Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 32
ขณะที่ลิลลี่มองวาห์นที่ยังหมดสติอยู่ เธออดไม่ได้ที่จะเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้าของเขา
“เอ๋!? หมอนี่หล่อเอาเรื่องอยู่นี่นา?” เธอถึงกับตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ หัวใจของเธอที่เพิ่งจะสงบลงก็เริ่มเต้นดังขึ้นอีกครั้ง
ด้วยสีหน้าที่แดงและตื่นเต้นเล็กน้อย เธอมองไปที่ใบหน้านั่นอย่างใกล้ชิด…
จากนั้นไม่นาน เธอก็มองไปรอบๆ เพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ก่อนที่จะหัวเราะเยาะการระวังจนเกิดเหตุของตัวเอง เธอพยายามสงบสติลงและเริ่มจ้องมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง เธอยื่นมือออกมา… และจิ้มไปที่แก้มของเขา “แหะๆ~ เป็นใบหน้าตอนหลับที่น่ารักจริง”
ในขณะนั้นเอง วาห์นที่ดูเหมือนหมดสติก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงื่อตก แม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกทำให้อยู่ในสภาวะ ‘ขยับไม่ได้’ จากผลของรูปปั้นฮีโร่ แต่เขายังคงรับรู้ได้ถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว เขารู้สึกได้ถึงต้นขาอันนุ่มนิ่มที่ด้านหลังศีรษะของตนและเสียงพึมพำของเด็กสาวขณะที่จิ้มแก้มของเขาเล่นและหัวเราะร่า
วาห์นจำได้ว่าเบลล์ช่วยชีวิตเธอในเนื้อเรื่องไว้อย่างไร รวมถึงตอนที่เธอเริ่มติดตามเบลล์หลังจากเหตุการณ์นั้นด้วย เขาเริ่มกังวลว่าเธออาจจะทำแบบเดียวกันกับเขาแทน แต่เขาอยากจะพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว
แน่นอนว่าเขาไม่อาจเมินเฉยขณะที่เธอกำลังทุกข์ทรมานต่อหน้าต่อตาเขาได้ เขาไม่เสียใจที่ได้ช่วยชีวิตเธอแม้ว่าจะเกือบตายเพราะพลังทั้งสองสายที่ต่อต้านกันภายในร่างกายของตัวเองก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาเสียใจก็คือการที่เธอต้องทนทุกข์มานานขนาดนี้ ในขณะที่เขากำลังฝึกฝนตัวเอง สานสัมพันธ์กับคนอื่น และเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อย… เธอกลับถูกกดขี่ข่มเหงจากพรรคพวกที่อยู่แฟมิเลียเดียวกัน…
แม้ว่าเรื่องครั้งนี้จะไม่ได้ดูแย่ไปทั้งหมดก็ตาม สถานการณ์ครั้งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเขากำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และเขาสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนที่อยู่รอบตัวได้บ้างแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะพบกันเร็วกว่านี้ เขาก็ยังคงเลือกที่จะช่วยชีวิตเธอ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะแตกต่างไปมาก โชคดีที่สารเลวพวกนี้เป็นแค่เลเวล 1 และไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้มากนัก วาห์นรู้ว่าศัตรูในอนาคตของเขาจะต้องแข็งแกร่ง มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้ วางแผน และใช้กลยุทธ์ที่ดีกว่านี้มาก
ตอนนี้ลิลลี่กำลังลูบหัวของเขาพร้อมกับพึมพำบางอย่างเบาๆ สัญชาตญาณของวาห์นบอกกับเขาว่าการฟังสิ่งที่เธอกำลังพูดนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก และอยากให้ตัวเองหมดสติไปเสียจริงๆ เพื่อเบนความสนใจไปเรื่องอื่น เขาเริ่มตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของค่าสถานะที่เป็นผลมาจากการต่อสู้และการสำรวจดันเจี้ยนก่อนหน้านี้
==========================================================
ชื่อ: [วาห์น เมสัน]
อายุ: 14
เผ่าพันธุ์: มนุษย์, *ถูกผนึก*
ค่าสถานะ: [ดันมาจิ: 1-4]
-เลเวล:1[+](0)
-พลังโจมตี: S909 -> SS1001
-ความอดทน: B740 -> SS1108
-ความแม่นยำ: A833 -> A887
-ความว่องไว: A889 -> S940
-พลังเวท: SSS1493 -> SSS1611
-ค่าสถานะรวมทั้งหมด: 4864 -> 5547
ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ: ระดับ 2 (วิญญาณวีรชน)
กรรม: 721 -> 749
==========================================================
ตอนนี้เขามีค่าสถานะที่ใกล้เคียงกับนักผจญภัยเลเวล 2 ขณะที่ค่าพลังเวทและค่าความอดทนนั้นเพิ่มขึ้นแบบมหาศาล กลายเป็นว่าพลังสองสายที่ปะทะกันภายในร่างกายนั้นช่วยเพิ่มค่าความอดทนให้เขามากพอสมควร ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือสกิล [ต้านทานความเจ็บปวด: S] ได้พัฒนาไปเป็นสกิลแฝงอันใหม่ที่มีชื่อว่า [ร่างจตุรเทพ] แทน
[ร่างจตุรเทพ]
ระดับ: สกิลแฝง (H) *สกิลแฝงนั้นไม่สามารถทำการระบุได้ ความพยายามที่จะระบุมันจะส่งผลให้เกิดแรงโต้กลับ*
[ติดตัว]: เพิ่มความต้านทานความเจ็บปวดระดับปานกลาง ช่วยสลายพลังที่อยู่ภายในร่างกาย เพิ่มอัตราฟื้นฟูตามธรรมชาติ
[ใช้งาน]: เพิ่มพลังโจมตีและความอดทนตามความเสียหายที่ได้รับ สกิลนี้ใช้ค่าพละกำลังในปริมาณมาก
สกิลนี้กลายเป็นสกิลแฝงที่สองของวาห์น และอาจเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขาในอนาคต เขาเฝ้ารอเวลาที่จะได้ทดสอบสกิลนี้อย่างใจจดใจจ่อ แต่เรื่องที่ทำให้สกิลนี้ทำงานนั้นสร้างความกังวลให้กับเขาเล็กน้อย…
วาห์นตรวจสอบค่าสถานะของตัวเองจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เขาเลยไปคุยเล่นกับพี่สาวแทน พี่สาวไม่พอใจที่วาห์นเข้าสู่สภาวะ ‘ควบคุมตัวเองไม่ได้’ เป็นครั้งที่สองแถมยังหมดสติหลังจบเรื่องอีก แต่พี่สาวก็ให้อภัยเขาเนื่องจากครั้งนี้สาเหตุมาจากความพยายามที่จะช่วยชีวิตคนอื่น
(*แล้วเธอจะทำอะไรกับเด็กสาวคนนั้นล่ะ?*) พี่สาวถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบกว่าปกติ
วาห์นคิดก่อนจะ ‘ส่ายหัว’ ในใจ (“ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ อย่างเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนั้นคือการช่วยชีวิตเธอ หลังจากนี้ทุกอย่างก็คงขึ้นอยู่กับตัวเธอเองแล้ว”)
(*โอ้? จะใช่แบบนั้นแน่เหรอ?*)
วาห์นรู้สึกสับสนกับน้ำเสียงที่พี่สาวใช้ ‘นี่พี่สาวยังโกรธเขาจากเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่านะ?’
(*ตอนนี้เธอได้ช่วยชีวิตสาวน้อยคนนั้นแล้ว ดังนั้นเธอก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วย หากไม่ดูแลเด็กคนนี้ให้ดี สถาการณ์ของเธอก็จะกลับเป็นแบบเดิม นอกซะจากว่าเราจะวางแผนกวาดล้างโซม่าแฟมิเลียและนักผจญภัยทุกคนที่มีชื่อเสียงไม่ดีจากทั่วทั้งเมืองแทน?*)
นั่นก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่วาห์นกังวลอยู่ ลิลลี่ยังเด็กอยู่มาก ตอนนี้เธอน่าจะอายุประมาณ 12-13 ปี เท่านั้น เธอไม่มีพ่อแม่คอยดูแล แถมโซม่าแฟมิเลียยังเต็มไปด้วยพวกคนที่สนใจแต่เรื่องหาเงินมาปรนเปรอตัวเองเท่านั้น ปัจจัยหลักก็คือ… ตอนนี้เธอยังอ่อนเกินไป แม้ต้องการที่จะเป็นอิสระมากแค่ไหนแต่เธอก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเธอขาดความสามารถ นั่นเองก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเธอถึงถูกนักผจญภัยเลเวล 1 เอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา
ดูเหมือนตัวเลือกที่เหมาะสมของเขาก็คือ: ดูแลและปกป้องเธอ หรือไม่ก็ ช่วยฝึกฝนจนเธอแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ เขารู้ว่าตัวเธอเองก็ต้องการแข็งแกร่งมากกว่านี้ แต่เธอยังขาดทั้งความมั่นใจและความสามารถที่จะทำแบบนั้น
(“พี่สาว ผมสามารถซื้อไอเท็มจากร้านค้าเพื่อช่วยเธอได้หรือเปล่า?”) วาห์นค่อนข้างสงสัย เพราะเขาไม่เคยคิดเรื่องที่จะใช้ระบบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับคนอื่นมาก่อน
(*ไปไม่ได้หรอกวาห์น คนอื่นจะไม่สามารถใช้ไอเท็มที่อยู่ภายในระบบได้เลยนอกจากว่าเธอจะสามารถแก้ไขโครงสร้างร่างกายของพวกเขาได้ เหตุผลเดียวที่ทำให้เธอสามารถใช้งานไอเท็มได้ก็เพราะ ‘เดอะพาธ’ ผสานตัวเองเข้ากับวิญญาณของเธอและมีส่วนร่วมในการสร้างร่างปัจจุบันของเธอด้วย พลังงานที่บรรจุอยู่ในร่างกายของเธอคือ ‘พลังต้นกำเนิด’ ในขณะที่ผู้อยู่อาศัยบนโลกใบนี้จะใช้ ‘มานา’ นั่นคือความแตกต่างขั้นพื้นฐานระหว่างโครงสร้างร่างกายของเธอ และร่างกายของผู้ที่เกิดภายใน ‘เรคคอร์ด’ นี้*)
(“เดี๋ยวนะ ถ้างั้น [ถั่วเซียน] ก็ใช้กับคนอื่นไม่ได้เลยน่ะสิ? แล้วเรื่องอุปกรณ์สวมใส่ล่ะ?”) หลังจากค้นพบความแตกต่างของร่างกายตัวเอง เขาก็ถามเรื่องอื่นที่ตนอยากรู้ เป็นไปได้ไหมว่าถ้าเขามอบ [ถั่วเซียน] ให้กับลิลลี่ เธอก็จะได้พบกับสถานการณ์แบบเดียวกันเขา!? แค่นึกก็ทำเอาเขาขนลุกไปหมดแล้ว
(*ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้แย่แบบที่เธอคิดไว้หรอกนะ เนื่องจากพลังที่บรรจุอยู่ภายในถั่วเซียนมีรากฐานที่แตกต่างไปจาก ‘มานา’ ของโลกใบนี้ ร่างกายของพวกเขาจะทำการกรองมันออกตามธรรมชาติและพลังงานพวกนั้นก็จะสลายหายไปเองตามกาลเวลา
‘กฏ’ เดียวกันนี้เองที่ทำให้พวกเขาสามารถกักเก็บมานาไว้ในร่างกายได้แต่จำทำการกำจัดพลังแปลกปลอมอื่นๆ ออกไปจากร่างแทน
สำหรับอุปกรณ์สวมใส่นั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือชุดเกราะที่เธอซื้อต่างถูกปรับขนาดให้พอดีกับตัวของเธอแบบอัตโนมัติ หากเธอต้องการมอบอุปกรณ์สวมใส่ให้กับคนอื่น เธอจะต้องปลดล็อกระบบ ‘ของขวัญ’ โดยการสำเร็จภารกิจเสียก่อน*)
วาห์นรู้สึกผ่อนคลายขณะที่ฟังคำอธิบายส่วนแรกของพี่สาว ก่อนที่ความสนใจจะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อได้ฟังส่วนที่สอง เขารู้สึกโล่งอกที่แผนการช่วยชีวิตลิลลี่โดยใช้ถั่วเซียนนั้นจะไม่ทำให้ชีวิตของเธอเป็นอันตราย และเขาก็สงสัยว่าทำยังไงถึงจะเปิดระบบ ‘ของขวัญ’ ขึ้นมาได้
หลังจากถามต่อ พี่สาวก็แจ้งว่าเธอไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลใดๆ ที่เกี่ยวกับการเปิดใช้งานระบบต่างๆ ได้ เขาต้องพึ่งพาความพยายามของตัวเองเพื่อค้นหาเงื่อนไขเหล่านั้น
…
หลังจากสามชั่วโมงที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย ในที่สุดวาห์นก็ ‘ฟื้นขึ้นมา’ ลิลลี่ผู้ที่ตอนนี้กำลังยิ้มขณะเล่นกับ [หน้ากากกันโรคระบาด] อย่างเพลิดเพลินสังเกตเห็นสายตาของเขาและหน้าก็เริ่มแดงเป็นลูกตำลึง
วาห์นพยายามยกหัวขึ้นจากตักของเธอ แต่เธอกลับตกใจและกดหัวของเขาลงมาก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตนก
“นะ-นะ-นาย ไม่ควรเคลื่อนไหว นะ-ในทันทีนะ เพราะนายเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเอง!” เธอเล่นกับร่างกาย ‘ที่ไม่ได้สติ’ ของเขาเพลินไปหน่อยและยังไม่ได้เตรียมใจที่จะพูดคุยแบบปกติกับเขา
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว แค่หมดสติไปเพราะผลข้างเคียงของไอเท็มที่ใช้รักษาบาดแผลน่ะ ตอนนี้ร่างกายก็อยู่ในสภาพแข็งแรงดี” แม้เขาจะพบว่าการกระทำของเธอดูตลกดี แต่การถูกจับกดเอาไว้แบบนี้มันก็ไม่ค่อยสบายซะเท่าไหร่ จริงๆ แล้วเขาสามารถลุกขึ้นได้อย่างง่ายดายหากต้องการ แต่เขาไม่อยากทำให้เด็กสาวตกใจก่อนที่จะได้พูดคุยกันให้เรียบร้อยก่อน
ลิลลี่ปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจนักก่อนที่จะหลบหน้าเขา ขณะที่วาห์นตรวจสอบร่างกายของตน เธอก็จ้องมองเขาด้วยความอยากรู้เป็นระยะ
เขามองไปยังรอยเลือดมากมายที่อยู่รอบๆ ตัวแล้วก็มองตรงไปทางเด็กสาวขี้อายที่คงจะลืมเรื่องศพและกลิ่นอับต่างๆ ไปซะสนิท ตัววาห์นเองก็ทนกลิ่นพวกนี้ไม่ไหวจนถึงขั้นอาเจียนออกมา
ลิลลี่มองไปที่วาห์นที่ยังคงอาเจียนต่อด้วยความสงสัย (“เขาทำเหมือนกับว่าตัวเองไม่เคยเห็นศพมาก่อนอย่างงั้นแหละ ทำไมเขาถึงฆ่าคนพวกนี้ได้อย่างโหดเหี้ยมแต่พอทำไปแล้วกลับรับไม่ได้เสียเองล่ะ? หรือว่า…”)
“ขอโทษนะคะ เอ่อ ท่าน… วาห์น เป็นไปได้ไหมที่คุณไม่เคยฆ่าใครมาก่อนเลย?”
(TL: การใช้สรรพนามต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังไม่ว่าจะเกิดจาก:
1.คนเขียนทำการเปลี่ยนสรรพนามอย่างชัดเจน (ส่วนใหญ่ดูยากเพราะมาจากภาษาอังกฤษ ถ้ามาจากญี่ปุ่นเช่น -San, -Sama จะแปลได้ง่ายกว่า)
ตามที่ผู้แปลเห็นสมควร (เช่น สถานภาพของวาห์นอาจมีการเปลี่ยนแปลงทำให้เราต้องเปลี่ยนสรรพนามยกชุด ในภาษาอังกฤษอาจจะง่ายกว่าตรงที่ใช้ I, You, We…. ได้แบบสบายๆ แต่พอแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วจะซับซ้อนกว่านั้น ทางผู้แปลจะพยายามปรับปรุงตรงส่วนนี้ให้ถึงที่สุดครับ)วาห์นเช็ดปากและยิ้มให้กับเธอเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวเมื่อเห็นสีหน้าของเขา ในหัวของลิลลี่ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมามากมายหลายแบบ (“นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคน แถมที่ทำไปก็เพื่อช่วยเรา!?”)เธอเริ่มตื่นตระหนกเมื่อคิดว่าความอ่อนแอของตัวเองทำให้เด็กหนุ่มที่แสนหล่อเหลาไร้เดียงสาคนนี้ต้องกลายมาเป็นฆาตกร เธอถึงขั้นรู้สึกเสียใจที่เขาต้องมาช่วยเธอตั้งแต่แรกและหลังจากนั้นก็ยังต้องทนกับความเจ็บปวดและปัญหาที่ตามมาอีก…
ทันใดนั้น เธอก็เพิ่งจะรู้ตัว แม้ว่าเธอจะรู้ชื่อของเขาแล้ว แต่เธอยังไม่ได้บอกชื่อของเธอให้เขารู้เลย เธอยังคงรู้สึกกลัวและเกลียดชังนักผจญภัยเหมือนเดิม และถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เธอก็ยังไม่ได้บอกแม้แต่ชื่อของตัวเองในขณะที่เขา ‘กำลังจะตาย’ คลื่นแห่งความสำนึกผิดลูกที่สองถาโถมไปยังจิตใจของเธอเข้าอย่างจัง มันทำให้เธอร้องไห้ออกมาและไม่สามารถสู้หน้าของเด็กหนุ่มที่เธอรู้ว่าทำผิดต่อเขาได้
ขณะที่เธอนั่งร้องไห้ไม่หยุดก็มีมืออันอบอุ่นถูกวางลงบนหัวของเธอ เธอกลั้นน้ำตาและเงยหน้าขึ้นไปหาเด็กหนุ่มที่จ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน เมื่อรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของเขา ความรู้สึกผิดในหัวใจของเธอก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นและกัดกินเธอจากภายใน เธอพยายามที่จะพูดออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี เธออยากจะกล่าวขอโทษแต่ไม่รู้จะพูดมันออกมายังไง…
วาห์นยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่ลูบหัวเล็กๆ ของเด็กสาว ตอนนี้ตัวของเธอเล็กกว่าที่เขาจำได้จากในมังงะเป็นอย่างมาก เธอน่าจะสูงประมาณ 105-110 ซม. เมื่อยืนขึ้น ดังนั้นพอเธอนั่งอยู่บนพื้นแบบนี้เลยยิ่งดูเหมือนเด็กกำลังร้องไห้เข้าไปใหญ่ เขามองเห็นถึงความสูญเสียและความรู้สึกผิดที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นและรู้ว่าเธอคงโทษตนเองสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ในขณะที่เขาพยายามปลอบเธอ เขาก็เริ่มนึกถึงประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาได้พบเจอตอนออกเดตกับโคลอี้ ทุกคำพูดและทุกการกระทำดูเหมือนจะพยายามช่วยให้เขาทำลายกำแพงที่เขาสร้างมันขึ้นมาเองได้ โคลอี้ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาหรือใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของเขาเอง มันกลับกันเลย เธอยอมให้เขาเปิดใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอโดยไม่เห็นว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดเลยแม้แต่น้อย ในที่สุด เธอก็ช่วยแนะนำวิธีที่จะทำให้เขาเอาชนะอดีตของตัวเองได้ และยังมอบแนวทางให้กับเขาด้วย…
เมื่อนึกถึงเรื่องทั้งหมดนี้ เขาก็มองไปยังลิลลี่ที่กำลังร้องไห้และมองเห็นเป็นภาพของตัวเองที่ทั้งอ่อนแอและหวาดกลัว มันเพิ่งผ่านมาได้ไม่นานแต่เขาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก… และวาห์นก็ตัดสินใจได้แล้วว่าเขาจะมอบโอกาสเดียวกันนี้ให้กับลิลลี่ เขาไม่สามารถปกป้องเธอไปตลอดได้ แต่เขาสามารถแนะนำเส้นทางที่จะทำให้เธอปลดแอกตัวเองจากความกลัวและสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้
“เธออยากแข็งแกร่งกว่านี้หรือเปล่า?” เขากระซิบถามเบาๆ ซึ่งทำให้ร่างของเธอสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
เธอมองไปทางเขาด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา… และพยักหน้า เธอไม่อยากอ่อนแอ เธอไม่อยากให้คนอื่นต้องทุกข์ทรมานเหมือนกับคู่รักวัยชราที่เคยช่วยเหลือเธอ เธออยากจะแข็งแกร่งมากพอที่จะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องมีคนอื่นมาสละชีวิตเพื่อเธอ เธออยากเป็นเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอ…
วาห์นลุกขึ้นยืนจากท่านั่งคุกเข่าและยื่นมือออกไปหาลิลลี่ที่กำลังร้องไห้ (TL: ลิลลี่ตัวค่อนข้างเล็กดังนั้นวาห์นก็เลยต้องคุกเข่าเพื่อลูบหัวเธอ~)
“ฉันชื่อวาห์น เมสัน หากเธอเชื่อใจฉัน ฉันสามารถช่วยเธอตามหาเส้นทางที่เธอมองหาอยู่ได้”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม เธอรู้สึกว่าโลกอันมืดมิดที่เธออาศัยอยู่นั้น บัดนี้มันกลับสว่างมากกว่าเดิมหลายเท่า
หลังจากลังเลชั่วครู่… เธอก็จับมือที่ยื่นออกมา
“ฉันชื่อลิลิรูก้า อาเด้ ได้โปรดช่วยนำทางให้ฉันด้วยนะคะ… นายท่านวาห์น”
…
[ดูค่าความชื่นชอบ: ลิลิรูก้า อาเด้] [ความชื่นชอบ: 88[เชื่อใจ], ความสนใจ:61[อยากรู้อยากเห็น]
(TL: เธอใช้คำว่านายท่านในตอนสุดท้ายแทนคำว่าท่านเฉยๆ เพราะมันดูใกล้ชิดมากกว่า และเธอก็มองว่าวาห์นเป็นคนที่สามารถช่วยให้เธอแข็งแกร่งขึ้น แทนที่จะเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอไว้)
—————