Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 33
วาห์นวิ่งไปที่ทางเข้าดันเจี้ยนแบบด่วนที่สุด ข้างหลังเขายังมีลิลลี่ที่วิ่งตามมาติดๆ แถมสภาพยังดูเหนื่อยกว่าเขาซะอีก…
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า…
หลังตกลงที่จะฝึกให้กับลิลลี่ พวกเขาก็เริ่มทำความรู้จักกันทันที เธอเล่าเรื่องอดีตต่างๆ เช่นการที่เธอถูกพ่อแม่ละเลยและบังคับให้มาทำงานหาเงินทันทีที่สภาพร่างกายของเธอถึงเกณฑ์ เธอเล่าเรื่องความทุกข์ทรมานหลังจากที่ทั้งพ่อและแม่ต้องมาเสียชีวิตในดันเจี้ยนอย่างละเอียด
แม้เธอจะพยายามลองเป็นนักผจญภัยด้วยตัวเอง แต่เธอก็ไม่อาจก้าวหน้าในดันเจี้ยนได้มากนักเพราะตอนนั้นเธอยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพยายามร่วมทีมกับคนอื่นในแฟมิเลีย พวกเขาก็จะบังคับให้เธอทำงานกรรมกรต่างๆ เช่นเก็บคริสตัลหรือแบกของ สุดท้ายมันก็กลายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์เต็มรูปแบบโดยพวกเขาเริ่มหักค่าจ้างที่เธอสมควรได้รับ เธอรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากถึงขนาดหลบหนีออกจากแฟมิเลียและกลายเป็นเด็กกำพร้าข้างถนน
แต่แล้วก็มีคู่สามีภรรยาที่ใจดีมารับเลี้ยงเธอ ทำให้เธอมีความสุขอยู่ชั่วขณะ พวกเขาซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้เธอและนับว่าเป็นครั้งแรกของลิลลี่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ส่วนตัวเธอเองก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยงานในร้านจนได้รับคำชมเชย
แต่โชคร้าย พวกโซม่าแฟมิเลียที่เคยเอารัดเอาเปรียบได้ตามหาเธอจนพบ เพื่อเป็นการลงโทษที่เธอหลบหนี พวกเขาทำลายข้าวของในร้านจนเละเทะไปหมด คู่สามีภรรยาที่เคยใจดีกับเธอ บัดนี้พวกเขาจ้องมองเธอด้วยแววตาเชิงตำหนิและดูถูก
คืนนั้น เธอต้องนั่งหลบฝนและร้องไห้อยู่ในตรอกเล็กๆ หลายวันต่อมา กลุ่มคนเหล่านั้นก็มาบังคับให้เธอไปทำงานอีกครั้ง เธอจะต้องทำหน้าที่เป็นซัพพอร์ตเตอร์เมื่อพวกเขาเข้าไปในดันเจี้ยนและเธอจะได้รับรายได้ 1% จากรายได้ทั้งหมดเป็นค่าตอบแทน หากเธอปฏิเสธ พวกเขาจะทำให้แน่ใจว่าใครก็ตามที่แสดงความเมตตาแก่เธอก็จะต้องเจอแบบเดียวกับสามีภรรยาคู่นั้น
เธอกลั้นน้ำตาและยอมรับข้อเสนอของพวกเขา… และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของนรกอย่างแท้จริง พวกเขามักจะริบส่วนแบ่งของเธอด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เช่นอ้างว่าเธอเป็นตัวถ่วงบ้างล่ะ ผู้นำกลุ่มยังคิดที่จะให้เธอจ่ายค่าคุ้มครองจากการที่พวกเขาต้องปกป้องเธอจากอันตรายในดันเจี้ยน ด้วยเหตุนี้ มีอยู่หลายครั้งที่เธอต้องทนหิวไปหลายวันจนถึงขั้นล้มป่วย จากนั้นพวกเขาก็จะให้ผักเน่าๆ และขนมปังแข็งๆ กับเธอในขณะที่เธอพยายามพักฟื้น
จากนั้นเรื่องก็แย่ลงไปอีก เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเบื่อ พวกเขาก็จะบังคับให้เธอทำท่าต่างๆ เช่นเดินสี่ขาและเห่าหอนเหมือนสุนัขขณะที่ร้องขออาหาร เมื่อเธออายุมากขึ้น เธอถึงกับเกือบโดนบังคับขืนใจด้วยซ้ำ และบางครั้งก็ถูกซ้อมจนขยับตัวไม่ได้ไปหลายวัน พอซ้อมเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะเทโพชั่นคุณภาพต่ำลงบนบาดแผลและปล่อยเธอทิ้งไว้ในตรอก
หลังจากเหตุการณ์นั้น เธอก็หยุดพูดและแม้ว่าพวกเขาจะพยายามบังคับให้เธอทำท่าเหมือนสัตว์ เธอก็ได้แต่ยืนเฉยๆ จนกระทั่งพวกเขาโมโหและซ้อมเธอต่อ เธอรู้แล้วว่าไม่ควรที่จะขัดขืน เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกสนุกและซ้อมเธอนานกว่าเดิม สิ่งเดียวที่เธอคิดออกก็คือรักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง อดออมเงินมากพอที่จะซื้ออิสรภาพ และหนีออกจากแฟมีเลียนี้ให้ได้…
นอกเหนือจากกลุ่มคนสารเลวพวกนี้ เธอก็เริ่มรับงานอิสระและทำงานกับนักผจญภัยมือใหม่ เธอจะเลือกเป้าหมายที่ยังไม่คุ้นเคยกับดันเจี้ยนและหลอกให้พวกเขาตายใจก่อนจะขโมยของมีค่าไป แม้ว่าเธอจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถหลบหนีออกจากดันเจี้ยนได้ แต่บางครั้งแผนก็ไม่เป็นไปตามแผน
หนึ่งในนักผจญภัยอายุน้อยที่ถูกเธอหลอกนั้นเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอไม่ได้ทอดทิ้งเขาและฮึดสู้กับมอนสเตอร์โดยไม่คิดหนี ลิลลี่มองดูด้วยความสยองขณะที่นักผจญภัยคนนั้นถูกมอนสเตอร์สังหารอย่างน่าอนาถ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา เหตุการณ์นั้นแทบทำให้เธอไม่ได้นอนเป็นเวลากว่าสัปดาห์ ภาพของเด็กหนุ่มที่แขนขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ถูกเล่นซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเธอ
เมื่อเห็นสภาพของเธอ พวกโซม่าแฟมิเลียก็ทรมานเธอหนักกว่าเดิม พวกเขาไม่ยอมให้เธอเข้าที่พักหากเธอไม่ยอมทำงานให้ แถมพวกเขายังเทถังใส่สิ่งโสโครกลงบนหัวเธอและบังคับให้เธอไปอยู่ในกองขยะกับพวกที่พวกเขาหยอกล้อกันว่าเป็น ‘ครอบครัวที่แท้จริง’ ของเธอ
…
วาห์นฟังอย่างเงียบๆ ในขณะที่ลิลลี่เล่าไปเรื่อยๆ มันเลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งเขารู้จากในในมังงะ และเขาสงสัยจริงๆ ว่าเธอสามารถอยู่รอดมาถึงป่านนี้ได้ยังไงกัน อย่างน้อยเขาก็มีแม่ที่รักเขาแม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับเธอเลยก็ตาม… แต่พ่อแม่ของลิลลี่ปฏิบัติเหมือนกับเธอเป็นเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาสบายขึ้น ในขณะที่เขาได้รับความเมตตาจากเทพีคริสช่าและได้รับ ‘เดอะพาธ’ ลิลลี่กลับต้องใช้ชีวิตต่อไปในโลกที่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่ทรมานและหาประโยชน์จากเธอ เมื่อเขาได้ยินส่วนที่เธอเกือบถูกขืนใจ เขาเกือบทำให้กระดูกที่มือแตกหมดจากการทุบไปที่กำแพงเต็มแรง
เขาประสบชะตากรรมที่น่าเศร้าเกินกว่าคนอื่นจะมาเข้าใจได้ แต่ไม่ว่าการทดลองจะแย่ขนาดไหน พวกนักวิจัยก็จะดูแลร่างกายและดูแลความต้องการพื้นฐานของเขาเป็นอย่างดี ตัววาห์นเองนั้นไม่เคยสัมผัสกับความมืดมนและความเสื่อมทรามที่เกิดขึ้นในสังคมจริงๆ มาก่อน
หลังจากที่เธอเล่าจบ ลิลลี่ก็มองไปที่วาห์นเพื่อสังเกตสีหน้าของเขา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอพูดเกี่ยวกับตัวเองมากขนาดนี้ และหากเธอรู้สึกได้ถึงความรังเกียจหรือไม่เชื่อใจบนใบหน้าของเขา… เธอขอตกลงไปในๆ ที่ที่ไม่มีทางกลับออกมาได้ยังจะดีกว่า
เธอไม่ได้อยากให้มีใครมาสงสารหรือเห็นใจ เธอแค่ต้องการเปิดเผยทุกสิ่งให้เด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอได้รับรู้ไว้เท่านั้นเอง และสิ่งที่เธอเห็นจากสีหน้าของเขาก็สร้างรอยยิ้มจากใจที่ไม่เคยแสดงออกมานับตั้งแต่ตอนที่อยู่กับสามีภรรยาคู่นั้นบนใบหน้าของเธอ เธอไม่เห็นทั้งความสงสาร การดูหมิ่น หรือความรังเกียจใดๆ ในแววตาของวาห์น ในนั้นมีเพียงแค่เปลวไฟแห่งความโกรธเท่านั้น เธอคิดว่าเขาคงจินตนาการเรื่องในอดีตของเธอและคงอยากจะทำอะไรสักอย่างกับมัน
ความมืดที่อยู่ด้านหลังจิตใจของเธอเริ่มจางหายไป ดังนั้นเธอจึงทำสิ่งเดียวที่คิดว่าพอจะสื่อความรู้สึกตอนนี้ออกไปได้ เธอยิ้มออกมา
วาห์น สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงก็ยื่นมือออกมา… และเช็ดน้ำตาแห่งความยินดีที่เปรอะอยู่ทั่วใบหน้าของเธอ
—
หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยปรึกษากันต่อ คราวนี้เป็นเรื่องของอนาคต วาห์นบอกเธอเรื่องความตั้งใจที่จะเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เธอยิ้มออกมาอีกครั้ง
ลิลลี่เริ่มถามคำถามเกี่ยวกับชีวิตของเขา สิ่งที่เขาชอบและไม่ชอบ เธออยากรู้ว่าเขามาจากไหน ชอบอาหารแบบไหน เกลียดเรื่องอะไรเป็นพิเศษ… และถามถึงแนวทางผู้หญิงที่เขาชอบด้วย
วาห์นตอบคำถามแต่ละข้ออย่างสุดความสามารถขณะที่พยายามข้ามส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบและ ‘เดอะพาธ’ เขาบอกเธอว่าเคยอาศัยอยู่ในป่าตะวันตกกับปู่ ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายมาโอราริโอ้เมื่อปู่เสียชีวิต เรื่องอาหารที่ชอบ เขาบอกไปว่าชอบทุกอย่างที่ได้ลองหลังจากได้เข้ามาในเมือง สำหรับเรื่องที่ไม่ชอบ… เขาเกลียดพวกคนที่เอาเปรียบคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เมื่อได้ยินเขาพูดเรื่องนี้ ลิลลี่ก็ยิ้มและเข้ามาอยู่แนบชิดกับเขา วาห์นยิ้มและลูบหัวของเธอเบาๆ
เมื่อเขาเข้าเรื่องผู้หญิงที่ชอบ ลิลลี่ก็เริ่มตั้งใจฟังอย่างใกล้ชิดขณะที่ดวงตาเริ่มฉายแววจริงจัง
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ก็ยังไม่เจอใครที่รู้สึกว่าไม่ชอบเลยนะ…”
เมื่อได้ยินคำตอบ เธอก็ได้แต่เหวอ “เอ๋!? นั่นดูไม่เหมือนคำตอบเลยนะคะ ท่านวาห์น!” เธอเริ่มงอนๆ ขณะที่วาห์นก็พูดไหลไปเรื่อย
วาห์นเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้เธอเข้าใจ เขารู้สึกว่ามันน่าอึดอัดที่จะบอกว่าเขาชอบผู้หญิงแบบโคลอี้ เพราะสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดึงดูดต่อเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวกับรูปลักษณ์เลย หลังจากที่เขาเลิกกลัวแววตาที่โคลอี้ใช้มองเขา เขาถึงเริ่มรู้สึกมีความสุขเมื่ออยู่กับเธอ…
ลิลลี่เปลี่ยนเรื่องหลังจากเห็นสีหน้าจริงจังของเขา “จะว่าไปแล้ว… ตอนนี้ท่านวาห์นอยู่แฟมิเลียไหนเหรอคะ?” ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เธอจึงเดาว่าเขาน่าจะเป็นสมาชิกหลักที่สังกัดอยู่กับแฟมิเลียระดับ B
“เอ่อ ฉันยังไม่ได้สังกัดแฟมิเลียไหนเลย ฉันเพิ่งมาถึงที่เมืองเมื่อ… หกวันก่อนเอง” วาห์นชะงักไปนิดนึงก่อนพูดต่อและเริ่มมีอาการเหงื่อตก ลิลลี่สังเกตเห็นสีหน้าของเขาเลยอยากจะถาม แต่วาห์นกลับคว้ามือเธอและออกตัววิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
“ท่านวาห์นนนน เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ!?” เพราะเธอไม่สามารถวิ่งได้เร็วเท่าเขา เธอจึงอยู่ในสภาพกึ่งวิ่งกึ่งถูกลากขึ้นบันได
วาห์นเพิ่งสังเกตว่าเธอกำลังหอบ เขาจึงปล่อยแขนเธอและลดความเร็วลง “ฉันเพิ่งจำได้ว่าบัตรประจำตัวชั่วคราวของฉันจะหมดอายุวันนี้! แถมฉันต้องไปขยายเวลาห้องพักที่โรงแรมก่อนหมดวันนี้ด้วย!” วาห์นดูเวลาภายในระบบขณะวิ่ง ตอนนี้เป็นเวลา 18:29 น. และประตูจะปิดในเวลา 21.00 น. แม้ว่าจะยังไม่เกิดปัญหาใดๆ นอกจากว่าจะถูกจับได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการเดินไปรอบๆ เมืองอย่างผิดกฎหมายและนั่นอาจสร้างปัญหาในภายหลัง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ท่านวาห์น! ฉันจะทิ้งกระเป๋าไว้แบบนั้นไม่ได้นะคะ! ถึงในนั้นจะไม่มีอะไรมาก แต่สมบัติของฉันทุกชิ้นก็อยู่ในนั้นหมดแล้ว” ลิลลี่ไม่อยากทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดของเธอเอาไว้ในดันเจี้ยน
วาห์นหยุดวิ่งก่อนจะย้อนกลับไปที่นั่นเพื่อเก็บกระเป๋า ลิลลี่พยายามเอามันมาถือเอง แต่วาห์นเก็บมันเข้าช่องเก็บของอย่างรวดเร็ว เธอจ้องมองเขาด้วยสีหน้าทึ่งๆ เมื่อเขา ‘เปิดเผย’ เรื่องเวทคลังเก็บของของตัวเอง ต่อมาเขาก็วิ่งกลับขึ้นไปอีกครั้งโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มและทิ้งลิลลี่ที่ยืนงงไว้ข้างหลัง
“นี่เรายังมีประโยชน์อยู่ไหมนะ…” เมื่อรู้ว่าวาห์นมีเวทมนตร์ที่สะดวกสบายแบบนี้ เธอก็ไม่สามารถหาข้ออ้างเพื่อติดตามเขาในฐานะซัพพอร์ตเตอร์ได้อีก เธอเริ่มคิดหาวิธีที่จะใช้เวลากับเขาให้มากขึ้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงตะโกนที่อยู่ห่างออกไป
“นี่ลิลลี่ จะไม่มาด้วยกันเหรอ!?” วาห์นรู้สึกสับสนเพราะอยู่ดีๆ เธอก็แน่นิ่งไป ในที่สุดเขาก็หยุดวิ่งและตะโกนออกมาเพื่อทำให้เธอได้สติ
เธอสะดุ้งก่อนจะตะโกนกลับไป “อ๊ะ ไปค่ะท่านวาห์น! ฉันกำลังไปแล้ว อย่าทิ้งกันแบบนี้สิคะ!”
—
กลับไปที่เวลาปัจจุบัน…
ทั้งสองยังคงวิ่งต่อไปก่อนที่จะหยุดตรงทางเดินของชั้นที่หนึ่ง วาห์นนำกระเป๋าออกจากช่องเก็บของของเขาก่อนส่งมันคืนให้กับลิลลี่ เมื่อเห็นเธอหอบแฮกๆ เขาก็ปล่อยให้เธอได้พักสักครู่และยื่น [คนโทน้ำแห่งการเติมเต็ม] ให้กับเธอ
ลิลลี่จ้องไปที่ส่วนปากของคนโทน้ำก่อนจะดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่ๆ เธอพยายามดื่มมันจนหมด แต่กลับแปลกใจหลังพบว่าปริมาณของน้ำนั้นไม่ได้ลดลงเลย ข้ออ้างที่เธอใช้เพื่อพยายาม ‘จูบทางอ้อม’ ไปเรื่อยๆ เป็นอันต้องจบลงขณะที่ส่งคนโทคืนให้กับวาห์น
วาห์นเองดื่มมันเช่นกันเพราะเขารู้สึกกระหายน้ำและสังเกตว่าใบหน้าของลิลี่เริ่มกลายเป็นสีแดง เขามองไปที่เธออย่างสงสัยก่อนจะเก็บคนโท “มีอะไรเหรอ ลิลลี่”
เธอเบือนหน้าหนีก่อนหยิบกระเป๋าเป้สะพายและมุ่งหน้าไปที่ปากทางเข้า วาห์นเดินตามเธอไปจนกระทั่งพวกเขามาถึงชั้นแรกของหอคอยบาเบล ที่ทางเข้า ลิลลี่ให้วาห์นสัญญาว่าจะมาพบเธอในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนบอกกับเขาว่าเธอต้องไปจัดการเรื่องอื่นๆ ก่อน
วาห์นจ้องไปยังร่างของเด็กสาวที่อยู่ไกลออกไปเรื่อยๆ พลางคิดว่าลิลลี่เองก็แบกรับปัญหาไว้มากมายเช่นกัน เขาหวังว่าจะสามารถช่วยให้เธอเดินไปตามทางของเธอได้อย่างอิสระในอนาคต…
(*วาห์น เธอลืมอะไรไปหรือเปล่า*) พี่สาวขัดจังหวะความคิดของเขาด้วยน้ำเสียงเชิงดุ
วาห์นมองดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเกือบจะ 19.00 น. แล้วและจึงรีบวิ่งไปที่กิลด์ทันที
—————