Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 34
วาห์นยังคงวิ่งตรงไปที่กิลด์พร้อมกับตรวจสอบเวลาภายในระบบ ด้วยความเร็วในตอนนี้ เขายังต้องใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเพื่อไปให้ถึงกิลด์ ซึ่งจะทำให้เขาเหลือเวลาน้อยกว่าชั่วโมงครึ่งเพื่อเดินทางไปที่ประตูเมืองและกลับไปโรงแรม
เขาเริ่มเครียดหลังจากรู้ตัวว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะสามารถทำเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในเวลาที่เหลือ เขาจะต้องใช้เวลาหลายนาทีเพื่อต่อแถวที่กิลด์ และถึงจะไม่ต้องต่อแถว แต่ก็ต้องเสียเวลาอีกหน่อยจากการทำเรื่องการแลกเปลี่ยน เมื่อความกังวลเริ่มหลอมรวมกัน วาห์นรู้สึกถึงพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาจากช่องท้องอย่างช้าๆ พร้อมกับความเร็วของเขาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
(“เราสามารถใช้ [จิตแห่งราชัน] เพื่อเพิ่มความเร็วในการวิ่งได้ด้วยเหรอ!?”)
เพราะช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้สลับไปมาระหว่างสภาวะทั้งสองเท่าไหร่ เขาจึงไม่คุ้นเคยกับความแตกต่างระหว่างสภาวะปกติและสภาวะที่ถูกเสริมพลัง เขารู้ว่าสกิลนี้น่าจะช่วยเพิ่มความเร็วในการต่อสู้ได้ แต่คิดว่ามันเป็นผลมาจากการเพิ่มระยะการรับรู้และการเคลื่อนไหวภายในเขตแดนเท่านั้น
ขณะที่เปิดใช้งานสกิลอย่างเต็มกำลัง วาห์นตัดสินใจว่าจะทำการทดลองให้มากกว่านี้ภายในสองสามวันข้างหน้าพร้อมกับฝึกฝนให้กับลิลลี่ไปด้วย หลังจากเปิดใช้สกิล [จิตแห่งราชัน] แล้ว เขาพบว่าความเร็วของตนเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าและคาดว่าคงมีเวลามากพอที่จะเคลียร์ธุระทุกอย่างภายในวันนี้
ด้วยสภาวะจิตใจที่ร่าเริง เขาจึงลืมเรื่องคนที่อยู่รอบๆ ไปซะสนิท ทันทีที่วาห์นใช้สกิล [จิตแห่งราชัน] พวกเขาก็รู้สึกเหมือนมีคลื่นแรงกดดันไหลผ่านพวกเขาไป พวกเขามองเด็กหนุ่มวิ่งด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อพร้อมกับยิ้มกว้างคล้ายคนถูกผีเข้าด้วยความหวาดกลัว
พลเมืองที่อ่อนแอถึงขนาดเห็นภาพหลอนว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นยมทูตที่มาเพื่อเก็บเกี่ยววิญญาณของตน ส่งผลให้บางคนถึงกับเป็นลมหมดสติ
วาห์นยังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่รับรู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นต้นเหตุของข่าวลือแปลกๆ ในวันถัดมา สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือการไปให้ถึงกิลด์โดยเร็วที่สุด ดังนั้นเขาจึงเริ่มวิ่งผ่านตรอกเล็กๆ ที่เคยพิกัดไว้ในแผนที่เพื่อย่นระยะทางและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้สัญจรไปมา ด้วยแผนที่ย่อและการเคลื่อนไหวที่เคยถูกขัดเกลาจากในป่าและภายในดันเจี้ยน เขาจึงสามารถมุ่งหน้าผ่านเส้นทางเหล่านั้นมาได้โดยความเร็วไม่ตกลงเลย
เมื่อเขาเข้าใกล้จุดหมาย วาห์นก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นอีกด้วยความตื่นเต้น แต่ช่างน่าเสียดาย แม้ว่าสกิลนี้จะเพิ่มระยะการรับรู้ แต่เขาก็ไม่อาจเลี่ยงการชนเข้ากับร่างของคนที่เพิ่งจะเดินผ่านมาพอดีได้ ในวินาทีสุดท้าย เขาพยายามจะย้ายจุดศูนย์ถ่วงของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการชนแบบจังๆ นั่นจบลงด้วยการที่เขาเสียสมดุลและเฉียดเข้ากับคนที่เดินผ่านมาและล้มลงไปกองกับพื้น ล้มด้วยความเร็วขนาดนั้นดูท่าจะเจ็บเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
เขานั่งอยู่บนพื้นด้วยความมึนงงและไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ในทันที จากทางด้านหลัง เขาได้ยินเสียงของหญิงสาวที่กำลังพูดกับเขา
“เจ้าหนู เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลังจากส่ายหัวเล็กน้อย วาห์นก็มองไปทางที่มาของเสียง เขารู้สึกหายเป็นปลิดทิ้งหลังจากเห็นใบหน้าของผู้พูด คนที่มองมาทางวาห์นด้วยสีหน้าสงสัยเป็นหนึ่งในตัวละครที่เขาคุ้นเคยจากในมังงะ
อาจจะเป็นเพราะว่าเธอคือเทพธิดา ทำให้เธอมีรูปร่างที่ใกล้เคียงกับตัวของเธอในมังงะอย่างมาก เธอสูงประมาณ 165 ซม. พร้อมกับเรือนผมและดวงตาสีแดงที่เข้าคู่กัน เธอแต่งกายแบบสบายๆ โดยสวมใส่เสื้อเชิ้ตลินินหลวมๆ และกางเกงสีดำรัดรูป บนขาและแขนของเธอประดับไปด้วยรองเท้าบูทยาวถึงเข่าสีน้ำตาลและถุงมือสีดำที่ยาวถึงข้อศอก ส่วนที่สะดุดตาที่สุดก็คือทรวงอกขนาดใหญ่ที่เผยออกมาให้เห็นตรงปกเสื้่อของเธอ และผ้าปิดตาสีดำอันใหญ่ที่ครอบคลุมใบหน้าครึ่งขวาของเธอไว้
เธอคือเฮเฟสตัส ผู้เป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กและเทพธิดาของเฮเฟสตัสแฟมิเลียที่อยู่อันดับ 3 ของแฟมิเลียในเมืองทั้งหมด วาห์นรู้ว่าเธอจะเป็นคนที่ดูแลเฮสเทียในอนาคตและจะเป็นผู้ที่สร้างอาวุธให้กับเบลล์ซึ่งจะทำให้เขาเก่งขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
ขณะที่เขาจ้องมองเธอ เฮเฟสตัสก็กำลังประเมินเด็กหนุ่มคนที่เกือบจะชนเข้ากับเธอ เขายังดูเด็กมากแต่ก็มีใบหน้าหล่อเหลาที่ดูไร้เดียงสาและเฉยชา สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเธอ และสาเหตุที่ทำให้เธอยังไม่เดินจากไปก็คือออร่าที่ถูกปล่อยออกมาจากเด็กหนุ่มและดาบที่เขาสะพายอยู่ข้างหลัง
ออร่าของเขาคล้ายกับเทพที่กำลังปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาด แม้ว่าจะเป็นปริมาณที่น้อยกว่ามากก็ตาม ดูเหมือนว่ามันจะสร้างแรงกดดันที่ทำให้วิญญาณของเธอสั่นไหวเล็กน้อย เธอสงสัยว่าเขาน่าจะเป็นทายาทของเทพองค์หนึ่ง แต่เธอก็ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใคร สิ่งที่เธอสนใจมากที่สุดก็คือดาบเล่มนั้น…
ในฐานะที่เป็นเทพธิดาแห่งการตีเหล็ก เธอเคยเห็นและฝึกฝนเทคนิคการสร้างเกือบทั้งหมดที่มีอยู่บนสวรรค์และพื้นโลก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นดาบที่ถูกทำขึ้นมาด้วยเทคนิคพิเศษแบบนี้ ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือวัตถุดิบที่ใช้ในการสร้าง ด้วยดวงตาที่มีความสามารถพิเศษของเธอนั้น ปกติแล้วเธอจะสามารถมองเห็นระดับและส่วนประกอบที่ใช้ในการสร้างอาวุธได้อย่างง่ายดาย แม้มันจะดูเหมือนกับเหล็กและแร่ธาตุต่างๆ ที่อาบไปด้วยเวทมนตร์ แต่เธอก็ไม่สามารถระบุส่วนประกอบหรือระดับของมันได้เลย!
“นี่เจ้าหนู ถ้าไม่ได้รีบไปไหน ฉันอยากจะขอดูดาบที่อยู่บนหลังเธอหน่อย ถือซะว่าเป็นการขอโทษที่เธอเกือบจะชนฉันก็แล้วกัน เธอคิดว่าไง?” เฮเฟสตัสต้องการจะสำรวจดาบเล่มนี้อย่างละเอียด เธอจึงลองเสนอออกมาแบบนี้ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียแก่ทั้งสองฝ่าย
เมื่อได้ยินที่เธอพูดอีกครั้ง วาห์นรีบลุกขึ้นก่อนจะก้มหัวขอโทษ “ผมเสียใจจริงๆ ครับที่เกือบจะวิ่งชนคุณ แต่ตอนนี้ผมกำลังรีบดังนั้นคงจะไปกับคุณด้วยไม่ได้” เขาเริ่มหันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าต่อไปที่กิลด์ซึ่งอยู่ห่างจากตำแหน่งปัจจุบันของเขาไปไม่กี่ช่วงตึก แต่แล้วก็มีมือจากด้านหลังมาจับลงที่คอเสื้อและรั้งไม่ให้เขาไปต่อ วาห์นประหลาดใจกับแรงที่ใช้หยุดเขาไว้มาก
“เอาน่าเจ้าหนู ฉันแน่ใจว่าแค่ครู่เดียวคงจะไม่เสียหายอะไร เธอจะรีบไปไหนกัน?” เฮเฟสตัสไม่รู้ว่าเธอถึงจะมีโอกาสได้ตรวจสอบดาบเล่มนี้อีกเมื่อไหร่ และรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มพยายามจากไปโดยไม่แม้แต่จะแนะนำตัวหรืออธิบายเรื่องราวของตัวเอง
วาห์นสังเกตเห็นสีหน้าของเธอ ดังนั้นเขาจึงรีบอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟัง เขาหวังว่าเธอจะเข้าใจและยอมปล่อยเขาไป แต่เธอกลับทำสิ่งที่เขาไม่คาดคิด
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แค่นี้เองเหรอ? ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก ฉันขอแนะนำตัวเองก่อนนะ เจ้าหนู ชื่อของฉันคือเฮเฟสตัส และฉันก็เป็นเทพธิดาของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย เธอน่าจะเคยได้ยินชื่อฉันมาก่อนใช่ไหม?” เธอฉีกยิ้มกว้างซึ่งทำให้วาห์นรู้สึกรำคาญเล็กน้อยแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมก็ตาม
“ผมชื่อวาห์น เมสัน และใช่แล้ว ผมเคยได้ยินชื่อและแฟมิเลียของคุณมาก่อน” เขาเห็นสีหน้าที่ร่าเริงขึ้นมาเล็กน้อยจากคำพูดของเขา และเธอก็พยักหน้าคล้ายกับจะบอกว่า ‘แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว~’
“ถ้างั้นเรามาแลกเปลี่้ยนกันหน่อยไหม วาห์น? แฟมิเลียของฉันมีสิ่งที่เรียกว่า ‘บัตรผ่านสำหรับแขก’ ที่ออกให้กับพ่อค้าที่ขนย้ายวัตถุดิบให้กับทางเราจากนอกเมือง ตราบใดที่เธอมีบัตรผ่านนี้อยู่ เธอจะได้รับการต้อนรับในฐานะแขกของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย และจะไม่มีทหารยามคนไหนที่กล้ามาข่มเหงเธอ สำหรับการแลกเปลี่ยน ฉันอยากให้เธอไปที่โรงหลอมที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยกัน เพื่อที่ฉันจะได้ตรวจสอบดาบของเธอ ตกลงไหม?”
วาห์นชั่งคำพูดของเธอครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า หากเขาไม่ต้องวิ่งไปมาระหว่างกิลด์ ประตูเมือง และโรงแรมได้ มันจะเป็นอะไรที่ดีมากๆ แถมมันยังเปิดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับเฮเฟสตัสซึ่งมันจะทำให้เขาเข้าใกล้เฮสเทียได้ง่ายขึ้น
เฮเฟสตัสพยักหน้าราวกับรู้คำตอบอยู่แล้วและเดินนำไปที่ตึกข้างๆ วาห์นประหลาดใจเมื่อเขารู้ว่าโรงหลอมนี้ตั้งอยู่ในเขตการค้าเดียวกันกับโรงแรมฮาร์ธเอ็มเบรส เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมร้านค้าแถวนี้ถึงถูกตั้งชื่อตามพวกคำว่าเตาไฟและการตีเหล็ก… กลับกลายเป็นว่าโรงหลอมหลักของเฮเฟสตัสอยู่ในเขตนี้นี่เอง
เธอยังคงเดินนำเขาผ่านชั้นล่างของร้านที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์สวมใส่และอาวุธมากมายที่ถูกออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ วาห์นสังเกตเห็นว่าไอเท็มแต่ละชิ้นไม่มีป้ายราคาติดอยู่เลย และการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็แน่นหนามาก แม้เขาจะใช้ [จิตแห่งราชัน] เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ออกมาจากยามเฝ้าร้านแต่ละคน ขณะที่พวกเขาส่งสายตาอันเย็นชาให้กับวาห์นเพื่อเป็นการตอบกลับ
“นี่เจ้าหนู เมื่อไหร่จะหยุดปล่อยออร่าออกมาซะทีล่ะ? อย่าบอกนะว่าเธอควบคุมมันไม่ได้?” เฮเฟสตัสเริ่มรู้สึกเคืองขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าวาห์นกำลังทำให้ทุกคนหันมาสนใจพวกเขา เธอเริ่มสงสัยว่าเด็กที่อยู่ด้านหลังเธอเป็นพวกไม่เต็มบาทมากขึ้นทุกที
“อ๊ะ ขอโทษครับ ผมลืมไปเลย…” วาห์นหัวเราะแห้งๆ ขณะที่เฮเฟสตัสถอนหายใจพร้อมกับวางมือของเธอลงบนหน้าผากของตัวเอง
“เอาเถอะ พวกเรามาถึงแล้ว และอย่าแตะต้องอะไรโดยที่ฉันไม่อนุญาตล่ะ” เธอพาเขาเข้าไปในห้องที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยที่สุดของโรงหลอม เมื่อเขาเข้าไปในนั้น เขาก็เห็นอาวุธและชุดเกราะมากมายที่ดูราวกับมีชีวิต แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ถูกใช้งาน แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าอันตรายที่ออกมาจากอาวุธในขณะที่ชุดเกราะพวกนั้นดูเหมือนจะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ไม่สามารถถูกทำลายได้ เขาได้เห็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างอุปกรณ์ของเขาและผลงานชิ้นเอกที่อยู่เบื้องหน้า
ขณะที่เขามองไปยังไอเท็มทั้งหลายด้วยสีหน้าทึ่งๆ เฮเฟสตัสก็พยักหน้าอย่างพอใจ เธอนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีพิมพ์เขียวและแปลนออกแบบมากมายซึ่งกระจัดกระจายอยู่เต็มโต๊ะ หลังจากทำความสะอาดและเก็บของพวกนั้นออกไปหมดแล้ว เธอก็เคาะโต๊ะเพื่อทำให้เขาหันกลับมา
“เอาล่ะ วางดาบลงบนนี้ได้เลย และถ้าหากเธอไม่รังเกียจที่จะตอบคำถามล่ะก็ มันจะช่วยฉันได้มาก” วาห์นพยักหน้า แต่ก่อนจะวางดาบลงบนโต๊ะ เขาก็ถามเรื่องบัตรผ่านขึ้นมา แม้เธอจะดูเหมือนรำคาญเล็กน้อย แต่เธอก็นำตราโลหะออกมาจากโต๊ะและส่งมันให้เขา มันเป็นตราที่มีสัญลักษณ์รูปค้อนสองอันไขว้กันเหนือภูเขาไฟ วาห์นมองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะวางดาบลงบนโต๊ะ
เฮเฟสตัสตรวจสอบที่มาของโลหะอย่างใกล้ชิดและถึงขนาดใช้เครื่องมือมากมายเพื่อตรวจสอบทั่วตัวดาบ เธอจะเคาะตัวดาบเบาๆ ขณะตั้งใจฟังเสียงบางอย่างที่วาห์นไม่ได้ยิน แล้วเธอก็พยักหน้าเป็นบางครั้งราวกับเข้าใจบางอย่าง วาห์นอยากรู้มากเลยว่าเธอสามารถมองเห็นอะไรจากดาบและเริ่มรู้สึกตระหนก…
เมื่อรู้สึกพึงพอใจกับการตรวจสอบของตัวเองแล้ว เฮเฟสตัสก็หันไปหาวาห์นด้วยสีหน้าใคร่รู้
“เธอได้ดาบนี่มาจากที่ไหนเหรอ?” นี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในหัวของเธอ เพราะเธอสงสัยที่มาที่ไปของมันมาก
เนื่องจากเขารับปากว่าจะตอบคำถาม วาห์นจึงบอกเรื่องโกหกที่เขาเตรียมไว้ขณะที่เธอตรวจสอบดาบต่อไป
“มันเป็นมรดกตกทอดของคุณปู่ที่เสียไปแล้วครับ ผมไม่แน่ใจว่าท่านได้มันมาจากไหน” เขาใช้ ‘คุณปู่’ เป็นคำแก้ตัวอีกครั้ง วาห์นเริ่มรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณคุณปู่ที่เขาไม่เคยเจอหรือรู้จักมาก่อนตะหงิดๆ
“หืมมม แล้วท่านตายเมื่อไหร่กัน? แล้วก็ทำอาชีพอะไรมาก่อนเหรอ?” เฮเฟสตัสรู้สึกได้ถึงความไม่ลงรอยกันในคำพูดของเขาดังนั้นจึงตัดสินใจขุดให้ลึกกว่าเดิม มันยากมากที่จะซ่อนอะไรก็ตามจากสายตาของเธอ และเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้ทะลุปรุโปร่ง
วาห์นเริ่มกังวลเมื่อเห็นสีหน้าที่เธอใช้มองเขาและเริ่มเสียใจที่ยอมมาที่นี่แต่แรก…
—————