Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 38
วาห์นล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า เขาบอกไม่ได้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางไหนขณะที่ร่างกายค่อยๆ เคลื่อนที่ไปเรื่อย มีความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและเตือนให้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ลืมเลือนไปนานแสนนาน เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดความหนาวเหน็บขึ้นในร่างกาย เขารู้สึกว่าความอบอุ่นเริ่มจากหายไปและความตื่นตระหนกก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วจิต เขาเริ่มรู้สึกหมดหวังที่จะค้นหาความรู้สึกอบอุ่น แต่ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถตามหามันพบอีกครั้ง
—
ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ที่จะตามหาความรู้สึกนั้นและเริ่มค้นหาการปลอบประโลมและความเงียบสงบที่มาจากความหนาวเหน็บซึ่งซึมซาบเข้าไปในทุกอณูร่างกายของเขา ทว่า แม้ว่าเขาจะเลิกล้มตามหา เขาก็ยังต้องการปกป้องความทรงจำอันอับอุ่นที่อยู่ส่วนลึกภายใน เขาม้วนตัวเข้าหากันให้ร่างกายมีขนาดเล็กที่สุดและจินตนาการว่าความอบอุ่นยังคงอยู่ เป็นความทรงจำที่สะท้อนจากที่ที่แสนไกลซึ่งเขาจะไม่ยอมสูญเสียมันไปเด็ดขาด
—
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วขณะที่ร่างกายล่องลอยอย่างไร้จุดหมายผ่านความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด ความเงียบสงัดกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขามายาวนานจนถึงขนาดที่เขาสูญเสียแนวคิดที่ยึดมั่นตัวเองไว้ในตอนแรก ร่างกายของเขาขดตัวเป็นรูปร่างคล้ายกับทรงกลม ความคิด อารมณ์ หรือแม้แต่ความฝันก็จางหายไปนานแล้ว… กลายเป็นชิ้นส่วนของกาลเวลาอันแสนยาวนานที่ถูกลืมเลือน มีเพียงความทรงจำอันอบอุ่นที่ยับยั้งร่างกายของเขาไม่ให้หายไปในความมืดที่ไร้จุดจบและไร้ที่สิ้นสุดของความว่างเปล่า
—
อยู่มาวันหนึ่ง รูปทรงกลมที่ไร้ความนึกคิดได้พบกับแสงสว่างดวงเล็กๆ ภายในความมืดซึ่งมันได้กระตุ้นจิตวิญญาณที่อยู่ภายในรูปทรงกลมขึ้นมา จากแสงดวงเล็กๆ ที่ดูไม่สำคัญ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับความอบอุ่นอันเก่าแก่ที่ทรงกลมเคยตามหาอย่างสิ้นหวังในอดีต ทรงกลมรีบค้นหาการปลอบประโลมที่อยู่ภายในแสงอันอบอุ่นอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความรีบร้อนจึงเกือบจะทำให้แสงสว่างอันตรธานหายไป มันจึงกลายเป็นความขัดแย้ง เนื่องจากมันต้องการรับแสงสว่างไว้เพื่อตัวเอง แต่ก็กลัวว่าจะสูญเสียมันไปอีกครั้ง
มันเริ่มที่จะโอบล้อมแสงสว่างอย่างอ่อนโยนและสัมผัสมันอย่างเบาๆ เพื่อค่อยๆ แผ่ความอบอุ่นไปยังโครงร่างที่หนาวเหน็บและอ้างว้างภาย นานๆ ครั้งที่มันจะทำการเสียสละบางส่วนของตัวเองให้กับแสงสว่าง โดยหวังว่าให้ชิ้นส่วนพวกนั้นจะทำให้แสงสว่างเติบโตและสักวันคงช่วยให้มันกู้คืนสิ่งที่สูญเสียไปกลับมาได้ เมื่อชิ้นส่วนเหล่านี้ถูกกระจายออกไป แสงสว่างก็จะปล่อยภาพของช่วงเวลาและสถานที่ที่ทรงกลมไม่เคยพบเห็นมาก่อน ภายในรูปภาพเหล่านั้น มันได้เห็นรูปร่างและต้นกำเนิดของแสงสว่างอันอบอุ่น มันเป็นผู้นำของแสงสว่างอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กแต่ทรงพลังมาก เพื่อเผชิญหน้ากับความมืดและช่วยสร้างเส้นทางข้ามผ่านขุมนรก ทรงกลมหวังว่าสักวันหนึ่งแสงสว่างและพรรคพวกคงจะสามารถ-
—
วาห์นตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อเย็นๆ ที่ชุ่มกาย หัวของเขาปวดอย่างรุนแรงเหมือนกับตอนที่เขาใช้ [จิตแห่งราชัน] มากเกินไป เขาพยายามอย่างหนักเพื่อนึกเรื่องที่เขาเพิ่งฝันถึง แต่ยิ่งเพ่งความคิดมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งหายไปเร็วขึ้นเท่านั้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงช่วงเวลาแห่งความสงบที่ลึกๆ แล้วรายล้อมไปด้วยความอ้างว้าง…
“ตื่นแล้วสินะ นึกว่าเธอจะหลับต่ออีกวันซะอีก” น้ำเสียงอ่อนโยนเข้ามาทำลายความรู้สึกว่างเปล่าที่เริ่มฝังรากลึกอยู่ในใจของเขา วาห์นหันไปทางที่มาของเสียงและเห็นเฮเฟสตัสมองเขาด้วยความห่วงใย
“ขอโทษครับ… ผมแค่ฝันไป ไม่สิ ฝันร้ายต่างหาก….” วาห์นส่ายหัวของตนเพื่อขับไล่ความรู้สึกแย่ๆ ที่เหลืออยู่ก่อนจะลุกจากโซฟา เฮเฟสตัสผู้ที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะของตนกำลังทำงานเขียนแบบแปลน ได้เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเขาขณะที่วางปากกาลง
“วันนี้เธอวางแผนไว้บ้างหรือยัง? เพราะเธอเข้าร่วมแฟมิเลียของฉันอย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้นเธอจะมีห้องทำงานของตัวเอง แต่ฉันคิดว่าตอนนี้เธอน่าจะไปฝึกงานกับช่างตีเหล็กมืออาชีพก่อน ถ้าเธอยังไม่มีแผน จะแนะนำช่างตีเหล็กฝีมือดีให้เธอรู้จัก เธอคนนั้นเก่งมาก และเป็นคนที่ฉันเชื่อใจให้สอนทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจำเป็นต้องรู้ในอนาคต”
วาห์นส่ายหัวเชิงขอโทษ “ผมวางแผนจะไปพบใครบางคนในเช้านี้ และผมยังต้องแจ้งเรื่องเลเวลอัพให้ทางกิลด์ทราบเสร็จแล้วไปขยายเวลาเช่าห้องในโรงแรมด้วย หวังว่าพวกเขาคงยังไม่ปล่อยให้คนอื่นมาเช่าห้องของผมไปแล้วนะ”
เฮเฟสตัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเพิ่งนึกถึงความรีบร้อนของเขาเมื่อคืน แม้ว่าเธอจะยอมรับเขาเข้ามาในแฟมิเลียแล้ว แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะบังคับให้เขาเปลี่ยนแผนและวิถีชีวิตของตัวเองจนกว่าเขาจะสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อย “ฉันเข้าใจ ฉันจะให้เวลาเธอหนึ่งสัปดาห์เพื่อจัดการเรื่องทุกอย่าง แต่เธอจะต้องแจ้งให้ฉันรู้ด้วยหากมีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้การอยู่ในแฟมิเลียนี้จะไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก แต่เธอก็เหมือนเป็นหน้าเป็นตาให้กับแฟมิเลียของเรา ในอนาคตเธอจะต้องคำนึงเรื่องการกระทำของตัวเองให้ดี ฉันไม่อยากเห็นเธอลากปัญหาไม่รู้จบมาให้ฉันช่วยแก้อยู่ตลอดนะ”
หลังจากบอกเขาเกี่ยวกับทุกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ เฮเฟสตัสก็พาเขาออกจากห้องทำงาน เธอกลับสู่ท่าทางปกติและเริ่มสวมที่ปิดตาอีกครั้งในช่วงที่วาห์นหลับอยู่ เมื่อพวกเขามาถึงประตูทางเข้า วาห์นก็โค้งให้อย่างสุภาพก่อนจะโบกมืออำลา พอเห็นเขากำลังจากไป เฮเฟสตัสก็เรียกเขาด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็ต้องรีบบอกให้ฉันรู้นะ ตอนนี้เธอเป็นเด็กในแฟมิเลียของฉันแล้ว และฉันจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเด็กๆ ของตัวเองแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ วาห์นจึงเผยรอยยิ้มกว้างให้ก่อนพูดตอบ
“ขอบคุณครับ เฮเฟสตัส ผมจะเชื่อใจคุณ…”
ขณะที่เขากำลังหันหลังกลับไป เขาก็พูดต่อ
“สักวันหนึ่ง ผมหวังว่าคุณเองก็จะเชื่อใจผมเช่นกัน” จากนั้นเขาก็วิ่งไปทางอาคารกิลด์ ทิ้งให้เฮเฟสตัสยืนกอดอกพิงประตูและยิ้มออกมาอยู่คนเดียว
เธอมองไปยังร่างที่ค่อยๆ ทิ้งห่างออกไปจนลับสายตา จากนั้นก็ถอนหายใจพร้อมกับกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง หลังจากเข้ามาในห้อง เธอก็มองไปทางโซฟาที่วาห์นใช้เมื่อคืนซึ่งตอนนี้ไม่มีใครนอนอยู่ และหลังจากล็อกประตูอย่างแน่นหนา เธอเดินไปที่โซฟาก่อนที่จะฟุบลงไปที่เบาะ ด้วยสาเหตุบางอย่าง ห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ชั้นเลิศตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกว่างเปล่า เธอได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนจากโซฟาและก็เริ่มรู้สึกเขินหลังจากเข้าใจที่มาของกลิ่น…
นึกย้อนกลับตอนก่อนที่เขาจะออกไป เฮเฟสตัสเห็นร่องรอยของความเหงาที่อยู่ในร่างเล็กๆ นั่น แต่ภายในร่างนั้น เธอยังเห็นถึงความปราถนาอันแรงกล้าที่จะแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงความสนใจในโลกที่อยู่รอบตัวเขา ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้หัวใจของเธอสะดุ้งเล็กน้อย และความพยายามที่จะรักษาความเยือกเย็นไว้ก็หมดลงเมื่อเธอกลับมาถึงห้องทำงาน เมื่อเธออยู่ในห้องที่ปลอดภัย เธอจึงเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและตัดสินใจนอนสักงีบบนโซฟา
จากนั้นไม่นานเธอก็หลับไป ในตอนที่วาห์นหลับเมื่อคืนก่อน เธอได้ใช้เวลามากมายไปกับการมองดูสีหน้าต่างๆ ของเขา เธอเริ่มลูบหัวเขาเบาๆ ขณะที่เขาฝันร้ายเพื่อบรรเทาความกังวล สถานการณ์นี้ดำเนินไปจนถึงเช้า จนเขาเริ่มมีท่าที่ว่าจะตื่นขึ้นซึ่งทำให้เธอต้องรีบกลับไปที่โต๊ะและแกล้งทำเป็นกำลังทำงานอยู่
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เธออยากจะถามว่าเขาฝันเห็นอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดก็ทำให้เฮสเฟตัสกลืนคำพูดของตนและพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด เรื่องเหล่านี้สร้างความเหนื่อยล้าให้กับเทพธิดาผู้มีเรือนผมสีแดงอย่างมากขณะที่เธอค่อยๆ ตกลงสู่ดินแดนแห่งความฝัน
—
วาห์นเดินเข้าไปในกิลด์ และรู้สึกเซ็งๆ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีใครที่เขารู้จักกำลังว่างอยู่เลย เขาเห็นฟาวน่ากำลังรับลูกค้าที่โต๊ะภารกิจขณะที่เอน่าผู้มีหน้าตาน่ารักกำลังจัดการกับลูกค้าที่ต่อแถวยาวอยู่ที่โต๊ะของเธอ ในที่สุดเขาก็ไปจบลงที่โต๊ะของเอล์ฟหนุ่มผมสีเขียวท่าทางสุภาพที่มองเขาแบบหยิ่งๆ ก่อนที่สีหน้านั่นจะเปลี่ยนเป็นตกใจหลังจากเห็นจำนวนคริสตัลที่เขานำออกมา หลังจากที่รู้ว่าวาห์นเข้าสู่หอคอยเป็นเวลาไม่ถึงสัปดาห์ก็จะขึ้นเป็นเลเวล 2 แล้ว เขาก็เกือบคิดว่าเด็กคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่ในคราบของมนุษย์ดีๆ นี่เอง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขารู้ว่าวาห์นเข้าร่วมเฮเฟสตัสแฟมิเลียและกลายเป็นนักผจญภัยที่ได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการกับกิลด์แล้ว เขาก็โค้งคำนับให้ก่อนจะทำเรื่องแลกเปลี่ยนกันต่อ
ระหว่างที่กำลังออกไป วาห์นก็สบตากับเอน่าและทั้งสองต่างโบกมือให้กัน เขาดีใจที่เห็นว่าเมื่อเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ประสานตากับตน ที่แก้มของเธอก็มีประกายสีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย วาห์นรู้สึกจั๊กจี้หัวใจหน่อยๆ และตัดสินใจว่าในอนาคตเขาจะแกล้งเธอให้มากกว่าเดิม ใบหน้าน่ารักกับท่าทางจริงจังที่พยายามเก็บซ่อนความเขินอายนั่นทำให้เขายิ้มออกมาอย่างอธิบายไม่ได้
เขาไปที่โรงแรมฮาร์ธเอ็มเบรสต่อและขยายเวลาเช่าเพิ่มอีกหนึ่งสัปดาห์ มิลานผู้เป็นเจ้าของโรงแรม เข้ามาขอเวลาของเขาสักสองสามนาที เธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนพร้อมให้คำแนะนำว่าถ้าหากมีปัญหาอะไรก็ให้มาบอกเธอได้
“อาจจะดูยากสักหน่อย แต่ฉันเคยเป็นนักผจญภัยเลเวล 3 มาก่อนนะ หากมีพวกอันธพาลมาตามรังควานเธอ ฉันก็จะอัดพวกมันให้น่วมเลย~”
วาห์นยิ้มและขอบคุณสำหรับความเมตตาของเธอและตอบกลับไปว่าไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นพร้อมสัญญาว่าจะเล่ารายละเอียดให้ฟังในภายหลัง หลังจากให้วาห์นสัญญาแล้ว ในที่สุดเธอก็ปล่อยเขาไปพร้อมกับมอบกล่องอาหารกลางวันเล็กๆ ให้
“ลูกสาวของฉันทำให้เธอเป็นพิเศษเลยนะ~ เธอต้องกินมันให้หมดไม่งั้นทีน่าคงจะเสียใจมากแน่ๆ เลย~เมี๊ยว”
วาห์นมองไปรอบๆ แต่ไม่พบร่างเล็กๆ ของเด็กสาวอยู่ด้วย มิลานจึงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าเชิงสงสัยของเขา
“ลูกสาวของฉันอยู่คอยเธอจนดึกเพราะเธอไม่มาขยายเวลาเช่าห้องสักที เธอรู้ไหมว่าพ่อของทีน่าเสียชีวิตไปในดันเจี้ยน ดังนั้นเธอจึงรู้สึกเป็นห่วงมาก เอาไว้ ค่อยไปขอโทษเธอทีหลังด้วยก็แล้วกันนะ”
หลังจากรับข้าวกล่องมา วาห์นก็ให้สัญญาว่าจะซื้อของขวัญให้กับทีน่าก่อนจะกลับมาในตอนเย็น มิลานตบหลังของเขาเบาๆ พร้อมกับผลักเขาไปที่ทางออกพร้อมกับบอกว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ
“อย่าลืมล่ะ ลูกผู้ชายสัญญาแล้วก็ต้องทำให้ได้นะ~เมี๊ยว!”
หลังออกมาจากโรงแรม วาห์นก็เริ่มวิ่งตรงไปที่จตุรัสบาเบล ตอนนี้เกือบจะ 9 โมงเช้าแล้ว และเขากังวลว่าลิลลี่จะรอเขานานเกินไป เหล่านักผจญภัยมักจะเข้าสู่ดันเจี้ยนในเวลาเช้ากว่านี้ และเนื่องจากพวกเขาตกลงว่าจะมาเจอกันในตอนเช้า ดังนั้นเธอคงจะไปอยู่ที่นั่นมาหลายชั่วโมงแล้ว
เขาวิ่งไปเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะมาถึงที่หมาย เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็ไม่พบลิลลี่และเริ่มกังวลว่าเธออาจจะกลับไปแล้วหลังจากที่ไม่เห็นเขามาตามเวลานัด เขาไปนั่งม้านั่งที่อยู่ใกล้เคียงและเริ่มเฝ้ารอ ถึงเธอจะไม่มาแต่เขาก็จะรอต่อไปตลอดทั้งวันโดยถือซะว่าเป็นการชดเชยกับการที่เขามาสาย
สามชั่วโมงผ่านไป ขณะที่วาห์นยังคงมองอย่างไร้จุดหมายไปบนท้องฟ้าและคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆ เขาหันไปและพบลิลลี่ที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิดและไม่พอใจ ตอนนี้เธอมีรูปร่างเหมือนกับเด็กชาวเอลฟ์ที่มีผมสีบลอนด์และดวงตาสีน้ำตาลอ่อน
“มาสายไปหน่อยนะคะ” เธอพูดพร้อมทำหน้ามุ่ย
“ขอโทษด้วยนะ ลิลลี่ พอดีฉันต้องไปจัดการธุระก่อนน่ะ” ทั้งหมดที่วาห์นทำได้ก็คือขอโทษเธออย่างอึดอัดและพยายามพูดเอาใจพลูม (ชื่อเผ่าจริงๆ ของลิลลี่) ตัวน้อยคนนี้
เธอจ้องมองมาก่อนจะเข้าใกล้และดมเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ “เรื่องผู้หญิงใช่ไหมคะ?”
วาห์นตกใจ “เอ๋? จะว่าใช่ก็ใช่นะ” เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมีท่าทางโกรธหลังจากดมตัวของเขา
“ฮึ่มมมมม ฉันอยากเจอผู้หญิงคนนั้นทีหลัง สัญญาได้ไหมคะว่าจะพาไป” ประกายแสงเริ่มปรากฏขึ้นในแววตาของเธอพร้อมกับคำพูดที่พยายามกดดันให้วาห์นตอบตกลง
วาห์นรู้สึกขนลุกซู่และพยักหน้าไม่หยุดเหมือนกับไก่ที่กำลังรีบจิกอาหาร “ได้สิ ไว้ฉันจะแนะนำให้รู้จักกับพวกเธอนะ”
“พวกเธอ!? นี่มีมากกว่าหนึ่งคนเหรอคะ!?” เด็กสาวทำท่าทางเหมือนกับเพิ่งจะผ่านศึกมาอย่างหนัก จากนั้นก็เข้าโหมดชีวิตเศร้าขณะที่ยั่งนั่งอยู่ที่เดิม หลังจากผ่านไปสองสามวินาที เธอมองวาห์นด้วยสายตาดุดันก่อนที่จะพยักหน้าเหมือนกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ฉันอยากเจอพวกเธอทุกคนเลยค่ะ” เธอขยับเข้าใกล้เขามากขึ้นก่อนจะจ้องมองที่ใบหน้าด้วยสีหน้าแน่วแน่
วาห์นพยักหน้าต่อก่อนที่จะรีบลูบของหัวเธอ เขารู้ว่าเธอเป็นคนที่ขี้หึงเล็กน้อยแต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เธออาจจะอยากให้เขาใช้เวลาอยู่กับเธอเพียงคนเดียวเพราะเขาเพิ่งจะช่วยชีวิตเธอไว้ เขาคิดว่าการลูบหัวเธอน่าจะช่วยบรรเทาความรู้สึกระแวงได้ไม่มากก็น้อย
เมื่อวาห์นเริ่มลูบหัวเธอ ลิลลี่ก็ตัวเกร็งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยให้เขาลูบต่อ ความหงุดหงิดทั้งหมดของเธอดูเหมือนจะหายวับไปกับตาหลังจากมีความรู้สึกรื่นรมย์จากการถูกลูบหัวเข้ามาแทนที่ เธอต้องการเข้ามาคลอเคลียและทิ้งรอยของตนไว้เพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนอื่นมาใกล้ชิดเขา…
“เอาล่ะ ไปฝึกกันเถอะ” วาห์นหยุดลูบเด็กสาวที่สมงสมองเริ่มไปหมดแล้ว เขายืนขึ้นจากม้านั่งและเฝ้ารอการตอบสนองของเธอก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังดันเจี้ยน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ท่านวาห์น! รอกันมั่งสิคะ!” เมื่อเห็นเขาเดินไปแล้ว ลิลลี่ก็เริ่มไล่ตามหลังเขาไปติดๆ เธอจะไม่ยอมให้ตัวถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกแล้ว…
—————