Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 30
วาห์นเดินผ่านชั้นแรกของดันเจี้ยนและลงบันไดไปจนถึงทางเข้าของชั้นที่ห้า เนื่องจากเขาสามารถทำได้ดีกว่ากลุ่มนักผจญภัยเลเวล 1 เขาจึงตัดสินว่าดันเจี้ยนสี่ชั้นแรกนั้นไม่เพียงพอต่อการฝึกปรือฝีมือของเขาอีกแล้ว
เมื่อเข้าสู่ชั้นที่ห้า สิ่งแรกที่เขาพบก็คือรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปของดันเจี้ยน ผนังกลับกลายเป็นสีเขียวอ่อนและพื้นก็กลายเป็นสีน้ำตาลทึบสกปรก แสงที่ออกมาจากผนังนั้นเปลี่ยนจากสีฟ้าอ่อนเป็นสีเขียวเรืองแสง
วาห์นเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนพบมอนสเตอร์กลุ่มแรกของชั้นที่ห้า สิ่งที่กระโดดไปมาประมาณ 13 ม. ข้างหน้าก็คือ ‘ฟร็อกชูตเตอร์’ จำนวนสามตัว กบพวกนี้สูงประมาณ 120 ซม. และมีดวงตาที่ปูดโปนขนาดใหญ่ ชื่อของพวกมันมาจากวิธีที่พวกมันใช้โจมตีศัตรูโดยการ ‘ยิง’ ลิ้นออกไปด้วยความแรงมากพอที่จะทำให้หินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สำหรับผู้โชคร้ายที่โดนการโจมตีของมันเข้าไป แค่กระดูกหักนั้นถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว
วาห์นสูดหายใจลึกๆ ก่อนใช้สกิล [จิตแห่งราชัน] และชักดาบออกมา เขาเพิ่มความเร็วของตัวเองในแต่ละก้าวที่วิ่งออกไปเพื่อเข้าประชิดมอนสเตอร์ทั้งสามตัว
พวกมันรู้สึกตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อถูกห้อมล้อมไปด้วยเขตแดนของวาห์น เหล่า ‘ฟร็อกชูตเตอร์’ ทั้งสามจึงพยายามถอยออกไปเพื่อเพิ่มระยะห่าง ตัวที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งของวาห์นมากที่สุดพยายามโจมตีเขาด้วยลิ้นเพื่อหยุดเขา วาห์นให้รางวัลความพยายามของมันด้วยการตัดลิ้นนั้นทิ้งก่อนจะใช้แรงผลักจากการเหวี่ยงดาบเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและผ่ากบที่กำลังร้องทุรนทุรายออกเป็นสองซีก
กบสองตัวที่เหลือพยายามช่วยเพื่อนด้วยการโจมตีจากด้านข้าง แต่เขาก็หลบการจู่โจมนั้นได้ด้วยการเคลื่อนที่ไปด้านข้างเล็กน้อยและเข้าไปอยู่ระหว่างลิ้นทั้งสอง ขณะที่ลิ้นของพวกมันยังกลับมาไม่ถึงตัว พวกมันก็เห็นมนุษย์ที่ใกล้เข้ามาทุกทีพร้อมกับแสงจากดาบในมือที่ทิ้งลำแสงเล็กๆ เอาไว้ตามทางที่มันผ่าน…
วาห์นถอนหายใจออกมา เขาสามารถจัดการ ‘ฟร็อกชูตเตอร์’ ทั้งสามลงได้โดยไม่ต้องสูดลมหายใจครั้งที่สอง เขาใช้เวลาไปทั้งหมดหกวินาทีนับตั้งแต่ที่ชักดาบออกจนถึงตอนที่มอนสเตอร์ทุกตัวกลายเป็นผุยผง
วาห์นเริ่มเข้าใจหลักการของ [จิตแห่งราชัน] ขึ้นมาบ้าง แม้สกิลนี้จะไม่ได้เพิ่มค่าสถานะของเขา แต่มันก็ช่วยเพิ่มระดับความเร็ว ความแข็งแกร่ง และการรับรู้อย่างมากในขณะที่ถูกใช้งานอยู่ มีความแตกต่างระหว่างที่เขาใช้และไม่ได้ใช้สกิลนี้อย่างชัดเจนแม้ว่ามันจะไม่มีส่วนในการเพิ่มค่าสถานะของเขาเลยก็ตาม
อีกเรื่องหนึ่งก็คือหลังจากที่เขาเข้าดันเจี้ยนครั้งที่แล้ว รัศมีเขตแดนของเขาก็เติบโตขึ้นมาจากประมาณ 21 เมตร ไปเป็น 37 เมตร ดูเหมือนว่ามันจะมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างความมุ่งมั่นของเขาและความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้น
หลังจากสังหาร ‘ฟร็อกชูตเตอร์’ ไปกว่า 40 ตัว วาห์นก็พบทางลงไปยังชั้นถัดไป เขาใช้ [จิตแห่งราชัน] ตามความเหมาะสมแทนที่จะเปิดมันไว้ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสกิล แต่เขาต้องการที่จะเพิ่มความเร็วในการไปชั้นที่เหมาะสมสำหรับการฝึกและทดสอบตัวเอง เขาใช้ช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช่สกิลไปกับการฟื้นฟูมานาที่ถูกใช้
เมื่อไปถึงชั้นที่หก วาห์นยังคงไล่กวาด ‘ฟร็อกชูตเตอร์’ ทุกตัวที่เขาเจอ แม้เขาจะสามารถพัฒนาฟุตเวิร์คได้ด้วยการฝึกหลบลิ้นที่พุ่งเข้ามา แต่สุดท้ายเขาก็สลับดาบออกและเปลี่ยนเป็นธนูเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเคลียร์ดันเจี้ยน ดวงตาขนาดใหญ่ของกบยักษ์นั้นเหมาะกับการเป็นเป้าฝึกยิงธนูของเขามาก และเขายังได้ลับฝีมือในการคาดเดาความเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ที่เกิดจากทำงานร่วมกันระหว่าง [ความเชี่ยวชาญด้านธนู] และ [จิตแห่งราชัน] อีกด้วย
เมื่อเข้ามาอยู่ที่ชั้นนี้ได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง วาห์นก็เริ่มชะลอความเร็วลง เขาไม่พบ ‘ฟร็อกชูตเตอร์’ มาเป็นเวลาสิบนาทีแล้วและแสงที่อยู่รอบๆ บริเวณก็มืดลงทุกขณะ สัญชาตญาณของวาห์นบอกให้เขาขยายเขตแดนออกไปให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวที่อยู่ในความมืดได้ เขาหันไปที่จุดๆ นั้นและเตรียมธนูขึ้นมาเพื่อสกัดสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ๆ พวกมันค่อยๆ ออกมาจากเงามืด ‘วอร์ชาโดว์’ มีกรงเล็บแหลมคมราวกับใบมีดอยู่ที่มือทั้งสองข้าง พวกมันดูคล้ายกับรูปปั้นจำลองที่มีคุณสมบัติพื้นฐานทั้งหมดของมนุษย์แต่ไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ อยู่เลย
พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเหมือนกับหุ่นกระบอกก่อนที่จะไปหยุดอยู่นอกเขตแดนของวาห์น เมื่อเขาเห็นวอร์ชาโดว์ตัวหนึ่งยกมือขึ้นมาเพื่อตรวจสอบแรงกดดันของเขตแดน วาห์นก็ยิงธนูไปที่ ‘ดวงตา’ สีขาวบนใบหน้าของมันทันที
*ตู้มมมม!!!*
การระเบิดทำให้มันสลายหายไปและกระแทกวอร์ชาโดว์อีกตัวเข้ากับกำแพงทำให้รูปร่างของมันกลายเป็นแบบกึ่งโปร่งใสและสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนที่วอร์ชาโดว์จะฟื้นตัวขึ้นมา วาห์นก็ใช้ดาบเสียบเข้าที่หัวของมันก่อนมันจะกลายเป็นผุยผงและตายตามเพื่อนไป เขาพ่นจมูกเล็กน้อยในขณะที่เก็บคริสตัลสองก้อนขึ้นมาก่อนจะเห็นวัตถุบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆ
วาห์นเดินไปตรวจสอบและพบสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกรงเล็บข้างหนึ่งของ ‘วอร์ชาโดว์’ อยู่ที่พื้น เขาเข้าใจว่าว่ามันคงเป็นไอเท็มดรอปจึงหยิบมันขึ้นมาและทดสอบความคมของมันก่อนจะโยนเข้าไปในช่องเก็บของของเขา
(“วอร์ชาโดว์น่าจะเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดจากชั้นที่ห้าไปจนถึงชั้นที่เจ็ด) เมื่อดูจากความเร็วในการตอบสนองของพวกมันแล้วคงจะเกาะกลุ่มกันไม่ใหญ่มาก คิดว่าคงไม่เกินกลุ่มละ 5 ตัว”)
วาห์นเดินสำรวจต่อไปเรื่อยๆ และจบลงด้วยการสังหารฟร็อกชูตเตอร์อีก 22 ตัวและวอร์ชาโดว์ 5 ตัว ทำให้ยอดการฆ่ามอนสเตอร์ทั้งสองของเขาเป็น 99 และ 7 ตัวตามลำดับ
(TL: วาห์นฆ่าฟร็อกชูตเตอร์ที่ชั้นหกไปบ้างแล้วก่อนจะเจอกับวอร์ชาโดว์สองตัวแรก ฟร็อกชูตเตอร์อีก 22 ตัวถูกฆ่าเพิ่มหลังจากสู้กับวอร์ชาโดว์สองตัวครับ)
ในที่สุดเขาก็พบทางลงไปยังชั้นถัดไป วาห์นตัดสินใจพักผ่อนเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้วและเขาจำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะนอนพักในดันเจี้ยนหรือกลับขึ้นไปข้างบน หลังจากคิดอยู่ประมาณสองสามนาที เขาก็ตัดสินใจนอนพักในนี้พร้อมกับเปิดเขตแดนทิ้งเอาไว้ เขาบอกให้พี่สาวปลุกเขาหากเขตแดนถูกปิดหรือหากมีศัตรูปรากฏตัวขึ้นเพราะเธอสามารถรับรู้ถึงโลกภายนอกได้จากประสาทสัมผัสที่ใช้ร่วมกับเขาแม้แต่ตอนที่เขากำลังหมดสติ
ถึงเขาจะเป็นคนหลับง่าย แต่การถูกพี่สาวปลุกทุกสองชั่วโมงเนื่องจากเขตแดนหายไปนั้นก็หนักเอาเรื่องอยู่ เขาคิดว่าสองชั่วโมงคงเป็นขีดจำกัดในการเปิดสกิลนี้ในขณะระหว่างที่เขาไม่รู้สึกตัว ต่อไปเขาจะค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาของมันให้นานขึ้น
หลังจากผ่านการหลับๆ ตื่นๆ แบบนี้ถึงสี่ครั้ง วาห์นก็ออกเดินทางต่อ นี่คงเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะใช้เวลาอยู่ในนี้ก่อนจะกลับขึ้นไปข้างบน
บัตรผ่านประตูที่เขาได้รับตอนเข้าเมืองมานั้นใกล้จะหมดอายุแล้ว และเขายังต้องไปติดต่อมิลานเรื่องขยายเวลาเช่าห้องอีกด้วย เขาเริ่มนึกถึงรสชาติอาหารของ ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’ แม้เขาเพิ่งจะไปที่นั่นมาเมื่อสองวันก่อนเอง
ก่อนจะมาถึงที่ชั้น 7 วาห์นตัดสินใจซื้อชุดเกราะเบาจากร้านค้าเพราะรู้ว่าชั้นที่ 7 นั้นมีมอนสเตอร์อยู่มากมายหลายชนิดซึ่งนักผจญภัยอาจต้องรวมกลุ่มกันถึงจะล้มพวกมันลงได้ เขาอาจต้องชดใช้อย่างหนักหากมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากเกินไป
เมื่อตรวจสอบข้อมูลของมอนสเตอร์ในหนังสือที่ซื้อมาแล้ว เขาก็ทราบว่าชั้นนี้จะมีมอนสเตอร์ชนิดใหม่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์
‘คิลเลอร์แอ๊นท์’ หรือมดเพชฌฆาตนั้นมีเปลือกนอกที่ทนทานต่อของมีคมได้ แถมพวกมันยังสามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังพรรคพวกใกล้เคียงเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ด้วย
‘เพอร์เพิลมอธ’ หรือผีเสื้อกลางคืนสี่ม่วงนั้นค่อนข้างอ่อนแอ แต่มันสามารถปล่อยผงพิษออกมาจากปีกซึ่งอาจทำให้เหยื่อเป็นอัมพาตหรือเลือดออกภายในหากกลืนผงนั่นเข้าไป
ตัวสุดท้ายที่เขาต้องรับมือก็คือ
‘นีดเดิ้ลแรบบิท’ หรือกระต่ายมีเขาซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่มีความเร็วสูงและเขาของมันยังมีอำนาจทะลุทะลวงที่สูงมากเช่นกัน ตามที่หนังสือระบุ พวกกระต่ายมักเข้ารุมเหยื่อด้วยจำนวนที่มหาศาลก่อนจะทำให้ร่างของเหยื่อพรุนจากการโจมตีด้วยเขาและกัดกินส่วนที่เหลือของเหยื่อในตอนนั้น
เพื่อรับมือกับมอนสเตอร์แต่ละชนิด วาห์นจึงซื้อ:
[หน้ากากกันโรคระบาด: E] 40 OP
[เสื้อคลุมล้างสถานะ: C] 280 OP
[กริชมิธริล: B] 500 OP
[ถุงมือเหล็กดามัสกัส: C] 380 OP
หน้ากากจะป้องกันไม่ให้เขาสูดดมผงพิษเข้าไปในขณะที่เสื้อคลุมจะทำให้เขาสามารถต้านทานผลกระทบจากสถานะที่ผิดปกติเช่นการถูกพิษได้ ถุงมือและกริชนั้นถูกซื้อมาเพื่อรับมือกับเปลือกของคิลเลอร์แอ๊นท์และความว่องไวของนีดเดิ้ลแรบบิทโดยเฉพาะ เนื่องจากเขาไม่มั่นใจว่าจะโจมตีเป้าหมายขนาดเล็กด้วยดาบที่มีความยาว 130 ซม. ได้แม่นยำหรือเปล่า เขาจึงเลือกใช้อาวุธขนาดเล็กที่มีพลังทะลุทะลวงสูงแทน
เมื่อพอใจกับการเตรียมตัวแล้ว วาห์นก็ตัดสินใจทำอะไรเป็นอย่างสุดท้ายก่อนไปต่อ เขาซื้อ [กระจกยาว: I] 3 OP จากร้านค้าและใช้มันเพื่อตรวจสอบรูปลักษณ์ของตัวเอง วาห์นดูเหมือนจอมวายร้ายเพราะใส่หน้ากากที่มีจมูกแหลมแถมยังมีผ้าคลุมอีก แต่เขาก็ยังคิดว่ามันดูเท่เมื่อเขาถอดหน้ากากออกและแขวนมันไว้ที่คอแบบหลวมๆ เขายิ้มเล็กน้อยก่อนเก็บกระจกและเดินไปยังทางเข้าชั้นที่เจ็ด
รูปแบบของชั้นที่เจ็ดนั้นคล้ายกับชั้นที่หกและห้ายกเว้นแต่เพดานที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดันเจี้ยนชั้นนี้สามารถให้กำเนิดมอนสเตอร์ได้ครั้งละมากๆ แต่วาห์นก็เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่นยกเว้นกับตอนที่เจอนีดเดิ้ลแรบบิท เขาประสบปัญหาในการแทงร่างเล็กๆ ของพวกมันก็เลยเปลี่ยนอาวุธเป็นดาบในบางครั้งเพื่ออาศัยระยะการโจมตีที่มากกว่าเดิมและชิงความได้เปรียบคืนมา
หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง เขาจึงใช้ความสามารถของเขตแดนเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเจ้ากระต่ายก่อนที่พวกมันจะโดดไปที่กำแพงและดีดตัวใส่เขาอีกครั้ง วิธีนี้ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ เขตแดนทำให้กระต่ายที่กำลังโดดใส่กำแพงกลับตัวไม่ทัน เขาของพวกมันเลยพุ่งเขาไปติดกำแพงอย่างน่าตลก เมื่อพวกมันเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ววาห์นก็เข้าไปปลิดชีพพวกมัน ถือเป็นการปิดเกมอย่างง่ายดาย
หลังจากต่อสู้ที่ชั้นเจ็ดเป็นเวลาสี่ถึงห้าชั่วโมง เขาก็มาถึงบันไดทางออก แม้เขาจะเริ่มคุ้นเคยกับรูปแบบการโจมตีของมอนสเตอน์ในชั้นนี้แล้ว แต่การพบกับกลุ่มมอนสเตอร์ที่มีจำนวนมากเกินไปก็ยังสร้างความลำบากให้เขาอยู่พอสมควร เขาถึงกับต้องทาน ‘ถั่วเซียน’ หลังจากที่หลบการโจมตีของเจ้ากระต่ายไม่สำเร็จและถูกมันแทงเข้าไปแถวบริเวณซี่โครง การโจมตีครั้งนั้นไม่เพียงแค่ทำให้ซี่โครงหัก แต่มันยังทิ่มเข้าไปในปอดจนเกิดสภาวะล้มเหลว เขาต้องรีบถอดหน้ากากออกอย่างทุลักทุเลก่อนจะคว้าถั่วเซียนเข้าปากเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง
สาเหตุเฉียดตายในครั้งนี้ทำให้วาห์นรู้สึกได้ถึงพลังของเขตแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนและเดินหน้าต่อจนกระทั่งสังหารกระต่ายไปกว่า 50 ตัวก่อนที่จะหมดแรงและต้องหยุดพัก ระหว่างพักนั้น ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้ใช้ความสามารถในการอำพรางตัวและทำให้ร่างกายกลืนไปกับเงามืดของก้อนหินที่ยื่นออกมาจากผนังใกล้ตัว
เมื่อเข้ามาที่บันได วาห์นก็ตรวจสอบเวลาและเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว พอคิดอยู่สักครู่จึงตัดสินใจได้ว่าเป็นเวลาดีที่จะออกจากดันเจี้ยน เขาเดินขึ้นบันไดอย่างไม่เร่งรีบซึ่งจะทำให้เขาไปถึงทางออกภายในครึ่งชั่วโมง
หลังจากผ่านทางเข้าชั้นหกและห้า วาห์นก็เข้ามาใกล้มาถึงทางเข้าชั้นที่สี่ ตรงด้านหน้าที่ไกลออกไป เขาพบกลุ่มนักผจญภัยกำลังพักกันอยู่ที่ส่วนทางเชื่อม วาห์นไม่ได้สนใจพวกเขามากนักและเดินต่อเพราะพวกนั้นก็ไม่ได้หันมาสนใจเขาเหมือนกัน แต่ทว่าร่างๆ หนึ่งได้ดึงดูดความสนใจของเขามากเสียจนต้องหยุดเดิน
วาห์นมองเห็นร่างของชายสามคนและเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ขดตัวอยู่บนพื้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยถูกทุบตีและรอยช้ำ เธอนอนขดตัวจนแทบจะเป็นวงกลมเพื่อป้องกันไม่ให้ชายทั้งสามโจมตีส่วนที่เป็นลำตัวของเธอ ราวกับรู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ เธอเปิดดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นข้างที่ยังไม่บวมขึ้นและมองตรงมาที่เขา แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาสามารถมองเห็นความสิ้นหวังในแววตานั้นราวกับว่าอยากจะร้องขออะไรบางอย่างจากเขา
เขาจำได้ว่าเด็กหญิงคนนั้นคือเพื่อนร่วมทางที่ติดตามเบลล์เข้าไปในดันเจี้ยนอย่างซื่อสัตย์ เธอก็คือ ‘ลิลิรูก้า อาเด้’ หรือ ‘ลิลี่’ หญิงสาวที่มีอดีตไม่ต่างจากเขามากนัก หลังจากที่สูญเสียพ่อแม่ไป เธอก็ถูกคนรอบข้างเอาเปรียบจนตัวเองรู้สึกว่าไม่อาจเชื่อใจใครได้อีกแล้ว แม้แต่คนที่คอยห่วงใยเธอจริงๆ ก็ตาม
[จิตแห่งราชัน] ถูกใช้โดยไม่ต้องรอให้เขาสั่งในขณะที่วาห์นก้าวเข้าไปหาชายกลุ่มนั้น ความรู้สึกเย็นยะเยือกเริ่มแผ่กระจายไปทั่วศีรษะของเขาและความคิดทั้งมวลก็มลายหายไป ชายกลุ่มนั้นสั่นเทาจากผลของเขตแดน เมื่อพวกเขามองไปที่วาห์น คนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มก็ขยับมาข้างหน้า
“ไสหัวไปซะ นี่เป็นเรื่องภายในแฟมิเลียของเรา ไอ้หนูอย่างแกอย่าเข้ามายุ่งเรื่องคนอื่นจะดีกว่า” ชายคนนั้นใช้น้ำเสียงก้าวร้าว แต่ภายในน้ำเสียงนั้นกลับมีความกลัวเจือปนอยู่ด้วยเล็กน้อย
—————