Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 3
ภายในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด สติสัมปชัญญะของวาห์นก็เริ่มตื่นขึ้น
ความทรงจำจากในชีวิตของเขาก็เริ่มหลั่งไหลกลับเข้ามาภายใจจิตใจดั่งภาพลานตา เขาได้ประสบกับช่วงเวลาแห่งความตายของตนเองอีกครั้งรวมไปถึงการทดลองทุกอย่างที่เขาเคยได้รับ ความคิด ความเจ็บปวด อารมณ์ และความทรมานนานับประการที่ถูกขังอยู่ภายในจิตใจก็ย้อนกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง เขาเริ่มที่จะ “กรีดร้อง” ด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าเป็นไปได้ ในขณะที่ความเจ็บปวดก็แผ่กระจายไปทั่วร่างที่ไม่มีอยู่จริงของเขา ราวกับจะพยายามลบล้างตัวตนของเขาให้หายไป
‘เจ็บจังเลย’
เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ ภาพเหล่านั้นได้มาปรากฏอยู่ตรงกลางของภาพลานตาพอดี เขาจดจำเวลาที่เหล่าแพทย์ทำการตัดขาของเขาทิ้งเพื่อกันไม่ให้เขาไปไหนมาไหนได้สะดวก เขาจดจำกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามทดสอบ ‘การฟื้นฟู’ ของเขาโดยการตัดและเผาผิวหนังบางส่วนของเขา เขาจดจำเวลาที่เขาพยายามจะฆ่าตัวตายแต่กลับถูกจำกัดการเคลื่อนไหวที่ปกติก็แทบจะไม่มีอยู่แล้วแทน
‘เราไม่สมควรโดนอะไรแบบนี้ ไม่มีใครสมควรโดนอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ’
ในขณะที่เหตุการณ์ยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจของเขา ภาพลานตาก็ค่อยๆ สลายหายไป ความเจ็บปวดที่กระจายไปทั่วร่างของเขาก็เริ่มเบาบางลงและจิตของเขาก็รู้สึกปล่อยวางและเฝ้ารอการปลดปล่อยจากความเจ็บปวดทั้งมวล
‘ทำไมเราถึงต้องมาทรมานแบบนี้ด้วยนะ… ไม่ยุติธรรมเลย’
ตอนนี้ภาพลานตาเริ่มแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซึ่งกระจายออกเป็นภาพหลายส่วนและลอยออกไปนอกการมองเห็นของเขา เขาพยายามไม่ดูส่วนของภาพเหล่านั้นอีก ความเจ็บปวดจึงค่อยๆ มลายหายไป
‘เราไม่ควรเกิดมาเลย…’
วาห์นปล่อยให้จิตใจของเขาล่องลอยเข้าไปในภาพลานตา เขาเริ่มมองเข้าไปในความมืดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา มันคือสิ่งที่ทำให้ความหวาดกลัวสะท้อนไปทั่วจิตใจของเขา
‘เราไม่ควรมีชีวิตอยู่… ชีวิตของเรามันมีความหมายอะไรกัน? ก็แค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของคนอื่น… เกลียด… เราเกลียดพวกมัน!!! พวกมันควรจะต้องมาทนทุกข์ ไม่ใช่เราสิ!!!’
ภาพลานตายิ่งกระจายออกไปไกลกว่าเดิม เหลือไว้แต่เพียงเศษภาพเล็กน้อยที่ล่องลอยอยู่ในความมืด วาห์นยังคงจ้องมองไปที่ก้นบึ้งของนรก ความรู้สึกอันแรงกล้าเริ่มเข้ามาบดบังความหวาดกลัว เขาปฏิเสธที่จะมองภาพที่สร้างแต่ความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียว แต่ละภาพเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ และพร้อมกันนั้น ตัวของวาห์นก็เริ่มจางหายไปเช่นกัน
‘เราแค่… อยากจะเป็นอิสระเท่านั้นเอง…’
ตอนนี้เหลือเพียงภาพๆ เดียวเท่านั้นที่จมอยู่ในความมืดมิด วาห์นรู้สึกได้จากสัญชาตญาณว่าถ้าภาพนั้นเลือนหายไปเมื่อไหร่ ทุกอย่างที่เคยบ่งบอกว่าเขาเป็นใคร รวมไปถึงการมีตัวตนของเขาเอง ก็จะจางหายกลับไปสู่ความว่างเปล่า
‘ในที่สุดเราก็ไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไปแล้ว…’
เขาปิดสิ่งที่เขาคิดว่าเป็น ‘ดวงตา’ และรอให้จุดสิ้นสุดมาถึง เขาไม่ได้รู้สึกพึงพอใจแต่อย่างใด มีแต่เพียงความเย็นชาที่เด็กอายุสิบสี่ปีไม่ควรจะมี
…
หลังจากรอเวลาที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ไปสักระยะ วาห์นกลับรู้สึกถึงความอึดอัด เขารู้สึกราวกับว่ามันเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่จุดจบก็ยังมาไม่ถึงเสียที ภายในความมืดมิด ภาพๆ หนึ่งยังคงไม่หายไป นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ป้อมปราการแห่งความเจ็บปวดด่านสุดท้ายที่เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของเขา ในที่สุดเขาก็ยอมจำนนต่อความไม่สงบภายในใจ วาห์นกัด ‘ฟัน’ และเพ่งมองไปที่ภาพภาพนั้นราวกับจะยอมรับความเจ็บปวดของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย
แต่สิ่งที่เห็นนั้นได้สร้างประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาเห็นฉากที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เป็นบางอย่างที่อยู่นอกขอบเขตความทรงจำของเขา ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด มีแต่ความถวิลหาและความรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป เขาจ้องมองไปยังภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่หลั่งน้ำตาให้กับทารกน้อยในอ้อมกอดของเธอ สิ่งอื่นภายในฉากนั้นพร่ามัวไปหมด มีแต่ตัวของหญิงสาวเท่านั้นที่มีรูปร่างชัดเจน เขารู้สึกผูกพันกับหญิงสาวคนนี้ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยพบมาอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของเขากำลังร้องไห้ออกมาในขณะที่ความรู้สึกถวิลหาก็ทำให้เขาตะลึงงันไปหมด
“แม่จะรักลูกไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงนะ… วาห์น”
ทันใดนั้นเอง ความมืดมิดทั้งหมดก็แตกสลายไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเด็กน้อยที่กำลังนอนร้องไห้ตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นสีขาวที่ไม่มีที่สิ้นสุด วาห์นจ้องมองไปที่ภาพด้วยสัมผัสทุกอย่างที่เขามีในขณะที่หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและลูบไล้ใบหน้าของเขา เขามองดูในขณะที่พลังกายของเธอเริ่มถดถอยลง ทำให้การแสดงความรักใคร่ทุกอย่างที่หญิงสาวมีต่อเขานั้นหยุดลงพร้อมกับมือที่ตกลงไปอย่างช้าๆ เขากรีดร้องราวกับว่าตัวเองเป็นตัวแทนของความทุกข์ทรมานและการสูญเสียทั้งปวง เขาเริ่มตระหนักว่าหญิงสาวที่เขาไม่เคยพบมาก่อนเลยผู้นี้ก็คือแม่ของเขา เป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่เคยรักเขาอย่างแท้จริง เขาจ้องมองไปยังภาพที่ตอนนี้เป็นสิ่งเดียวในโลกที่เขาสนใจในขณะที่มันเริ่มเสื่อมสลายลงอย่างช้าๆ เขากรีดร้องอย่างต่อเนื่องด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจทั้งหมดที่ตนมีเพื่อไม่ให้ภาพจางหายไป
‘แม่… แม่ครับ ได้โปรดอย่าไปนะ! ได้โปรดอย่าทิ้งผมไป!’
เขาเฝ้ามองในขณะภาพเริ่มจางหายไป แม้จะเอื้อมไปจับแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ และแล้วภาพๆ นี้ก็หวนกลับไปสู่ความว่างเปล่า
ความว่างเปล่าที่ลึกยิ่งกว่าเหวนรกอันดำมืดที่เขาเคยเฝ้ามองก็ได้ผุดขึ้นมาในใจของเขา แม้ว่าภาพลานตาจะจางหายไปหมดแล้ว แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะปล่อยให้ ‘ความทรงจำ’ จางหายออกไปจากจิตใจของเขา เขากำลังนั่งอยู่บนพื้นสีขาวขนาดใหญ่ น้ำตาไหลลงมาจากใบหน้าไม่หยุดในขณะที่เสียงร่ำไห้เบาๆ ก็เล็ดลอดออกมาจากลำคอของเขา ภาพของผู้เป็นแม่ที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ด้วยกลายเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวการมีตัวตนของเขาเอาไว้
(เด็กน้อยที่น่าสงสาร)
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นภายในความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่แห่งนี้ เมื่อสังเกตเห็นเด็กหนุ่มร่างกายผอมแห้งจากมุมสูง แหล่งที่มาของเสียงก็เริ่มเข้ามาใกล้เขา
(เจ้าได้ประสบกับความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงที่มากเกินกว่าวิญญาณทั่วไปนัก ได้โปรดเถิด ขอให้ข้าได้ช่วยเหลือเจ้า)
เด็กหนุ่มนั่งอยู่โดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยในขณะที่เขาจ้องมองเข้าไปในความว่างเปล่านั้น ตอนนี้น้ำตาได้แห้งเหือดลงแล้วแต่ก็ยังมีร่องรอยเหลืออยู่ที่ใบหน้าของเขา เสียงร่ำไห้จากความเจ็บปวดที่ทุกข์ทนมานาน ตอนนี้กลับกลายเป็นแค่ความทรงจำที่เลือนลาง
(ได้โปรดเถอะเด็กน้อย เจ้านั่งอยู่บนพื้นนั่นมาสามปีแล้วนะ โปรดให้ข้าได้ช่วยเจ้าเถอะ ข้าทนเห็นเจ้าทรมานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว)
เสียงที่พูดถอนหายใจเพราะไม่สามารถกระตุ้นให้เด็กหนุ่มมาสนใจได้ มันเริ่มสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้โดยไม่แน่ใจว่าการนำกรรมของเด็กหนุ่มมาสู่จุดสิ้นสุดและทำให้ชีวิตของเขาจบลงนั้นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มก็โหยหาสิ่งนี้มาตั้งนานแล้ว มันเชื่อว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง มันไม่ได้คาดคิดว่าในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังเฝ้าดู ‘วงล้อภาพลานตาแห่งกรรม’ วิญญาณของเขาก็เกือบจะสลายหายไป เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณของเขาหายไป เสียงดังกล่าวจึงได้สร้างรากเพื่อยื้อวิญญาณของเด็กหนุ่มเอาไว้ด้วยความทรงจำสุดท้ายของเด็กหนุ่มเพื่อกอบกู้สถานการณ์นี้ มันไม่คาดคิดเลยว่าความพยายามครั้งนี้ออกจะประสบความสำเร็จมากเกินไปหน่อย มันกลับทำให้เด็กหนุ่มยึดติดกับความทรงจำของผู้เป็นแม่อย่างเหนียวแน่น ตอนนี้เด็กหนุ่มนั่งโดยไม่ยอมขยับไปไหนซึ่งทำให้เสียงดังกล่าวออกไปจากที่แห่งนี้ไม่ได้เช่นกัน
(…ชื่อของหญิงสาวคนนั้นคือเอเดรียน มารดาของเจ้าเอง)
เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มขยับเขยื้อน
(รู้ไหมว่าตัวนางเองก็รู้ดี ว่าการให้กำเนิดเจ้านั้นย่อมเกิดความยุ่งยากแน่นอน)
เด็กหนุ่มหันไปที่เสียงนั่นอย่างช้าๆ ราวกับว่าแต่ละคำพูดสามารถดึงดูดจิตวิญญาณของเขาให้เข้าหามันได้
(นางป่วยหนักมากและหลังจากที่นางตั้งครรภ์ แพทย์และครอบครัวของนางต่างส่งเสริมให้นางทำแท้ง พวกเขากลัวว่าการตั้งครรภ์นั้นจะอันตรายเกินไป และแม้ว่านางอาจให้กำเนิดเจ้าออกมาได้ นางก็คงต้องเสียชีวิตอยู่)
ตอนนี้เด็กหนุ่มจ้องต้นกำเนิดของเสียงนั้นอย่างไม่วางตา ต่อหน้าเขากลับกลายเป็นหญิงสาวที่งดงามไปแล้ว ผมของเธอนั้นสั้นและดูราวกับของเหลวสีเงินที่สะท้อนแสงไปมา หากจ้องมองเธอไปตรงๆ ก็จะพบใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเธอจะทั้งสูงแต่ว่าเตี้ย ท้วมแต่ว่าผอม เสื้อผ้าอาภรณ์ของเธอเหมือนกับจะถูกหลอมรวมกับสิ่งที่ควรเป็นร่างกายของเธอ
ราวกับว่ากายเนื้อนี้ประกอบไปด้วยขนนกและฝุ่นละอองเท่านั้น
(ไม่ว่าใครจะบอกอะไรนางก็ตาม นางก็ยังตั้งใจที่จะให้กำเนิดเจ้าออกมา มันเป็นความเชื่อของนางว่าเด็กทุกคนสมควรได้รับโอกาสเพื่อใช้ชีวิต และนางก็เต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนชีวิตของนางเองเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน)
ดูเหมือนว่าบ่อน้ำตาของเด็กหนุ่มจะถูกเติมเต็มอีกครั้งหลังจากที่เขาได้ฟังคำพูดของหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเขา
(นางรักเจ้ามากจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างทรมาน แต่เจ้าก็ให้ความหมายกับการเสียสละของนาง ข้าไม่อาจขอให้เจ้ารู้สึกขอบคุณนางได้ แต่ข้าอยากขอร้องให้เจ้าเข้าใจว่าชีวิตของเจ้านั้นมีความหมาย เจ้าไม่ได้เกิดมาเพื่อความสะดวกสบายของผู้อื่น แต่เพื่อเป็นการแสดงถึงความรักและความปรารถนาว่าเจ้าจะได้อยู่อย่างเป็นสุข)
เด็กหนุ่มจ้องไปที่หญิงสาวขณะที่เธอกำลังสรุปคำพูด ทั้งเฝ้าดูและรอให้เธอพูดประโยคต่อไป หลังจากเวลาผ่านไปเขาดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจว่าเธอกำลังรอให้เขาพูดอยู่ เขาลดหัวลง และเช็ดน้ำตาเป็นครั้งแรกหลังจากที่มาที่นี่
“คุณเป็นใครกันครับ?” เด็กหนุ่มถาม
หญิงสาวคนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนและมองไปที่เด็กหนุ่ม
(นามของข้าคือคริสช่า เทพีแห่งความฝัน)