Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 37
เฮเฟสตัสเริ่มต้นด้วยการนำชิ้นส่วนโลหะหยาบที่ถูกแช่ในสารละลายเพื่อกำจัดสิ่งเจือปนที่อยู่ภายในแร่ออกมา จากนั้นเธอก็ใส่มันลงในภาชนะซึ่งสามารถทนต่อความร้อนของ ‘เพลิงนิรันดร์’ ที่สถิตอยู่ในเตาหลอมได้ เธอจะนำโลหะที่มีความร้อนสูงออกมาเป็นระยะก่อนที่จะตรวจสอบและแยกส่วนที่เป็นกากแร่ออกด้วยการใช้ค้อน
วาห์นเฝ้าดูกระบวนการด้วยความประหลาดใจกับวิธีการที่เธอใช้ในแต่ละขั้นตอน ดูเหมือนเธอจะดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก แต่ดวงตาของเธอบ่งบอกถึงสมาธิขั้นสูงสุดราวกับว่าสามารถมองเห็นทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวภายนอกหรือภายในตัวแร่ก็ตาม ทุกการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยถูกมองออกอย่างง่ายดายด้วยการมองของเธอ จากนั้นเธอจะใช้ค้อนวิเศษในมือเพื่อนำความไม่สมบูรณ์ภายในแร่ออกไป เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีแต่ดูราวกับผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดเธอก็นำโลหะบริสุทธิ์ออกมาและขึ้นรูปจนมันกลายเป็นแท่งโลหะ
“นี่คือกระบวนการกลั่นและขึ้นรูปโลหะให้เป็นแท่ง โลหะที่เธอเห็นนั่นคือโลหะเวทมนตร์ที่ถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ระดับสูงของเรา เราจะใช้มานาเพื่อนำสิ่งเจือปนภายในแร่ดิบออกมา จากนั้นก็ปรับปรุงโครงสร้างของวัตถุดิบโดยใช้ความดัน ในขั้นตอนนี้ เธอสามารถใช้ค้อนเพื่อเสริมแกร่งโครงสร้างของโลหะและเพิ่มคุณสมบัติเวทมนตร์ให้กับมันได้ นี่จะทำให้อาวุธกลายเป็นสื่อนำของมานาและการใช้สกิลควบคู่กับอาวุธดังกล่าวจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น เธอยังสามารถใส่คุณสมบัติพิเศษลงไปในตัวโลหะได้ด้วยหากฝึกฝนมากพอ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ยุ่งเหยิงของเขาในระหว่างการอธิบาย เธอก็เริ่มหัวเราะก่อนจะวางโลหะลงบนแท่นวางใกล้เคียงเพื่อรอให้มันเย็นลง
“ไม่ต้องห่วงหรอกวาห์น สิ่งที่เธอเพิ่งดูไปคือกระบวนการที่ผ่านการฝึกซ้อมและการทดลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ตราบใดที่เธอเข้าใจหลักการพื้นฐาน เธอจะชำนาญขึ้นทีละนิดในระหว่างที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เอ้านี่ ลองทำดูสิ ฉันจะแนะนำแบบทีละขั้นตอนให้นะ”
เธอยื่นค้อนที่ใช้ในการกลั่นโลหะเวทมนตร์ให้กับวาห์น สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือมันหนักกว่าที่เขาคาดไว้มาก หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาอาจจะถือมันไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ เขานึกอยากจะนำมันไปไว้ในช่องเก็บของเพื่อวิเคราะห์ดู แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน
เขานำแร่ดิบออกมาจากสารละลายและเริ่มเลียนแบบกระบวนการในการหลอม เขาพบว่าการวางตำแหน่งแร่ในเปลวไฟนั้นเป็นเรื่องยากมาก และการคำนวณที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลให้สูญเสียแร่เหล็กบางส่วนไปในกองไฟ การทำความเข้าใจกับเรื่องนี้อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเฮเฟสตัสมักจะนำแร่ออกจากเปลวไฟ เขาเริ่มสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลหะเพื่อดูว่าจำเป็นต้องนำมันออกมาหรือไม่
เฮเฟสตัสเฝ้าดูและพยักหน้าเมื่อเห็นความก้าวหน้าของเขา แม้จะดูออกได้ทันทีว่าเขาเป็นมือใหม่ แต่การใส่ใจในรายละเอียดเมื่อทำผิดพลาดนั้นแสดงให้เห็นว่าเขามีทักษะการสังเกตมากพอที่จะเป็นช่างตีเหล็กได้ เธอยังคงเฝ้าดูในขณะที่เขาเริ่มนำแร่เข้ากระบวนการต่างๆ และให้คำแนะนำหากจำเป็น
วาห์นใช้สมาธิทั้งหมดที่มีกับเรื่องตรงหน้า และเขาก็เริ่มติดขัดในขณะที่พยายามจัดการกับแร่ดิบอย่างสุดความสามารถ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขานำมันออกจากเปลวไฟเพื่อเอาสิ่งเจือปนออก เขากลับพบว่าการขึ้นรูปวัตถุดิบนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก น้ำหนักของค้อนเองก็ช่วยได้บ้าง แต่เขาไม่สามารถขึ้นรูปโลหะตามที่ตัวเองต้องการได้
“จำไว้นะวาห์น ว่าเธอต้องเพ่งสมาธิและส่งมานาของเธอผ่านไปที่ตัวค้อน มันจะทำให้การขึ้นรูปโลหะง่ายขึ้นมาก”
เฮเฟสตัสเข้าใจดีว่าทำไมเขาถึงประสบปัญหา เพราะค่าสถานะที่มหาศาลของเขานั่นเอง เธอจึงตัดสินใจให้เขาใช้ค้อนจากคอลเลกชันส่วนตัวของเธอ หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม เขาจะไม่สามารถขึ้นรูปโลหะได้ แต่เธอเชื่อว่าพลังเวทระดับ SSS จะช่วยให้เขาปรับตัวได้เป็นอย่างดีหากทำการฝึกเฝนพิ่มเติม
เมื่อได้ยินคำแนะนำของเธอ วาห์นก็สูดหายใจลึกๆ และพยายามผ่อนคลาย หากปัญหาอยู่ที่การควบคุมและสมาธิ เขาก็ต้องใช้ไม้ตายเข้าช่วยและเริ่มใช้สกิล [จิตแห่งราชัน] ทำให้เขตแดนของเขาแพร่กระจายไปทั่วทั้งโรงหลอม
เฮเฟสตัสขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าเขายังคงทำงานต่อไปเธอก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ทันทีที่เขาเปิดใช้งานสภาวะกึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ เธอก็สังเกตเห็นว่าการควบคุมมานาของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและเขาสามารถรวมมันเข้าไปในค้อนได้อย่างง่ายดาย เธอรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากแผงวงจรมานาภายในตัวค้อนมักจะไม่สามารถใช้งานได้หากผู้ใช้ขาดความเข้าใจในโครงสร้างภายในของมัน เธอเชื่อว่าออร่าของเขาทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของมานาภายในเขตแดนที่เขาสร้างขึ้นและที่จริงเธอก็เดาได้ใกล้เคียงมากเลยทีเดียว
วาห์นใช้การรับรู้และการควบคุมที่เพิ่มขึ้นของเขาเพื่อขจัดสิ่งเจือปนออกไปให้หมด เขาใช้เวลาไปเกือบห้าเท่าจากที่เฮเฟสตัสใช้ แต่เขาก็สามารถรักษาวัตถุดิบไปได้กว่า 70% ของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด เขาเริ่มขึ้นรูปมันให้เป็นแท่งโลหะในทันที แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือก้อนแร่กลมๆ (^0^)
เมื่อเฮเฟสตัสเห็นผลที่ได้ก็แอบหัวเราะในใจ แม้เขาจะดูมีพรสวรรค์อย่างมากในการกลั่นโลหะ แต่การขึ้นรูปนั้นคงต้องเสริมสร้างประสบการณ์ให้มากกว่านี้ก่อนที่เขาจะทำมันได้อย่างชำนาญ เหตุผลที่เขาล้มเหลวในตอนท้ายก็เพราะเขาปล่อยให้โลหะเย็นลงขณะที่กำลังสังเกตมัน หากเริ่มขึ้นรูปทันทีหลังจากที่เอามันออกจากเตาหลอมก็คงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจบนใบหน้าของวาห์น เธอก็เลยปลอบใจเขา
“ไม่ต้องกังวลนะวาห์น เธอทำได้ดีมากสำหรับครั้งแรก จำไว้นะว่านี่คือวัสดุที่เราใช้ในผลิตภัณฑ์ระดับภาพสูงของเรา แถมมันยังเป็นการหลอมครั้งแรกของเธอด้วย มันคงจะน่ากลัวเกินไปแล้วหากเธอทำมันออกมาได้อย่างไร้ที่ติตั้งแต่ครั้งแรก”
เฮเฟสตัสหยิบแท่งโลหะที่ผิดรูปก่อนที่จะหลอมมันอีกครั้งโดยใช้ ‘เพลิงนิรันดร์’
“ดูให้ดีนะ ฉันจะแสดงให้ดูอีกครั้ง เธอต้องเริ่มขึ้นรูปโลหะทันทีที่มันเข้าถึงสภาวะวิกฤติ เนื่องจากคุณสมบัติที่เป็นสื่อนำของโลหะชนิดนี้ มันจะเย็นลงอย่างรวดเร็วจากการดูดซับธาตุจากอากาศ เธอมีเวลาสั้นๆ ที่จะขึ้นรูปก่อนหลอมมันและทำกระบวนการนี้ซ้ำอีกหลายครั้ง”
แทนที่จะขึ้นรูปโลหะทันที ครั้งนี้เฮเฟสตัสแสดงกระบวนการที่ช่างตีเหล็กปกติเขาทำกัน เธอทำซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงเจ็ดครั้งก่อนที่มันจะมีรูปร่างคล้ายกับแท่งโลหะที่ทำออกมาในครั้งแรกเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า
เมื่อทำเสร็จแล้ว เธอก็วางมันไว้บนแท่นก่อนที่จะหันไปหาวาห์น “วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ฉันบอกได้เลยว่าเธอมีความสามารถในการตีเหล็กแฝงอยู่พอควร เดี๋ยวจะให้คนสอนพื้นฐานกับเธอในอนาคต และหากฉันว่างเมื่อไหร่ก็จะลงมาสอนด้วยตัวเองเป็นครั้งคราว เธอต้องตั้งใจให้ดีล่ะ เพราะเวลาของฉันมีค่ามากเลยทีเดียว”
เธอยิ้มให้วาห์นอย่างร่าเริงขณะพูดออกมา แต่แล้วรอยยิ้มก็แทบจะหุบลงในทันทีเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา แม้ว่าจะฟังสิ่งที่เธอพูดหรือแม้กระทั่งพยักหน้าตาม แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังใจจดใจจ่อไปกับก้อนโลหะในสารละลายมากกว่าคำพูดของเธอ
(‘เขาอยากจะลองอีกครั้งงั้นเหรอ?’) เธอชื่นชมแรงผลักดันของเขา แต่การฝืนทำอะไรสักอย่างมักจะไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะกับผู้ที่เริ่มต้นใหม่ การสะสมของความอ่อนเพลียทางร่างกายและจิตใจจะทำให้กระบวนการต่างๆ ยากยิ่งกว่าเดิม เธอพยายามจะโน้มน้าวเขาแต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้เธอหยุดชะงักไป
วาห์นหยิบค้อนพร้อมกับแร่ดิบขึ้นมา ออร่าที่กระจายออกไปทั่วทั้งโรงหลอมนั้นกลับมารวมตัวกันในรัศมี 3 เมตรรอบตัวเขา บางทีอาจเป็นเพราะความอับอายจากความล้มเหลวในรอบแรก หรืออาจเพราะจิตวิญญาณนักแข่งที่เขาไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตนมี แต่วาห์นตัดสินใจซื้อคู่มือในการตีเหล็กจากระบบเพื่อซึมซับความรู้อย่างรวดเร็ว
เขาใช้ OP ไปทั้งหมด 17,000 แต้มในการซื้อคู่มือที่เขาสามารถใช้ได้ที่ระดับดวงวิญญาณปัจจุบัน ขณะที่สมองของเขากำลังรับข้อมูลมากมาย วาห์นก็เกือบหมดสติแต่ยังทนอยู่ได้ด้วยการใช้ [จิตแห่งราชัน] แบบเต็มกำลัง
จากภายนอก เฮเฟสตัสมองเห็นพลังงานบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นรอบๆ วาห์น แม้ว่าเธอจะสัมผัสถึงมันและกะขอบเขตของมันด้วยนัยน์ตาเทพของเธอได้ตั้งแต่แรก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นมานาของเขาด้วยตาเปล่า คงจะไม่เป็นการพูดเกินจริงหากบอกว่าการทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้ได้นั้นต้องใช้ความสามารถในการควบคุมระดับเทพเจ้าขึ้นไป เธอกังวลว่าอะไรก็ตามที่เธอพูดอาจทำให้สภาวะดังกล่าวหายไป ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะอยู่เฉยไว้ก่อน
หลังจากที่สมองของเขาเรียงลำดับข้อมูลทั้งหมดเสร็จแล้ว วาห์นก็รู้สึกราวกับว่าตัวเขาเองเป็นช่างตีเหล็กมานานหลายทศวรรษ เขารู้ดีว่าตัวเองยังขาดประสบการณ์ด้านภาคปฏิบัติอยู่มาก แต่เขาวางแผนจะพัฒนามันอย่างรวดเร็วในอนาคต เนื่องจากข้อมูลการตีเหล็กที่เขาได้รับมานั้นรวมถึง ‘เรคคอร์ด’ ที่อยู่นอกดันมาจิด้วย ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีความรู้ด้านทฤษฎีพื้นฐานมากกว่าเฮเฟสตัสเสียอีก เขาอาจจะยังสู้เธอไม่ได้ทั้งในเรื่องทักษะหรือประสบการณ์จริง แต่เขาจะสามารถคิดค้นและเรียนรู้เทคนิค ‘เหนือโลก’ ได้หากมีเวลาเพียงพอ
วาห์นเข้าสู่สภาวะสมาธิสมบูรณ์และเริ่มกระบวนการกลั่นโลหะทันที แม้ว่ายังมีความสูญเสียอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็สามารถรักษาวัตถุดิบไว้ได้ประมาณ 83% จากทั้งหมด หลังจากที่เขานำสิ่งเจือปนออกจากโลหะเวทมนตร์ก้อนใหม่ เขาก็เริ่มทำการขึ้นรูปซึ่งครั้งนี้มีการใช้มานาเพื่อหล่อโครงสร้างพื้นฐานของแท่งโลหะในขณะที่ใช้ค้อนควบคู่ไปด้วย
เขาทำกระบวนการการหลอมโลหะและขึ้นรูปหลายครั้งจนกระทั่งคิดอะไรดีๆ ออก
(‘ถ้าเราสามารถใช้มานาเพื่อขึ้นรูปโลหะได้ งั้นเราก็ต้องทำแบบเดียวกันในตอนที่หลอมมันได้ด้วยสิ?’)
เขาลองตรวจสอบทฤษฎีนี้ทันที แต่กลับพบว่ามันยากกว่าที่คิดไว้มาก ในขณะที่อิทธิพลของเปลวไฟนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องห่วงหากเขากลั่นโลหะตามปกติ เมื่อเขาส่งพลังงานของตัวเองไปยังเปลวไฟในปริมาณที่เข้มข้น เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่เผาผลาญอยู่ภายในร่างกาย ราวกับว่าพลังงานในตัวของเขาทั้งหมดกำลังลุกไหม้
เฮเฟสตัสที่สังเกตการทำงานของเขาอย่างใกล้ชิดก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ในทันที เมื่อมองผ่านนัยน์ตาเทพของเธอ เธอเห็นว่าเขากำลังใช้มานาในการ ‘หล่อ’ แท่งโลหะที่อยู่ภายในเตาหลอม เพราะ ‘เพลิงนิรันดร์’ เป็นเปลวเพลิงลึกลับที่สามารถเผาผลาญได้ทุกอย่าง การส่งมานาในปริมาณมากเข้าไปในนั้นโดยตรงดูจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างอันตราย หากโชคร้าย มันอาจสร้างความเสียหายให้กับวิญญาณของวาห์นและทำลายพื้นฐานที่เขาวางเอาไว้จนหมด
แม้ต้องการที่จะหยุดยั้งเขา แต่เฮเฟสตัสก็กลัวว่าการขัดจังหวะในตอนนี้จะเร่งให้สถานการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้นไวกว่าเดิม เฮเฟสตัสเริ่มรู้สึกหมดหนทางเมื่อมองดูเขาต่อสู้กับเพลิงนิรันดร์ หากเธอรู้ว่าเขาจะเป็นคนใจร้อนแบบนี้ เธอคงจะวางมาตรการป้องกันไว้ก่อน
บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มกระจายไปทั่วห้อง ในอีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ชื่อวาห์นก็กำลังตั้งจิตแน่วแน่เกินกว่าที่เขาคิดว่าตัวเองจะทำได้ แต่ไม่ว่าเขาจะผลักดันตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม ดูเหมือนความล้มเหลวจะใกล้เข้ามาทุกที
อีกด้านหนึ่งของห้องคือเฮเฟสตัส เทพธิดาผู้มากด้วยประสบการณ์ ผู้ที่เริ่มตำหนิตัวเองในเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เธอกลั้นลมหายใจและเริ่มรู้สึกถึงสิ่งแปลกๆ ภายในหัวใจของเธอเอง
เมื่อความกดดันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วาห์นก็รู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่บนเชือกระหว่างสติและการหมดสติ เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ปฏิเสธที่จะยอมแพ้หลังจากได้เห็นว่าแท่งโลหะนั้นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
ในที่สุด หลังจากผ่านไปหลายวินาทีที่ดูยาวนานคล้ายจะไม่มีวันจบ โลหะก็ถูกก่อขึ้นเป็นรูปร่างอย่างสมบูรณ์ พื้นผิวนั้นมีความมันวาวแบบไร้ที่ติและสภาพของแต่ละด้านก็ทำออกมาได้ดี โชคร้ายที่วาห์นไม่มีเวลาจะมาฉลองเนื่องจากเขาพบว่าตัวเองไม่สามารถถอนพลังงานและการรับรู้ออกมาจากเพลิงนิรันด์ได้ ดูเหมือนมันตั้งใจที่จะดูดพลังงานของเขาจนกว่าจะหมดราวกับมันมีชีวิตจิตในเป็นของตัวเอง
ถ้าว่ากันตามจริงแล้วก็คงจะเป็นแบบนั้น…
‘เพลิงนิรันดร์’ คือสมบัติเฉพาะตัวของเฮเฟสตัสตั้งแต่ที่เธอได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งความเป็นเทพ มันติดตามเธอมาที่โลกมนุษย์เพื่อช่วยในการผลิตไอเท็มอย่างไร้ใครเทียบตลอดมา แต่ไม่นานมันก็เริ่มเบื่อสถานที่แห่งนี้ มันโหยหาช่วงเวลาที่มันเคยหล่อหลอมโลหะสวรรค์และสรรสร้างวัตถุโบราณที่มีแต่พวกทวยเทพเท่านั้นจึงจะใช้มันได้
เมื่อเฮเฟสตัสยอมให้เด็กมือใหม่นี่ทำงานโดยใช้เปลวไฟของตน ‘เพลิงนิรันดร์’ จึงมุ่งความแค้นไปที่มนุษย์โง่ๆ ที่อยู่ตรงหน้ามันทันที มนุษย์คนนี้ทำการปรับเปลี่ยนความแรงในการเผาไหม้ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียของวัตถุดิบในปริมาณมาก มันเยาะเย้ยเด็กหนุ่มที่ขาดทักษะและไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
หลังจากที่เด็กหนุ่มเสร็จสิ้นกระบวนการบางส่วนไปแล้ว ‘เพลิงนิรันดร์’ ก็มองดูเขาล้มเหลวในการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแท่งโลหะ ในตอนนั้นเอง ถ้ามันสามารถหัวเราะได้ เสียงของมันคงจะดังไปทั่วโรงหลอมแน่นอน
หลังจากที่เฮเฟสตัสหลอมโลหะอีกครั้ง มันก็ยอมให้เธอสาธิตให้เด็กนั่นดูว่าการทำงานของจริงมันเป็นยังไงเพื่อทำให้เขาเสียกำลังใจจนไม่อยากที่จะเป็นช่างตีเหล็กอีก แต่เฮเฟสตัสทำอะไรน่ะเหรอ? เธอสาธิตอีกครั้งอย่างช้าๆ และถึงขนาดใช้กระบวนการที่พวกมือใหม่เขาทำกัน มันต้องหลอมโลหะชิ้นเดิมซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งโลหะเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง
‘เพลิงนิรันดร์’ เริ่มไม่พอใจเด็กคนนี้มากขึ้นทุกที เพราะมันต้องทนดูนายหญิงของมันลดตัวลงมาอยู่ระดับเดียวกับเจ้าเด็กนี่ เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นพยายามหลอมโลหะอีกชิ้น มันจึงคิดหาทางแก้แค้นแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะจู่ๆ การทำงานของเขากลับดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา
‘เพลิงนิรันดร์’ เริ่มเผาไหม้ด้วยความโกรธแค้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มสามารถรักษาวัตถุดิบได้มากพอสมควรแม้มันจะเข้าแทรกแซงแล้วก็ตาม
ขณะที่เด็กหนุ่มเริ่มขึ้นรูปโลหะ ความโกรธของมันก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด… จนกระทั่งเด็กหนุ่มทำพลาด! เจ้าเด็กงี่เง่าเกิดบ้าบิ่นถึงขนาดใส่มานาของตัวเองเข้าไปในโครงสร้างของมันโดยตรง
พอ ‘เพลิงนิรันดร์’ ตระหนักถึงสิ่งนี้ มันจึงพยายามสร้างตัวล็อกทางวิญญาณรอบๆ พลังงานที่บุกรุกเข้ามาแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ใช่สิ่งที่มันคาดไว้เลย พลังงานที่มนุษย์คนนี้ใช้นั้นดูเหมือนจะยับยั้งพลังบริสุทธิ์ของมันเอาไว้ได้และทำให้มันเกิดความกลัวในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ความกลัวที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้มันโมโหหนักกว่าเดิม มันเริ่มดูดพลังงานของเด็กหนุ่มและแปลงให้เป็นพลังของตัวเอง ยิ่งทำแบบนั้นมันก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจกับความบริสุทธิ์ของพลังงานที่มันไม่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าพลังงานนี้สามารถหล่อเลี้ยง ‘แกนหลัก’ ของมันและทำให้เปลวไฟแข็งแกร่งขึ้น ความเกลียดชังทั้งหมดที่มีต่อเด็กหนุ่มกลับกลายเป็นความปีติยินดีในขณะที่มันพยายามดูดซับพลังงานเพิ่มเติม
วาห์นรู้สึกได้ว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการยับยั้งเปลวไฟนั้นกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที ความพยายามในการถอนพลังงานออกมา ทำให้ ‘ดวงวิญญาณ’ ของตัวเองถึงกับต้องกรีดร้อง ทุกครั้งที่ล้มเหลวทำให้สติของเขาพร่าเลือนกว่าเดิม แต่เขาปฏิเสธที่จะยอมแพ้ให้กับเปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้า ความปรารถนาของเขาที่จะหนีจากเพลิงนิรันดร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของตัวเอง
จู่ๆ ภายในดวงตาของวาห์นก็มีภาพของนักรบปรากฏขึ้น หากเหล่าโคโบลด์ที่โชคร้ายได้มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้คงจะรู้สึกว่านักรบที่พวกมันเคยเห็นนั้นแจ่มชัดมากกว่าแต่ก่อน นักรบยกดาบอันน่าเกรงขามขึ้นสู่สรวงสวรรค์ก่อนที่จะฟันลงมาด้วยพลังทั้งหมดที่มี
วาห์นสามารถได้ยินเสียงสะท้อนของโซ่ล่ามที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะที่เขาแย่งการควบคุมคืนมาจากเพลิงนิรันดร์
เขาถือแท่งโลหะไร้ที่ติไว้ในมือและจ้องมันด้วยสายตาอันแรงกล้าก่อนจะยื่นมันให้กับเทพธิดาที่ยืนอ้ำอึ้งจากเหตุการณ์ทั้งหมด
“ผมทำได้แล้ว…” เมื่อคำพูดหลุดออกมาจากริมฝีปาก วาห์นก็เข้าสู่สภาวะ ‘หมดสติ’ ในขณะที่ยังคงยืนอยู่ในท่านั้น
เฮเฟสตัสจ้องมองเด็กชายที่แสดงความสำเร็จอย่างภาคภูมิใจในสภาพล้มทั้งยืน เธอค่อยๆ หยิบแท่งโลหะออกก่อนที่จะนำร่างของเขาไปไว้ที่โซฟาภายในห้องทำงานของเธอ หลังจากวางเขาลง เธอยังคงจ้องมองด้วยตาทั้งสองเป็นเวลาหลายนาที
“นี่ฉันรับเด็กแบบไหนเข้ามาในแฟมิเลียกันนะ… ถึงกับเอาชนะ ‘เพลิงนิรันดร์’ และยึดเอาการควบคุมกลับมาได้…” ขณะที่เธอยังคงจ้องมองใบหน้าหลับใหลของเขา ความคาดหวังในอนาคตก็ผุดขึ้นมาในในของเฮเฟสตัส
“สีหน้าตอนนอนก็ดูน่ารักดีนี่นา~ ดูเหมือนจะพยายามมากจนหมดแรงเลยสินะ~”
เทพธิดาที่เคยดูสงบนิ่งเริ่มยิ้มและหัวเราะเหมือนคนบ้า ตอนนี้เธอแตกต่างไปจากเทพธิดาที่วาห์นเคยเห็นและรู้จักเป็นอย่างมาก น่าเศร้าที่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเขาจะได้เห็นด้านที่น่ารักนี่กับตาตัวเอง
—————