Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 47
วาห์นมองไปที่ลิลลี่และพยายามคิดว่าจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี เท่าที่เขารู้มา ไม่ควรจะมีวิธีการใดที่ทำให้คนอื่นนอกจากเหล่าทวยเทพสามารถอัพเดทกระดานค่าสถานะได้ แม้แต่ความสามารถในการดูค่าสถานะเองก็เป็นสิ่งที่หาได้หาก…
ลิลลี่สังเกตว่าเขากำลังคิดหนักกับเรื่องบางอย่าง เธอจึงตัดสินใจพูดขึ้นมาก่อน
“เป็นอะไรเหรอ วาห์น? นายพบอะไรหรือเปล่า?” เธอจ้องใบหน้าของเขาเพื่อดูว่าเขาพยายามปกปิดอะไรหรือเปล่า สำหรับลิลลี่แล้ววาห์นดูเหมือนจะมีความลับมากมายที่เธอไม่อาจถามได้ แต่เธอก็ยังอยากให้เขาพูดความจริงกับเธออยู่ดี
วาห์นจ้องมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็พูดมันออกมา เขาตัดสินใจที่จะช่วยเธอไปแล้วและไม่มีเหตุผลที่จะมาลังเลหลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“ลิลลี่… ฉันมีสกิลที่ไม่เพียงแค่ทำให้ฉันดูค่าสถานะได้ แต่มันยังทำให้ฉันใส่พลังงานของตัวเองลงไปในตราสัญลักษณ์เพื่อฟื้นฟาลน่าที่ตกค้างอยู่ภายในตัวเธอได้ด้วย ฉันไม่เคยทำมันมาก่อนแต่เชื่อว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ลิลลี่ก็ไม่อยากจะเชื่อเลย เธอไม่เคยได้ยินเรื่องที่มนุษย์ที่สามารถเสริมพลังให้กับฟาลน่าหรือสามารถอัพเดทกระดานค่าสถานะของคนอื่นได้มาก่อน แต่เมื่อเห็นความจริงจังในดวงตาของวาห์น เธอจึงเชื่อว่าเขากำลังพูดความจริง
เธอก้มหัวลงพลางใช้ความคิดก่อนจะถามต่อ “มันเกี่ยวข้องกับออร่าแปลกๆ ที่นายปล่อยออกมาด้วยหรือเปล่า? นั่นมันสกิลอะไรกันแน่? ฉันไม่เคยได้ยินหรือเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
“ไม่ใช่หรอก เป็นคนละสกิลกันเลย ตอนนี้ฉันยังบอกอะไรเธอมากไม่ได้เพราะฉันยังไม่แกร่งพอที่จะปกป้องความลับนี้เอาไว้ การรู้เรื่องนี้มากเกินไปอาจทำให้เธอต้องพบกับจุดจบก็ได้นะ” วาห์นตอบพร้อมกับส่ายหัว
นี่คือความจริง เนื่องจากเหล่าสกิลแฝงนั้นอยู่นอกเหนือ ‘กฎ’ ของโลก หากผู้ที่อาศัยอยู่ในเรคคอร์ดรู้ข้อมูลมากเกินไป กฎที่ว่าอาจจะส่งผลกระทบบางอย่างขึ้น
ลิลลี่มองเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังที่สุดของวาห์น แต่นั่นกลับทำให้เธออยากรู้มากกว่าเดิม เธอต้องการแข็งแกร่งมากพอที่เขาจะเชื่อใจและบอกความลับทุกอย่างกับเธอ สำหรับตอนนี้ เธอคงได้แต่พยักหน้าและไม่ถามอะไรต่อ
“สกิลที่ฉันจะใช้มีชื่อว่า [พรแห่งอิกดราซิล] มันทำให้ฉันสามารถอาบพลังธรรมชาติของโลกใบนี้เข้าไปในวัตถุต่างๆ ได้ เนื่องจากธรรมชาติของสกิล มีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะช่วยฟื้นฟาลน่าเพราะมันมีการทำงานที่คล้ายกับพลังที่เหล่าทวนเทพบนโลกใช้กัน ฉันไม่สามารถอธิบายได้มากไปกว่านี้เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง”
วาห์นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เพราะนี่เป็นข้อมูลทั้งหมดที่เขามีอยู่ การบอกอะไรเพิ่มเติมจะไปกระทบกับความลับที่เขาต้องการเพื่อปกป้อง
หลังจากใคร่ครวญคำพูดของวาห์นเป็นเวลาหลายนาที ลิลลี่ก็พยักหน้าและยิ้มให้กับวาห์น
“ฉันเชื่อใจนายนะวาห์น อย่างน้อยๆ ฉันก็เชื่อว่านายจะต้องไม่ทำร้ายฉันแน่นอน”
คำพูดนั่นทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจของเขา
“ขอบใจนะลิลลี่” จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาและลูบหัวเธออยู่พักหนึ่ง
“แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างล่ะ?” ลิลลี่รู้สึกคาดหวังเล็กน้อย แต่ตัดสินใจถามอ้อมๆ เพื่อขอคำอธิบายจากวาห์น
วาห์นเห็นว่าลิลลี่กำลังเขินหน้าแดง และเขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนนี้เขายังหาสาเหตุนั้นไม่เจอจึงได้แต่อธิบายออกมา
“ฉันต้องดูกระดานค่าสถานะของเธอในขณะที่ส่งพลังงานจากสกิลของฉันเข้าไปในตราสัญลักษณ์โดยตรง ไม่รู้หมือนกันว่ามันจะกินเวลานานแค่ไหนแต่ก็ไม่น่าจะนานเกินไป”
ได้ยินวาห์นยืนยันความสงสัยของเธอ ลิลลี่ก็เริ่มเขินหนักกว่าเดิมขณะ ‘จ้อง’ ไปที่วาห์น เธอเริ่มสงสัยว่าเขาเข้าใจสิ่งที่เขาขอให้เธอทำหรือเปล่า ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเลยเพราะทุกคนต่างรู้ว่าตราสัญลักษณ์ของแฟมิเลียนั้นจะอยู่ที่ตรงแผ่นหลังเสมอ หากไม่ถอดเสื้อผ้าท่อนบนออก เขาก็จะไม่สามารถทำพิธีได้!
วาห์นสับสนกับท่าทางของเธอมาก เขาคิดว่าเธอคงจะมีความสุขที่ได้รับการอัพเดทสถานะโดยไม่ต้องพึ่งแฟมีเลีย แต่ดูเหมือนว่าเธอจะดูโกรธและเขินอายไปพร้อมๆ กัน ขณะที่เขากำลังคิดหาสาเหตุ ลิลลี่ก็เริ่มพูดขึ้น
“วาห์น… นายอาจไม่รู้เรื่องนี้เพราะไม่เคยอยู่แฟมีเลียมาก่อน แต่ตำแหน่งของตราสัญลักษณ์นั้นจะอยู่ที่ด้านหลังของนักผจญภัยเสมอ ถ้าฉันไม่ถอดเสื้อออก อย่าว่าแต่เรื่องส่งพลังเข้าไปในนั้นเลย… แม้แต่การดูกระดานค่าสถานะของฉันนายก็ทำไม่ได้…”
ลิลลี่ยังคง ‘จ้อง’ ไปที่วาห์นเหมือนเดิม เธอเห็นเขาแสดงสีหน้าสับสนก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเข้าใจซึ่งทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
“อ่า จริงด้วยสิ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้คิดไปไกลถึงตรงนั้น ฉันแค่คิดแต่เรื่องทฤษฎีอย่างเดียวและยังไม่ได้คิดถึงตอนที่ทำมันจริงๆ เลย… แต่ว่าเรื่องที่ฉันไม่ได้อยู่ในแฟมีเลียน่ะออกจะผิดไปหน่อยนะ เธอไม่เห็นตอนอยู่ที่ประตูเหรอว่าฉันใส่ข้อมูลในฐานะสมาชิกของเฮเฟสตัสแฟมีเลีย? ฉันยังให้ ‘บัตรผ่าน’ เพื่อให้เธอเข้าออกได้อย่างอิสระด้วย”
ลิลลี่รู้สึกตกใจมากและเพิ่งจะเอะใจ แม้เธอจะรู้ว่า ‘บัตรผ่าน’ นี้เป็นสมบัติของเฮเฟสตัสแฟมีเลีย แต่เธอก็ลืมคิดไปว่าทำไมวาห์นถึงมีมัน
“ว่าแต่… วาห์น? นายไม่ได้บอกว่าเป็นนักสำรวจอิสระตอนที่เราพบกันครั้งแรกเหรอ? ฉันนึกว่านายเพิ่งเข้าเมืองเมื่อไม่นานมานี้… แล้วนายก็อาศัยอยู่ในโรงแรมแทนที่จะเป็นหอพักหรืออาคารของแฟมิเลียด้วย”
วาห์นพยักหน้ารับ “ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ในช่วงเวลาที่เราพบกันครั้งแรก ฉันยังเป็นแค่นักสำรวจอิสระ ฉันได้เข้าร่วมเฮเฟสตัสแฟมีเลียหลังจากที่เราแยกทางกันในเย็นวันนั้นแหละ”
คำพูดนั้นแทบจะทำให้หัวของเธอระเบิดออกมา เธอแทบจะคิดอะไรไม่ออกเลย (‘คืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันบ้างเนี่ย!’) ลิลลี่ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งที เธอรู้สึกว่าตัวเองประเมินเหตุการณ์ที่วาห์นเข้าไปพัวพันด้วยไปเวลาสั้นๆ ต่ำเกินไป ช่วงเย็นของวันๆ เดียว เขาช่วยชีวิตเธอ, วิ่งไปรอบๆ เมือง แล้วก็เข้าร่วมกับแฟมีเลีย และไม่ใช่แค่แฟมีเลียทั่วไปแต่เป็นแฟมีเลียอันดับสามของเมือง!
“นี่วาห์น ถ้ามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกก็ช่วยบอกฉันก่อนได้ไหม… ฉันว่าหัวใจของฉันคงจะรับเรื่องพวกนี้ไม่ไหวแล้วถ้ามันเกิดขึ้นต่อๆ กันแบบนี้” เธอดูเหนื่อยล้ามากพร้อมกับดวงตาที่อยากจะปิดเต็มที
วาห์นลูบหลังหัวของตัวเองและสัญญาว่าต่อไปจะบอกเรื่องแบบนี้กับเธอทันทีหากมันไม่เกี่ยวข้องกับความลับของเขา
—
ตอนนี้ทั้งสองกำลังออกจากดันเจี้ยน หลังจากที่วาห์นรู้ว่าขั้นตอนของตราสัญลักษณ์นั้นมีอะไรบ้าง เขาก็เลิกคิดที่จะทำพิธีในดันเจี้ยนและพาลิลลี่กลับออกมาข้างนอก แม้จะมีความเป็นไปได้ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีโอกาสที่นักผจญภัยคนอื่นจะใช้เส้นทางที่ทั้งคู่พักอยู่ หากพวกเขาเห็นว่าวาห์นกำลังใช้สกิลและทำอะไรบางอย่างกับตราสัญลักษณ์ล่ะก็คงจะมีข่าวลือแปลกๆ ออกมาและอาจสร้างปัญหาที่แก้ไขได้ยาก เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น วิธีแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือ ‘ปิดปาด’ พวกเขาซะ แต่วาห์นก็ไม่ชอบความคิดที่จะต้องมาสังหารคนอื่นเพราะเรื่องแบบนี้เลย
หลังจากขายไอเท็มและคริสตัลของวันนี้แล้ว วาห์นก็นำมันมาแบ่งครึ่งเท่าๆ กัน แม้ลิลลี่ปฏิเสธในตอนแรกแต่วาห์นก็ไม่สนใจและเริ่มมุ่งหน้ากลับโรงแรมทันที หลังลังเลอยู่ชั่วครู่ ลิลลี่ก็ถอนหายใจก่อนจะนำส่วนแบ่งใส่กระเป๋าเป้ของเธอและรีบเดินตามไป
—
เนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้วและวาห์นไม่รู้ว่าพิธีจะใช้เวลานานแค่ไหน พวกเขาจึงตัดสินใจซื้ออาหารจากร้านข้างทางแทน สถานที่ที่พวกเขาเลือกดูเหมือนจะมีจุดเด่นอยู่ที่เครปหลากชนิด วาห์นพบว่าการเฝ้าดูคนทำเครปเทแป้งและพับมันก่อนจะเพิ่มทอปปิ้งตามที่พวกเขาเลือกไว้นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก จากด้านข้าง ลิลลี่ก็จ้องมองท่าทางสนอกสนใจแบบเด็กๆ ของเขาและหัวเราะคิกคัก
หลังจากที่ทานกันไปหลายรอบ (สาเหตุหลักมาจากการที่วาห์นชื่นชอบรสชาติของปลาทอดหลังจากได้ทานเป็นครั้งแรก) ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงโรงแรม เมื่อก้าวเข้าไปข้างใน พวกเขาได้พบกับทีน่าซึ่งพอเห็นวาห์นก็เกิดอาการเขินอย่างแรงก่อนจะวิ่งหนีหายไปโดยไม่แม้ทักทายพวกเขา
เมื่อเห็นหญิงสาวที่ดู ‘หวาดกลัว’ วาห์นก็ยืนค้างอยู่ตรงนั้นพร้อมมือที่ยังโบกทักทายไปมา เป็นอีกครั้งที่เขาได้ยินเสียงหัวเราะของลิลลี่จากด้านข้าง เขาหันมามองจนเธอต้องพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ก่อนจะแลบลิ้นออกมาและเดินขึ้นไปข้างบน
วาห์นส่ายหัวและเริ่มเดินตามเธอไปแต่ก็ต้องหยุดลงมิลานเรียกเขา
“ตายจริง~ สวัสดียามเย็นนะวาห์น ฉันกำลังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมลูกสาวของฉันถึงวิ่งหน้าแดงเข้าไปในครัว อย่าบอกนะว่าเธอทำอะไรอีกแล้ว~? สงสัยรอบนี้คงต้องลงโทษเธอจริงๆ แล้วล่ะ~”
วาห์นเริ่มเหงื่อตกและเริ่มอธิบายเรื่องราวก่อนจะถูกบังคับให้นั่งลงและซื้อเครื่องดื่มของโรงแรม ปรากฎว่ามิลานต้องการถามเรื่องที่เขาหายตัวไปเมื่อสองสามวันก่อนและสาเหตุที่เขาพาลิลลี่กลับมาด้วย
เนื่องจากวาห์นรู้สึกดีกับเจ้าของโรงแรมผู้ใจดีที่ออกจะซุกซนบ้างเล็กน้อย เขาจึงตัดสินใจอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เธอฟังโดยปิดบังความลับสำคัญๆ เอาไว้ เธอรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าวาห์นช่วยชีวิตของลิลลี่เอาไว้และหลังจากนั้นก็กลายมาเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกฝนให้กับเธอ เมื่อเขาเล่าถึงตอนที่ได้เข้าร่วมกับแฟมีเลียและการที่เขาน่าจะย้ายออกไปในช่วงท้ายของสัปดาห์ เงาที่อยู่ด้านหลังประตูก็พุ่งออกมาจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้! ได้โปรดอย่าไปนะคะ!” ทีน่าน้อยปรากฏตัวออกมาหลังจากได้ยินว่าวาห์นจะไม่อยู่ที่นี่ต่อ เมื่อแม่ของเธอพูดคุยเรื่องต่างๆ กับวาห์นเธอก็แอบฟังการสนทนาอยู่เช่นกัน
วาห์นได้แต่ส่ายหัวให้กับคำขอร้องของเธอ แม้ว่าเขาจะชอบอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปตลอดได้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแน่นอนว่าเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น ยังไงเขาก็ต้องจากที่นี่ไป
เมื่อเห็นสีหน้าเชิงขอโทษของเขาบวกกับการที่เขาส่ายหัว ทีน่าก็เริ่มกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“เป็นเพราะฉันหนีไปเมื่อตอนเมื่อวานใช่ไหม? เพราะฉันไม่ยอมให้คุณจับหางใช่ไหมคะ?” สำหรับทีน่าแล้ว เธอไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าได้ แม้ลูกค้าจะเปลี่ยนหน้าไปมาอยู่บ่อยๆ แต่เธอรู้สึกว่าวาห์นคงจะอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ สำหรับทีน่านั้นเขาเป็นคนพิเศษและเป็นคนแรกที่ทำให้เธอรู้สึกแตกต่างไปจากผู้หญิงธรรมดา
วาห์นรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อเห็นเธอร้องไห้แต่เขาเกือบจะร่วงจากเก้าอี้เมื่อได้ยินเธอพูดเรื่องหาง เขาเริ่มกังวลว่าตัวเองได้ไปฝังความคิดแปลกๆ ไว้ในหัวของเด็กสาวหรือเปล่านะ…
เขามองไปที่มิลานและดูเหมือนเธอเองก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อยกับเรื่องที่เขาจะย้ายออก อย่างไรก็ตาม เธอดูจะยอมรับความจริงได้ดีซึ่งแตกต่างไปจากลูกสาวของเธอ ชีวิตคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกคนต้องเดินหน้าอยู่เสมอแม้บางครั้งจะไม่อยากทำแบบนั้นก็ตาม…
เมื่อมองดูสีหน้าที่แฝงแววเศร้าเล็กน้อยของมิลาน วาห์นก็อยากถามเธอว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เขาอยากจะปลอบโยนแม่ลูกคู่นี้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเช่นกัน
ในขณะที่กำลังคิดหนัก เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังโอบรัดเอวเอาไว้ เขาหันมาเห็นทีน่าที่กำลังกอดเขาจากด้านข้าง เขาไม่คิดว่าเธอจะรู้สึกผูกพันกับเขาขนาดนี้แม้ทั้งสองแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย บนปกเสื้อของเด็กสาวนั้นยังมีเข็มกลัดที่เขาเพิ่งซื้อให้กับเธอเมื่อวันก่อนด้วย…
—
หลังจากใช้เวลาอยู่ยี่สิบนาทีเพื่อปลอบทีน่าและพูดคุยกับมิลาน ในที่สุดวาห์นก็ขอตัวออกมาได้สำเร็จหลังจากให้สัญญาว่าจะมาเยี่ยมทุกครั้งที่มีโอกาสถึงแม้ว่าเขาจะย้ายออกไปแล้ว ทีน่ายังกดดันเขามากขึ้นและให้เขาสัญญาว่าจะให้ข้อมูลที่อยู่ใหม่กับเธอหลังจากที่ย้ายออก เธอบอกเขาว่าเมื่อโตพอเมื่อไหร่ เธอก็จะกลายเป็นนักผจญภัยเช่นกันและตามเขาเข้าไปในดันเจี้ยนอย่างที่แม่ของเธอทำกับพ่อ
—
วาห์นเดินขึ้นบันไดและเคาะประตูห้องของลิลลี่ หลังจากได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมากมาย ประตูก็เปิดออกเล็กน้อยและเผยให้เห็นดวงตาของลิลลี่ เธอดูประหม่ามากและวาห์นได้กลิ่นบางอย่างที่เล็ดลอดออกมาจากห้อง ดูเหมือนว่าในขณะที่เขาอยู่ข้างล่าง ลิลลี่ได้ใช้โอกาสนี้เพื่ออาบน้ำ วาห์นสันนิษฐานว่าเธอคงกังวลเรื่องกลิ่นเหงื่อ แต่พอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของลิลลี่ เขาเองก็เริ่มรู้สึกประหม่าเช่นกัน
“ยะ-ยินดีต้อนรับนะวาห์น เชิญเข้ามาสิ…” ลิลลี่เปิดประตูออกและเผยให้เห็นเสื้อผ้าที่วาห์นไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นชุดที่คล้ายกับชุดนอนมาก เว้นแต่ว่าเธอกำลังใส่มันกลับหลัง ตอนนี้บริเวณที่ควรจะถูกติดกระดุมไว้กำลังเผยให้เห็นถึงแผ่นหลังของเธอ เมื่อเห็นผิวเปลือยเปล่า วาห์นก็รู้สึกว่าปากของเขาแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกตามสัญชาตญาณ
—————