Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 39
วาห์นและลิลลี่เดินเข้าไปใน ‘เส้นทางมือใหม่’ ที่ชั้นหนึ่งของดันเจี้ยน
วาห์นมองไปรอบๆ และพบกับเส้นทางที่เขาใช้ตอนเข้าดันเจี้ยนเป็นครั้งแรก เขายังคงเดินนำต่อไปขณะที่ลิลลี่ตามหลังมาพร้อมกับพูดคุยกันเล็กน้อย
“ลิลลี่ เป้าหมายในการเข้าดันเจี้ยนของเธอคืออะไรงั้นเหรอ?” วาห์นตัดสินใจที่จะถามตรงๆ ถึงสาเหตุที่เธออยากแข็งแกร่งขึ้น
ลิลลี่มองเข้าไปในดวงตาของเขาและเห็นแววตาจริงจัง เธอเริ่มใคร่ครวญคำถามอย่างจริงจังก่อนจะพูดออกมา
“ฉันอยากจะแข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชีวิตรอดได้… และก็เพื่อปกป้องสิ่งที่ฉันห่วงใย” ในประโยคครึ่งหลัง เธอจองมองไปที่ใบหน้าของเขา แต่วาห์นแค่พยักหน้าขณะคิดถึงสิ่งที่เธอพูด
“แค่นั้นก็คงพอสำหรับตอนนี้ แต่ฉันอยากให้เธอมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ทุกคนต้องการปกป้องบางสิ่งที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตหรือคนใกล้ตัว ฉันได้เรียนรู้มาว่าสิ่งสำคัญก็คือการมีเป้าหมายในการลงมือทำ เพราะความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นแบบเปล่าๆ น่ะมันไม่พอหรอก”
ลิลลี่พยักหน้าขณะที่คอตกเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เห็นด้วยกับเขา แต่เธอมองไม่เห็นเป้าหมายอื่นเลยนอกจากการปลดแอกตัวเองให้เป็นอิสระ แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังหลบหนีปัญหาแทนที่จะเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ทันใดนั้นก็มีบางอย่างสะกิดใจเธอและมองไปทางวาห์นอย่างสงสัย
“ท่านวาห์นคะ ทำไมท่านถึงไม่ประหลาดใจกับรูปร่างของฉันเลยล่ะ? ฉันเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แม้ฉันจะใช้เวทเปลี่ยนรูปร่างไปแต่ท่านวาห์นก็ยังจำฉันได้อีก”
วาห์นหัวเราะให้กับสิ่งที่เธอถามซึ่งทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เรื่องนั้นง่ายมาก ฉันกำลังรออยู่ที่จุดนัดพบของเรา และเธอก็เป็นคนพูดเองนะว่าฉัน ‘มาสาย’ นอกจากนี้ แม้เธอจะเปลี่ยนไปบ้างแต่ฉันก็ยังดูออกอยู่ดีว่าเป็นเธอ”
“เอ๋ ได้ยังไงกัน?” มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถมองเธอออก ดังนั้นเธอจึงอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้นได้
วาห์นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่สามารถบอกเธอได้ว่าเขาเคยเห็นเธอปลอมตัวจากในมังงะ เขาจึงตัดสินใจบอกความจริงบางส่วนซึ่งน่าจะทำให้เธอคลายความสงสัยลงบ้าง เขามองไปบนหัวเธอและเห็นออร่าสีฟ้าอมชมพูจึงคิดว่าน่าจะใช้มุขนี้ได้
“ก็เพราะว่าเธอน่ารักแล้วก็มีออร่าที่ไม่เหมือนใครไงล่ะ ไม่ว่าเธอจะอยู่ในร่างไหน ฉันก็จำเธอได้แบบไม่ต้องดูซ้ำสองเลย”
เขาเลือกที่จะชมเธอเพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา ดูเหมือนว่าพวกผู้หญิงจะมีความสุขทุกครั้งที่เขาพูดหรือมีท่าทีเอาอกเอาใจ
เมื่อได้ยินเหตุผลของเขา ลิลลี่จึงเริ่มรู้สึกเขินอายมากและสวมกอดวาห์นจากด้านหลัง
“อื้อออออ ท่านวาห์นพูดแบบนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะค่ะ…” เธอเริ่มกอดแรงขึ้นอีกขณะที่เอาหัวมาถูแผ่นหลังของเขา
วาห์นรู้สึกประหลาดใจที่คำชมไม่กี่คำจะได้ผลขนาดนี้ เขาเริ่มคิดว่าตัวเองควรลองชมคนอื่นให้บ่อยกว่านี้หากมันทำให้ทุกคนมีความสุข การตอบสนองของผู้คนต่อคำพูดของเขาทำให้วาห์นสัมผัสได้ถึงอารมณ์หลากหลายแบบ และมันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเพราะเขาไม่เคยคุยกับใครแบบเป็นเรื่องเป็นราวก่อนที่จะมายังโลกใบนี้เลย
ในที่สุด ลิลลี่ก็แยกตัวออกมาจากหลังของเขาก่อนจะเปลี่ยนตัวเองกลับเป็นร่างดั้งเดิม เธอคิดว่าคงจะไม่เป็นไรตราบใดที่พวกเขาอยู่ในดันเจี้ยนและไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย นอกจากนี้ เธอยังอยากให้วาห์นคุ้นชินกับตัวตนจริงๆ ของเธอให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เพื่อซ่อนความอายเมื่อกี้นี้ เธอจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องที่พวกเขาคุยกันก่อนหน้า
“แล้วทำไมท่านวาห์นถึงอยากแข็งแกร่งกว่าเดิมล่ะคะ?”
เธออยากรู้เกี่ยวกับเหตุผลของเขาเพราะเขาถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคนที่ตัวเองไม่รู้จักมาก่อนเลย เท่าที่เธอพอบอกได้ เขามีท่าทางคล้ายกับพวกวีรบุรุษ แต่บางครั้งเธอก็ยังเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดและเคร่งขรึมบนใบหน้านั่นด้วย
วาห์นหยุดเดินและมองตรงเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอ
“ฉันอยากจะเป็นคนแข็งแกร่งให้มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้ที่ถูกคนอื่นเอาเปรียบ ฉันไม่อยากเห็นผู้คนต้องทุกข์ทรมานเพียงเพื่อทำให้คนบางกลุ่มอยู่อย่างสุขสบาย แล้วก็…” เขามองไปที่เพดานราวกับกำลังมองทะลุไปยังสิ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป “ฉันต้องแกร่งขึ้นเพื่อใครบางคนด้วย…”
แม้เธอจะรู้สึกอบอุ่นขณะที่เขาพูดถึงความมุ่งมั่นของตัวเอง แต่เธอก็รู้สึกบีบคั้นที่หัวใจเมื่อเขาพูดถึงประโยคหลังสุด ‘เพื่อคนรักหรือเปล่านะ?’ เธอรู้สึกเศร้าลงเมื่อคิดว่าตนแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่งเลยด้วยซ้ำ
แม้จะรู้สึกแย่แต่เธอก็ดึงดันที่จะถามต่อ ถึงคำตอบอาจทำให้เธอผิดหวังก็ตาม
“ใครคือคนๆ นั้นเหรอคะ… ใช่คนรักหรือเปล่า?” เธอไม่กล้ามองเขาตรงๆ เพราะกลัวว่าเขาจะมองเจตนาของเธอออก
“อ๋อ ไม่ใช่ๆ ฉันไม่มีคนรักหรืออะไรแบบนั้นหรอก เป็นแม่ของฉันเอง ฉันอยากจะแข็งแกร่งกว่านี้เพื่อกลับไปพบแม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงจะได้เจอท่าน” แม้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องทำท่าประหลาดๆ ด้วย แต่วาห์นก็เลือกที่จะบอกความจริงกับเธอ
เมื่อได้ยินว่าคนๆ นั้นคือมารดาของวาห์น ลิลลี่ก็ถอนหายใจเสียงดัง แถมเธอยังไม่พลาดรายละเอียดที่ว่าเขายังไม่มีคนรักด้วย โอกาสอาจเป็นของเธอหากพยายามจนถึงที่สุด ตอนนี้เธอแค่ต้องไปพบกับผู้หญิงที่เขาพูดถึงเมิ่อกี้นี้เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม จิตวิญญาณนักแข่งกำลังเผาไหม้อยู่ในดวงตาของลิลลี่ขณะที่เธอประสานกำปั้นเข้าด้วยกันแบบนักมวย
ดูเหมือนเธอจะตื่นเต้นมากกว่าครั้งไหนๆ แต่วาห์นก็คิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี อาจจะเป็นเพราะเขาพบเธอเร็วกว่าเบลล์ดังนั้นสภาพจิตใจของเธอจึงยังไม่แย่เท่ากับในเนื้อเรื่องงั้นเหรอ?
“เอาล่ะลิลลี่ สำหรับตอนนี้ ฉันอยากให้เธอเริ่มคิดเป้าหมายของตัวเองไว้ด้วย ขณะที่ฉันสอนพื้นฐานให้กับเธอ เธอก็ลองคิดหาเหตุผลที่อยากจะแข็งแกร่งกว่าเดิมดูก็แล้วกัน ส่วนฉันเองก็จะคิดเรื่องการฝึกขั้นต่อไป” นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดออกในตอนนี้ ตราบใดที่เขาให้เธอมากพอ เธอก็น่าจะสามารถหาเหตุผลของตัวเองได้แม้จะไม่มีเขาคอยแนะนำ
ลิลลี่พยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนไปส่ายหัว
“ฉันไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะแข็งแกร่ง+ได้มากกว่านี้ ฉันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ที่จะเป็นนักผจญภัย เนื่องจากฉันเป็นพลูม ร่างกายก็อ่อนแอแถมตัวยังเล็กนิดเดียว ทำให้การต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งแบบตรงๆ เป็นอะไรที่ยากมาก อาจจะดีกว่าถ้าฉันตั้งเป้าเป็นซัพพอร์ตเตอร์แทนในขณะที่ท่านวาห์นพยายามทำตามเป้าหมายของตัวเองต่อไป แค่ได้อยู่ข้างกายแบบนี้ฉันก็มีความสุขแล้วค่ะ”
เธอพยายามยิ้มให้กับเขา แต่วาห์นสังเกตเห็นถึงความเศร้าโศกที่แฝงอยู่และเชื่อว่าเธอกำลังฝืนตัวเอง เขาเห็นออร่าของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ดังนั้นจึงรู้ว่าอารมณ์ของเธอกำลังไม่มั่นคง
“งี่เง่า” เขาตัดสินใจว่าต้องโหดขึ้นอีกหน่อย ไม่งั้นเธออาจจะไม่ยอมฟังคำพูดของเขา
“อะไรที่ทำให้เธอตัดสินว่าไม่สามารถเป็นนักผจญภัยได้กัน แค่เพราะเป็นพลูมงั้นเหรอ? หนึ่งในนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองก็เป็นพลูม แถมตอนนี้เขาก็ก้าวไปถึงเลเวล 6 แล้วด้วย เธอคิดว่าแค่เธอพลาดไปครั้งสองครั้งตอนยังเล็กก็หมายความว่าเธอไม่มีพรสวรรค์แล้วเหรอ? ไร้สาระจริงๆ เลย”
ลิลลี่อึ้งสุดๆ หลังจากได้ยินท่านวาห์นผู้ใจดีและอ่อนโยนของเธอกำลังตำหนิและบอกว่าเธองี่เง่า ‘เอ๋ ที่เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ?’ เธอเริ่มตามไม่ทันก็เลยได้แต่ยืนฟังอยู่แบบนั้น
“เธออาจจะไม่เชื่อเมื่อเห็นฉันในตอนนี้ แต่ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อให้คนอื่นใช้ประโยชน์ และไม่สามารถตัดสินใจหรือทำอะไรกับความเป็นจริงในตอนนั้นได้เลย มีอยู่หลายครั้งที่ฉันพยายามฆ่าตัวตาย แต่ก็กลับกลายเป็นถูกลงโทษและถูกลิดรอนสิทธิ์ในการใช้ชีวิตของตัวเองทุกครั้งแทน…” ตลอดเวลาที่เขาพูด เขายังคงจ้องเขม็งไปที่ตาของเธอซึ่งตอนนี้เด็กสาวเริ่มรู้สึกขวัญเสียแล้ว
“ชีวิตของฉันยังคงดำเนินต่อไปแบบนั้นจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ตัวฉันเองน่ะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ด้วยความช่วยเหลือจากภายนอก ฉันจึงถูกดึงกลับมายังเส้นทางที่ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ทุกคนที่เคยช่วยเหลือต้องผิดหวัง ฉันจะฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับหาทางพัฒนาความสามารถของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ฉันผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหลายครั้งและยังได้รับความเมตตาจากคนหลายคนกว่าที่ตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้” ตอนนี้วาห์นเริ่มเผยรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เขานึกถึงเหล่าเหตุการณ์ในอดีตและการพบเจอมากมายที่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนในชีวิตที่สองของเขา
ลิลลี่เริ่มสั่นเทาขณะฟังสิ่งที่เขาเล่า ตอนที่วาห์นเริ่มพูด เธอมองเห็นความเจ็บปวดที่เขาได้พบผ่านทางสีหน้าและการถ่ายทอดออกมาจากคำพูด เธอรู้ว่าเขาไม่ได้โกหกและเคยทนทุกข์ทรมานอย่างมากในอดีตไม่ต่างไปจากเธอ เมื่อเขาพูดถึงความพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นของตัวเอง เธอก็เห็นท่าทางกระตือรือร้นและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความมั่นใจ สุดท้าย เธอเห็นถึงความซาบซึ้งบนใบหน้าหล่อเหลานั่น ขณะที่เขานึกถึงเหล่าผู้ที่เคยช่วยเหลือตนเองมาก่อน…
เธอเริ่มคิดในใจว่า ‘เราเองก็แข็งแกร่งขึ้นได้งั้นเหรอ?’ ทุกอย่างที่เธอเคยประสบมากำลังส่งเสียงกรีดร้องว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าได้กระตุ้นบางอย่างภายในตัวเธอ เธออยากจะเชื่อ เธออยากจะเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ที่อ่อนแอของเธอได้หรือไม่ ที่สำคัญกว่านั้นคือเธอต้องการที่จะแข็งแกร่งเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของเขา… เธอไม่อยากล้มเหลว
ลิลลี่จ้องมองวาห์นในขณะที่เขาเองก็ทำเช่นเดียวกัน ดวงตาของเธอเริ่มเปียกชื้นขณะที่ถามออกไป
“ท่านวาห์นคะ… ฉันจะแข็งแกร่งขึ้นได้จริงเหรอคะ? ฉันจะเป็นแบบท่านวาห์นได้เหรอคะ?”
วาห์นยิ้มก่อนจะนำมือไปวางไว้บนหัวของเธอ ขณะที่เขาปลอบโยนเด็กสาวที่กำลังน้ำตาคลอจากเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาในชีวิต เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่มั่นใจที่สุด
“ตราบใดที่พยายามมากพอนะลิลลี่… ไม่ว่าใครก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้”
—————