกเขาผลัดกันชี้ไปยังสถานที่ต่างๆ ที่จำได้และพูดคุยกันเล็กน้อยขณะดูดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
เมื่อประกายแสงสุดท้ายจางหายไป วาห์นก็มองตรงไปยังโคลอี้ เขารู้สึกว่ามีเรื่องอยากจะบอกเธอมากมายเหลือเกิน แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถพูดสิ่งที่ตนรู้สึกออกมาได้ สิ่งที่เขารู้ก็คือเขาเป็นหนี้บุญคุณเธอซึ่งยังไม่แน่ใจเลยว่าชดใช้ได้หมดเมื่อไหร่
โคลอี้มองตอบพร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยนอย่างเคยซึ่งสิ่งนี้เองที่ช่วยให้เขากะเทาะเปลือกออกมาจากเรื่องเลวร้ายที่ฉุดรั้งเขาจากตั้งแต่ชีวิตก่อน เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น วาห์นก็รู้สึกว่าเขาสามารถต่อสู้กับโลกทั้งใบได้หากมันจะทำให้รอยยิ้มนั้นคงอยู่ต่อไปอีกสักพัก
เขารวบรวมความกล้าทั้งหมดและเตรียมใจอย่างหนักแน่น “โคลอี้… คือผม-”
ก่อนที่เขาจะพูดต่อ โคลอี้ก็จับหัวของเขาและดึงมันเข้ามาในอ้อมอกของเธอ เธอประคองเขาอย่างอ่อนโยนขณะที่ลูบหัวของเขาอย่างช้าๆ ความคิดของวาห์นเตลิดเปิดเปิงไปหมด ในขณะที่เขาน้อมรับการโอบกอดของเธอ… หลังผ่านไปหลายนาที เธอก็เงยหน้าของเขาขึ้นก่อนจะจูบที่หน้าผากและเผยรอยยิ้มอ่อนโยนนั่นอีกครั้ง…
“ยังมีอีกหลายอย่างที่นายต้องค้นพบก่อนจะพูดคำนั้นออกมานะ ความรู้สึกทั้งหมดของนายในตอนนี้ต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่นายจะเข้าใจมันได้ดี สำหรับตอนนี้ ให้นายตั้งใจค้นหาเส้นทางและเป้าหมายของชีวิตไปก่อนเถอะ เมื่อนายเข้าใจมันและแข็งแกร่งพอที่จะแบ่งเบาภาระของคนอื่นได้… ถ้าความรู้สึกของนายยังคงไม่เปลี่ยนไป… ถึงตอนนั้นนายค่อยเอ่ยมันออกมาอีกครั้งเถอะ… แต่ฉันไม่สัญญาหรอกนะว่าจะยอมรับมันเมื่อเวลานั้นมาถึงน่ะ~เมี๊ยว” เธอจูบเขาที่หน้าผากอีกครั้งก่อนที่จะหันกลับและหายไปในแสงยามค่ำคืน
วาห์นยังคงจ้องมองไปยังที่ที่ร่างนั้นหายไปในขณะที่ความคิดมากมายกำลังวิ่งอยู่ภายในหัว เขาเปลี่ยนคำพูดของเธอให้เป็นความมุ่งมั่นและนำมันไปใส่ไว้ตรงความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นจากการบอกลาของเธอ เขากำหมัดแน่นและชูมันไปที่ดวงจันทร์ซึ่งกำลังเฉิดฉายอยู่ในหมู่ดาวระยิบระยับ แรงบันดาลใจผุดขึ้นจากการปรากฏตัวของลูกกลมๆ สีขาวบนท้องฟ้า เขาขยายมือออกราวกับจะคว้ามันไว้และชิงมันมาจากอ้อมกอดของท้องฟ้าอันมืดมิด…
“เราต้องแข็งแกร่งกว่านี้… แข็งแกร่งกว่าทุกคน เราจะไขว่คว้าชะตาของตัวเองด้วยมือข้างนี้และเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างที่เข้ามาขวางเส้นทางชีวิตของเรา… รวมไปถึงเส้นทางของคนที่เรารักด้วย”
สายลมเย็นพัดผ่านท้องฟ้าและผ่านมายังสถานที่ที่เด็กหนุ่มเคยยืนอยู่ หลังจากพูดสิ่งที่ต้องการพูดออกไปแล้ว เขาก็เดินไปสู่เส้นทางที่โคลอี้ทิ้งไว้ข้างหลัง ไปสู่ดันเจี้ยนซึ่งเป็นที่ที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเอง
—————