Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 41
เมื่อมองไปที่การแจ้งเตือนของระบบวาห์นก็นึกอะไรไม่ออกเลย เขาไม่เคยคาดคิดว่าลิลลี่จะ ‘ตกหลุมรัก’ เขาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อมองไปทางเด็กสาวที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ในขณะที่ตนกำลังเหม่อลอย เขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะรู้สึกแบบไหน แม้เขาพอจะเข้าใจเรื่องความรักมาจากการอ่านมังงะและความทรงจำเกี่ยวกับแม่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะแสดงมันออกมายังไง เขารู้ว่าตัวเองชอบลิลลี่เนื่องจากเธอน่ารักมาก แต่เขาก็ชอบความขี้เล่นของโคลอี้และความเขินอายแบบนิ่งๆ ของเฮเฟสตัสเช่นกัน
เมื่อเห็นภารกิจที่ให้เขาทำค่าความชื่นชอบให้เป็น 100 วาห์นก็ไปต่อไม่ถูก แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันพอสมควร แต่ตอนอยู่ด้วยกันค่าความชื่นชอบของเธอก็เพิ่มขึ้นมาเพียงสองครั้งเท่านั้น เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเนื่องจากออร่าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปมากตั้งแต่ตอนที่เขาช่วยเธอไว้เมื่อวันก่อน
พอรู้ว่าตัวเองหาทางออกไม่ได้ เขาจึงลองถามพี่สาวที่แสนจะน่าเชื่อถือ
(“พี่สาว ผมจะเพิ่มค่าความชอบของคนอื่นให้เป็น 100 ได้ยังไงเหรอ? นี่ผม… ต้องขอเธอแต่งงานอะไรแบบนั้นหรือเปล่า?”
เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นในหัวของเขา
(*ฉันมั่นใจว่าถ้าเธอเพิ่มค่าความชอบได้ถึง 100 และพวกเธอรู้สึกถึงความรักในฐานะเพศตรงข้าม เป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะตอบตกลงหากถูกขอแต่งงาน แต่การแต่งงานไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ค่าความชอบกลายเป็น 100 นะ ความรักเองก็มีอยู่หลายรูปแบบเช่นกัน อย่างเช่นความผูกพันธ์ระหว่างสหายร่วมรบ หรือความรักในครอบครัวเหมือนอย่างที่แม่รักเธอ วิธีการเพิ่มค่าความชอบให้ถึง 100 นั้นขึ้นอยู่กับเธอเพียงคนเดียว เนื่องจากความช่วยเหลือของฉันจะส่งผลเชิงลบมากกว่าเชิงบวก*)
วาห์นถอนหายใจข้างใน (“ทำไมความรักถึงซับซ้อนแบบนี้ล่ะ…”)
เขามองลิลลี่ที่ตอนนี้ติดหนึบกับเขามาพักหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะกลายเป็นมอนสเตอร์ที่ชอบเกาะเขาแทน แถมเขายังพบว่าเธอมักจะดมเขาด้วย ซึ่งทุกครั้งที่เห็นเธอดมก็จะทำให้เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาแผ่นหลังของเขา
เขาลองทดสอบโดยดูว่าการลูบหัวเธอจะทำให้ค่าความชื่นชอบเพิ่มขึ้นหรือไม่…
เมื่อมือของเขาสัมผัสหัวของเธอ เธอก็เริ่มคลอเคลียหนักกว่าเดิม ราวกับว่ามือของเขาเป็นสัญญาณที่ยินยอมให้เธอทำแบบนี้ต่อไปได้ แม้ว่าวาห์นจะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี แต่เขาก็ยังรู้สึก ‘อึดอัด’ ภายในทรวงอกขณะที่ชีพจรเริ่มเต้นเร็วขึ้น จากการที่เขาลูบหัว เขาสังเกตเห็นว่าออร่าของเธอสั่นไหวอย่างมีชีวิตชีวา แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงของค่าความชื่นชอบในระบบ
เขาเกือบคิดจะจูบเธอด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป พวกเขายังรู้จักกันได้ไม่นานและยังเหลือเวลาอีกมากกว่าการฝึกฝนของเธอจะเสร็จสมบูรณ์ หากเขาจูบเธอก่อนที่ความรู้สึกของเธอจะมั่นคงกว่านี้ มันก็คงเหมือนกับว่าเขากำลังเข้าบงการเธอ ความคิดนี้ทำให้เขานึกถึงความทรงจำล่าสุดระหว่างเขากับโคลอี้ ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมให้เขาสารภาพรักออกมา ถ้าหากเธอยอมรับความรู้สึกของเขาในตอนนั้น เขาก็อาจจะเทใจและทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอ ความพยายามทั้งหมดของเขาจะถูกใช้เพื่อทำให้เธอมีความสุข และเป็นไปได้ว่าเขาอาจทำเรื่องผิดพลาดในอนาคต
ตอนนี้เขาเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันระหว่างตัวเองกับลิลลี่
ตั้งแต่ที่เธอถูกทอดทิ้งตอนเด็กๆ และแถมยังถูกคนที่เธอคิดว่าเชื่อใจได้หลอกใช้ประโยชน์ เธอก็เสาะหาเสาหลักที่จะมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอมาโดยตลอด แม้ว่าเขาจะเห็นว่าเธอรู้สึก ‘หลงรัก’ เขาผ่านทางระบบ แต่มันคล้ายกับ ‘การรักแบบเด็กๆ’ หรือ ‘การอยากพึ่งพา’ แทนที่จะเป็นความรักแบบจริงใจ…
เขาเริ่มเข้าใจความล่อแหลมของสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ดังนั้นหลังจากเขาลูบเธอเบาๆ อีกสองสามครั้งเขาก็ลุกขึ้น
“ถึงเวลาที่เราต้องออกจากดันเจี้ยนกันแล้ว แม้ที่นี่จะเป็นทางเดินระหว่างชั้นที่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีรับประกันได้ว่าจะไม่มีอะไรโผล่ออกมา ฉันยังมีธุระอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการในตอนเย็น ดังนั้นเราจึงไม่ควรอยู่แถวนี้นานเกินไป”
ลิลลี่รู้สึกผิดหวังที่เขาจบช่วงเวลานี้ไป เธอนึกว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่ระหว่างที่เธอกำลังผลักดันเขาสู่ขั้นถัดไป เขากลับหนีเอาดื้อๆ เธอเริ่มคิดว่าวาห์นทึ่มเกินไปหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ชอบเธอแบบนั้น ลิลลี่มองไปที่ใบหน้าของเขาที่ดูใจเย็นและเคร่งขรึมอย่างเคยซึ่งทำให้เธอรู้สึกแย่เล็กน้อย
วาห์นสังเกตเห็นท่าทางของเธอ แต่เขารู้ว่าหากให้ความสนใจเธอมากเกินไป มันก็อาจจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต เขายังคงส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้เธอพร้อมกับเรียกเบาๆ
“มาเถอะ ลิลลี่ รีบออกไปจากดันเจี้ยนมืดๆ นี่กันดีกว่า เราอาจจะทันไปดูดวงอาทิตย์ตกที่จัตุรัสก็ได้นะ”
หูของเธอกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทันใดนั้นเธอก็รีบก้าวเท้าออกในทันที
“ค่ะ ท่านวาห์น~ ไปกัน ไปกัน ไปกัน~!” เธอเริ่มเดินนำทางขณะที่วาห์นอดส่ายหัวไม่ได้
พวกเขาออกมาจากดันเจี้ยน และลิลลี่ก็นำคริสตัลไม่กี่ชิ้นที่ได้รับมาไปหาพนักงานที่อยู่ใกล้กับโต๊ะขายข้อมูลด้านนอกทางเข้าดันเจี้ยน วาห์นมองเธออย่างใคร่รู้ เนื่องจากเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะทำอะไรกับพวกมัน หลังจากผ่านไป 15 นาที เธอก็วิ่งกลับมาพร้อมกับถุงใส่วาลิสขนาดเล็กและมอบมันให้กับเขา
“นี่ค่ะท่านวาห์น วันนี้ได้มา 14,830 วาลิสค่า~!”
เธอยัดถุงเงินลงบนมือของเขาและทำท่าเหมือนอยากจะได้รับคำชม วาห์นยอมแพ้และเริ่มลูบหัวเธอซึ่งทำให้เธอดุ๊กดิ๊กไปมาพร้อมกับส่งเสียงแปลกๆ
“วาลิสนี่มาจากคริสตัลที่เราได้มาในวันนี้ใช่ไหม? เราแลกเปลี่ยนพวกมันที่หอคอยได้ด้วยเหรอ?”
เขามองตรงไปยังจุดที่เธอไปแลกเปลี่ยนมา เขาสังเกตเห็นว่ามีนักผจญภัยบางคนเดินเข้าและออกจากที่ที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน
ลิลลี่มองเขาด้วยท่าทางสับสนก่อนจะถาม
“เอ๊ะ? ท่านวาห์นคะ? ท่านวาห์นคงไม่ได้ไปแลกเปลี่ยนคริสตัลด้านนอกหอคอยใช่ไหม?”
เขาส่ายหัวและบอกเธอว่าเขาแลกเปลี่ยนคริสตัลที่สำนักงานใหญ่ของกิลด์ เธอมองเขาราวกับคนประหลาด แต่ก็นึกได้ว่าเขาเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนอิสระมือใหม่ที่เพิ่งจะเข้าเมืองมาได้ไม่ถึงสัปดาห์
“ท่านวาห์นคะ จะเป็นการเสียเวลามากถ้าทุกคนต้องเดินทางไปที่นั่นทุกครั้งที่พวกเขาต้องการแลกเปลี่ยนคริสตัลหรือไอเท็มดรอป นั่นเป็นสาเหตุที่ทางกิลด์ตั้งบูธแลกเปลี่ยนใกล้กับทางเข้าดันเจี้ยนแทน แม้ว่าจะพวกเขาจะหักภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1% แต่มันก็ยังสะดวกกว่าการใช้เวลาเกือบชั่วโมงเพื่อเอาของไปแลกที่กิลด์ คนส่วนใหญ่ไปนั่นเพื่อรายงานเกี่ยวกับภารกิจหรือแจ้งเรื่องเลเวลอัพเท่านั้นค่ะ”
วาห์นอดหัวเราะออกมาไม่ได้หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ มันดูสมเหตุสมผลมาก และเขาควรจะสนใจสิ่งรอบตัวให้มากกว่านี้ เขาเริ่มคิดที่จะทำแผนที่ทั่วทั้งเมืองและพยายามเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในอนาคต เมื่อเห็นสีหน้าคาดหวังบนใบหน้าของลิลลี่ เขาจึงลูบเธออีกครั้งขณะที่แกล้งเธอนิดหน่อย
“ขอบคุณครับ ท่านลิลิรูก้า ชายหัวทึบคนนี้จะสลักคำแนะนำของท่านเอาไว้ในใจเป็นอย่างดี”
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ลิลลี่ก็ตัวแข็งทื่อ เธอหันไปหาเขาแบบช้าๆ พร้อมกับแสดงสีหน้าเหยเก
“ท่านวาห์นคะ… ได้โปรดอย่าเรียกฉันแบบนั้นเลยค่ะ ฉันให้คำแนะนำอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ว่าต้องการอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งกว่าหรอกนะคะ…”
วาห์นยิ้มอย่างจริงใจให้กับการตอบสนองของเธอ
“ฉันเองก็เหมือนกันนะ ลิลลี่ ที่ฉันช่วยเธอก็เพราะว่าอยากช่วย ดังนั้นเธอไม่ควรเรียกฉันว่า ‘ท่าน’ อะไรนั่นอีกแล้ว พวกเราจะอยู่ด้วยกันอีกนาน ดังนั้นฉันคงรู้สึกอึดอัดถ้าเธอยังเรียกแบบนี้ต่อ”
เธอเริ่มกัดฟันพร้อมกับพยายามพูดออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอมองเข้าในในดวงตาของเขาพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
“ตกลง… วาห์น ฉันจะลองแก้นิสัยเสียนี้ดูนะ”
พวกเขาทำให้บรรยากาศรอบๆ เปลี่ยนไปถึงขั้นที่นักผจญภัยแถวนั้นต้องหันมามองด้วยสีหน้าแปลกๆ บางคนนึกสนุกหน่อยก็ผิวปากและแซวพวกเขาไปต่างๆ นาๆ
เมื่อได้ยินเสียงรอบข้าง ลิลลี่ก็ก้มหน้าที่แดงก่ำของตนลง เธอเหลือบมองวาห์นอย่างเขินอาย แต่พอเห็นท่าทางเคร่งขรึมของเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ทะ ท่านวา… เอ่อ วาห์น จากนี้เราจะไปไหนกันเหรอ?”
วาห์นยิ้มก่อนจะมองไปที่ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กำลังจะตกในอีกประมาณ 20 นาที ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำตามที่พูดและพาลิลลี่ไปดูอาทิตย์ตกดินด้วยกัน “ตอนนี้พวกเราไปหาทำเลดีๆ เพื่อดูอาทิตย์ตกดินกันเถอะ ฉันบอกเธอแล้วนี่ว่าถ้ามาทันเราก็จะแวะไปดูกัน จากนั้นฉันจะมุ่งหน้ากลับโรงแรมหลังจากแวะไปซื้อของขวัญที่ตลาดก่อน”
“เอ๋ ของขวัญ? ให้ใครเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำว่าของขวัญ ลิลลี่ก็เริ่มตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกัน เธอหวังว่านั่นอาจเป็นของขวัญสำหรับเธอ แต่เมื่อเห็นว่าเขาพูดให้เธอฟังแบบตรงๆ เป็นไปได้ว่านี่เป็นของขวัญสำหรับคนอื่น… อาจจะเป็นสำหรับผู้หญิงด้วย
“อ๋อ ของลูกสาวของเจ้าของโรงแรมน่ะ เธอเป็นคนทำข้าวกล่องที่ฉันทานตอนอยู่ในดันเจี้ยนไง จำได้ไหม?” วาห์นพูดถึงทีน่าแบบไม่ได้คิดอะไร เพราะมันไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว
“อื้ม… ฉันอยากเจอเธอจังเลย” ในแววตาของเธอนั้นแฝงไปด้วยจิตวิญญาณนักแข่ง หากเด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก เธอก็ต้องปกป้องวาห์นจากเงื้อมมือของเด็กนั่นให้ได้ แถมยังเรื่องที่เจ้าของโรงแรมยอมให้ลูกสาวมาทำข้าวกล่องให้กับลูกค้าอีก…
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักนะ”
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไปยังแท่นชมวิวซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่วาห์นมองดูอาทิตย์ตกดินกับโคลอี้ ลิลลี่ใช้โอกาสนี้เข้ามาคลอเคลียวาห์นอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ได้กระสับกระส่ายแบบครั้งที่แล้ว เธอจ้องมองดวงอาทิตย์ตกดินต่อไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมันหายลับไปจากขอบฟ้า วาห์นรู้สึกถึงความเงียบและยอมให้เธอเอนมาพิงเขา ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะที่แสงสว่างเริ่มจางหายไป เขาก็รู้สึกเศร้าภายในใจซึ่งไม่อาจอธิบายออกมาได้ เมื่อทุกอย่างมืดสลัว เขาก็ทำลายความเงียบนั้นไป
“หลังจากนี้เธอจะทำอะไรต่อเหรอ ลิลลี่?”
แม้พวกเขาตกลงที่จะนัดพบกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นัดเจอกันเช้ากว่าเดิมมาก แต่วาห์นก็ยังอยากรู้ว่าเธอจะทำอะไรต่อ ดูจากการที่ยังปลอมตัวอยู่แสดงว่าลิลลี่คงต้องหลบซ่อนจากแฟมิเลียของตัวเองไปก่อน
ลิลลี่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะพูดถัดไปอย่างจริงจัง เธอมองไปที่วาห์นและสังเกตเห็นความกังวลในดวงตาของเขา ดังนั้นเธอจึงรวบรวมความกล้าและพูดมันออกมา
“ฉัน… ฉันอยากไปพักอยู่ในโรงแรมเดียวกันกับนาย ฉันไม่อยากกลับไปที่แฟมิเลียของตัวเองเพราะพวกเขาต้องโทษฉันเรื่องสมาชิกสามคนที่ตายไปแน่ๆ ถึงสถานที่น่ารังเกียจนั่นจะไม่มีความเป็นพวกพ้องอยู่เลย แต่พวกเขาก็คงลงโทษฉันอย่างรุนแรงเพื่อคลายความกังวลของตัวเอง ในกรณีที่แย่ที่สุด อาจจะถึงกับฆ่าฉันทิ้งเลยก็ได้…”
วาห์นกัดฟันด้วยความโกรธเมื่อได้ฟังสิ่งที่เธอพูด เขารู้ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง และเนื่องจากเป็นเพราะเขาลงมือสังหารทั้งสามคนนั้น เขาจึงต้องรับผิดชอบและปกป้องลิลลี่จนกว่าเธอจะแข็งแกร่งพอ เมื่อเห็นความหวาดกลัวฉายบนดวงตาของลิลลี่ เขาก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินตรงไปที่บันไดเพื่อกลับลงไปข้างล่าง
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็หันไปมองเด็กสาวที่มีท่าทางหดหู่
“มาสิลิลลี่ กลับบ้านกันเถอะ”
ขณะที่เขาพูดมันออกมาก็รู้สึกถึงแรงกระแทกมหาศาลที่เกือบจะทำให้เขาลงไปกองกับพื้น
“ท่านวาห์นนน~” ลิลลี่กระโจนเข้าใส่หลังจากที่เขาพูดจบนั่นเอง เธอคลอเคลียตรงท้องของเขาและกอดร่างเอาไว้แน่น
//[ลิลิรูก้า อาเด้] ความชื่นชอบ +1//
หลังจากพยายามอยู่หลายนาที ในที่สุดวาห์นก็แกะเจ้าปีศาจนักกอดออกจากร่างของตนได้ เขาหันหลังกลับและมุ่งหน้าออกจากหอคอยขณะที่มีเด็กสาวร่าเริงเดินตามหลังไปติดๆ
—————