Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 52
เฮเฟสตัสรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็น ‘เพลิงนิรันดร์’ ฝังชิ้นส่วนสำคัญของตัวเองเข้าไปในหัวใจของวาห์น ตอนนี้เธอสามารถรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจอันนุ่มนวลของเขาสะท้อนอยู่ภายในของดวงวิญญาณเธอ มันแทบจะสัมผัสไม่ได้เลย แต่เมื่อเธอเพ่งสมาธิไปก็จะสามารถสัมผัสมันได้อย่างง่ายดาย เนื่องจาก ‘เพลิงนิรันดร์’ เป็นส่วนหนึ่งของเธอและมันได้ฝังลึกเข้าไปในตัววาห์นแล้ว ตอนนี้พวกเขามีสายสัมพันธ์แบบถาวรที่ไม่มีอะไรมาตัดให้ขาดออกจากกันได้ ความคิดนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นขณะมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นำพาความลึกลับและความอัศจรรย์มาสู่ชีวิตของเธอ
วาห์นรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างในตัวเขาจ้องไปที่เฮเฟสตัส เขาเห็นออร่าของเธอแผ่ออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับแสงอุ่นๆ ของดวงอาทิตย์ มันมีสีเหลืองที่ดูอ่อนหวานและแต่งแต้มไปด้วยสีชมพู เมื่อเขาสบตา ใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มที่กว้างที่สุดที่เขาเคยเห็น…
//[เฮเฟสตัส]: ค่าความชื่นชอบ +8//
//[เฮเฟสตัส]: ค่าความชื่นชอบ:90[ชะตาฟ้าลิขิต?], ความสนใจ:100[ห่วงจนเกินเหตุ]//
ภายในหัวของเขา วาห์นเห็นค่าความชื่นชอบอันใหม่ของเธอและการแจ้งเตือนสำหรับภารกิจความปรารถนาของหัวใจก็มีการเคลื่อนไหว แม้จะสับสนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แต่วาห์นก็ยิ้มตอบเพราะเขารู้สึกได้ถึงความห่วงใยและความกังวลที่เธอมีให้และต้องการตอบสนองความรู้สึกเหล่านั้น
—
หลังจากที่วาห์นรับ ‘เพลิงนิรันดร์’ มาเป็นลูกน้องแล้ว เฮเฟสตัสก็โล่งอกเมื่อเห็นว่าแกนหลักของเปลวเพลิงยังคงอยู่ภายในเตาหลอม เธอยังคงสามารถใช้มันต่อไปได้ในอนาคตและมีเรื่องกังวลน้อยลงไปอีกเรื่อง ตอนนี้เธอสามารถเพ่งความสนใจไปที่ปัญหาใหญ่สุดที่อยู่ตรงหน้าเธอ นั่นก็คือจัดการกับสถานการณ์พิเศษของวาห์น
“วาห์น ตามที่เราได้คุยกันก่อนหน้านี้ เธอต้องปกป้องตัวตนที่แท้จริงของเธอจนกว่าจะแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับภัยคุกคามจากภายนอกได้ เมื่อเธอเปิดเผยตัวว่าเป็นลูกครึ่งเทพที่สามารถใช้สถานะกึ่งเทพได้ เหล่าแฟมีเลียก็จะพยายามแย่งตัวเธอไป ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พวกเขาอาจพยายามใช้วิธีลอบสังหารเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ฉันจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องและให้การสนับสนุนเธอ แต่สำหรับตอนนี้ ฉันจะปล่อยให้การคุ้มครองและการฝึกฝนตกเป็นหน้าที่ของเด็กที่ฉันเชื่อใจมากที่สุด สึบากิ”
เมื่อมาถึงตรงนี้ พวกเขาทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของเธอ และพวกเขาก็อยู่ใกล้กันมากพอที่จะรู้สึกความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างของกันและกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองวอกแวก เขาจึงเพ่งสมาธิถึงขีดสุดขณะที่พยายามคงสีหน้านิ่งๆ เอาไว้ นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ วาห์นก็รู้สึกถึงตัวตนของเฮเฟสตัสมากเป็นพิเศษ
ขณะที่อธิบายต่อไปเรื่อยๆ เฮเฟสตัสก็เริ่มหน้าแดงเล็กน้อยเพราะเธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของวาห์นที่เต้นเร็วขึ้น แม้เขาจะแสดงท่าทางนิ่งสงบและดูจริงใจ แต่เธอก็ตระหนักว่าเขาแค่พยายามอย่างมากเพื่อรักษาสีหน้าไว้แบบนั้น
“พรุ่งนี้เช้าฉันจะพาเธอไปที่บ้านของสึบากิ เมื่อเราไปถึง ฉันต้องการให้เธออาศัยอยู่ที่นั่นนับจากนี้ไป สึบากิจะสอนเธอเรื่องการตีเหล็กและยังช่วยพัฒนาความสามารถด้านการต่อสู้ของเธอได้ด้วย เนื่องจากเธอเป็นถึงปรมาจารย์ช่างตีเหล็กและนักผจญภัยเลเวล 5 สึบากิจึงเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะช่วยเธอ ฉันแจ้งให้เธอทราบแล้วว่าเราจะไปและเธอก็จะเลิกรับงานทั่วไปเว้นแต่งานจากลูกค้าพิเศษจนกว่าเธอสามารถปกป้องตัวเองได้นะวาห์น”
เมื่อได้ยินว่าเขาจะได้อยู่กับปรมาจารย์ช่างตีเหล็กและนักผจญภัยเลเวล 5 เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่พอได้ยินว่าเธอจะหยุดรับงานเพื่อช่วยเขา วาห์นก็เริ่มรู้สึกกังวล
“เธอจะไม่ลำบากเพราะมาเสียเวลากับผมเหรอครับ? ผมฝึกฝนด้วยตัวเองก็ได้นะ แล้วผมก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาลำบากเพราะมีผมเป็นต้นเหตุเลย”
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา เฮเฟสตัสก็เอามือมาปิดปากตัวเองและหัวเราะออกมา วาห์นอยากถามว่าทำไมเธอถึงหัวเราะ แต่เฮเฟสตัสเริ่มอธิบายขึ้นเสียก่อน “สึบากิมีทรัพย์สินมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากต้องการล่ะก็เธอจะเกษียณตอนไหนก็ได้และใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างหรูหราแบบไม่ต้องกังวล ในฐานะที่เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ช่างตีเหล็กไม่กี่คนของเมือง เธอได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนหลายสิบล้านต่อสัญญาหนึ่งฉบับ ตอนนี้เธอมีสัญญาอยู่เจ็ดฉบับและได้รับค่าตอบแทนกว่า 300,000,000 วาลิสต่อปีโดยไม่ต้องออกจากโรงหลอมเลย”
วาห์นตกตะลึงเมื่อได้ยินจำนวนตัวเลขมากมาย เขาจำได้ว่ามีดที่เฮสเทียมอบให้กับเบลล์นั้นมีมูลค่าถึง 200,000,000 วาลิส แต่เขาก็ไม่คิดว่าช่างตีเหล็กที่ไม่ใช่เทพจะหาเงินได้มากขนาดนั้น เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นถึงโอกาสที่จะเพิ่มความมั่งคั่งของตัวเองในอนาคต
—
หลังจากที่จิตใจของวาห์นปลิวไปกับคำบอกเล่าของเฮเฟสตัส ทั้งสองยังคงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหลายๆ เรื่องจนกระทั่งตกดึก ไปๆ มาๆ ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็หดหายไปไหนไม่รู้ เฮเฟสตัสจึงใช้โอกาสนี้โอบกอดเขาในแบบที่เคยทำมาก่อน เธอแก้ตัวว่าแค่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะกอดเขาอีกครั้งและเธอก็เป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ
วาห์นไม่ได้ขัดขืนและเคลิบเคลิ้มไปกับอ้อมกอดของเธอ แม้เขาจะไม่เคยตระหนักเรื่องนี้มาก่อน แต่การถูกคนอื่นกอดนั้นมันทำให้จิตใจรู้สึกสงบมาก เป็นความรู้สึกลึกๆ ในใจของเขาว่าบางสิ่งที่หายไปกำลังฟื้นกลับมาอย่างช้าๆ เขารู้สึกสบายใจในอ้อมแขนของเฮเฟสตัสจนผลอยหลับไป…
—
“วาห์น ตื่นได้แล้ว วันนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ และเธอจะต้องเตรียมทุกอย่างให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้า” เฮเฟสตัสปลุกวาห์นผู้ที่เผลอหลับในอ้อมแขนของเธออย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบของเขา เธอก็แทบไม่อยากทำแบบนั้นแต่ก็รู้ว่ามันจำเป็น
วาห์นลังเลที่จะออกจากอ้อมกอดของเธอและหาวออกมาก่อนจะบิดตัว เขาไล่ความขี้เซาออกจากร่างกายก่อนจะมองไปยังใบหน้าอันยิ้มแย้มของเฮเฟสตัส เมื่อเห็นสีหน้าสงบของเธอหลังจากที่ตัวเองหลับไป วาห์นก็เริ่มรู้สึกเขินๆ เขายืดเส้นยืดสายต่อไปเพื่อปกปิดมันแต่เฮเฟสตัสก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเนื่องจากสายใยผูกพันของพวกเขา
หลังจากบอกลากันเสร็จแล้ว ในที่สุดวาห์นก็ออกจากาโรงหลอมของเฮเฟสตัส ในระหว่างทางที่เขาเดินผ่านก็พบกับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ยังคงประจำอยู่โดยรอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เขามาถึง วาห์นประทับใจกับความใส่ใจและความเป็นมืออาชีพของพวกเขามาก
เมื่อเซฟฟ์ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยเห็นเด็กหนุ่มที่ดูเหนื่อยล้าเดินออกมาจากตึก เขาเดินเข้าไปหาพร้อมแสดงสีหน้าที่ดูดุดันเล็กน้อย
“หึ นายทำให้พวกเรารอซะตั้งนานเลยนะไอ้หนู ถ้ารู้มาก่อนว่านายจะอยู่ในนั้นตั้งห้าชั่วโมง ฉันจะได้แบ่งคนออกมาเฝ้าเป็นกะ”
วาห์นได้แต่ยักไหล่ก่อนจะโค้งคำนับอย่างสุภาพที่ทำให้พวกเขาลำบาก ดูจากเวลาในตอนนี้ เขาคงนอนหลับไปนานเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่งซึ่งทำให้คนพวกนี้ต้องรออยู่ข้างนอกนานกว่าเดิม แม้เขาจะไม่ได้บอกเหตุผล แต่เขาก็กล่าวขอโทษอย่างจริงใจและสัญญาว่าจะพาพวกเขาออกไปเลี้ยงข้าวหากมีโอกาสในอนาคต
เซฟฟ์หัวเราะและหันไปบอกคนของเขาซึ่งก็ส่งเสียงขานรับแม้จะเหนื่อยมากก็ตาม จากนั้นเขาก็แบ่งคนออกและส่งบางส่วนกลับไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อแจ้งเรื่องเปลี่ยนเวรยาม พอสังเกตเห็นว่าวาห์นยังคงอยู่ตรงนั้น เขาก็ตบหลังเด็กหนุ่มเบาๆ ราวกับจะบอกให้ไปได้แล้ว
“อย่าสร้างปัญหาให้กับท่านหญิงมากนักล่ะ เข้าใจไหม?”
วาห์นพยักหน้าก่อนจะออกเดินผ่านความมืดและตรงไปที่โรงแรม
—
หลังจากเดินผ่านประตูทางเข้า วาห์นเกือบจะรู้สึกว่าวิญญาณได้ออกจากร่างเมื่อเห็นใบหน้าของลิลลี่ที่กำลังรอเขาอยู่ จากสีหน้าและออร่าของเธอ เขาพอบอกได้ว่าเธอกำลังโกรธมากและรู้สึกกังวลเล็กน้อย เธอยืนขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรและเข้ามายืนติดกับร่างกายของเขา… แล้วก็เริ่มดมกลิ่นมัน
“ไหนนายบอกว่ามีธุระที่เฮเฟสตัสแฟมีเลียไง แต่ตอนนี้นายกลับมาบ้านแถมยังมีกลิ่นของผู้หญิงติดมาด้วย” ลิลลี่ถอนหายใจหลังจากพบกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคย เมื่อดูจากความแรงของกลิ่น เขาน่าจะอยู่กับผู้หญิงคนนั้นนานหลายชั่วโมง
วาห์นสังเกตเห็นว่าเธอดูผิดหวังและอาจคิดว่าเขาโกหกเพื่อหาข้ออ้างที่จะไปพบกับผู้หญิงคนหนึ่งโดยไม่ให้เธอรู้ เขาถอนหายใจและส่ายหัวก่อนจะอธิบายออกมา
“ฉันอยู่กับผู้หญิงจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเก็บเป็นความลับอะไร ฉันไปพบกับเฮเฟสตัสเองเลยและเราก็ปรึกษากันเรื่องอนาคตของฉัน มีเรื่องอื่นๆ เกิดขึ้นด้วยนะ แต่ก็ไม่ใช่แบบที่เธอคิดไว้หรอก…” คำพูดของวาห์นเริ่มเบาลงในตอนท้ายหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเฮเฟสตัสผุดขึ้นมาในหัว
ลิลลี่เห็นสีหน้านั่นพอดีและเกือบจะปรี้ดแตกแต่สุดท้ายกลับถอนหายใจอย่างเคืองๆ แทน เธอนึกขึ้นได้ว่ากำลังพยายามเอาชนะความเห็นแก่ตัวของเธอเอง แต่ก็พบว่านั่นเป็นสิ่งที่ยากมากโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวาห์น หลังจากสงบสติลงแล้ว เธอก็ถามต่อว่าพวกเขาได้คุยอะไรไปบ้าง
วาห์นอธิบายรายละเอียดเรื่องที่เขาจะไปอาศัยอยู่กับกัปตันของเฮเฟสตัสแฟมีเลียเพื่อฝึกปรือความสามารถในการตีเหล็กและการต่อสู้ นอกจากนี้เขายังได้พูดเรื่องแผนการฝึกในอนาคตของลิลลี่ที่เธอควรทำทุกเช้าจนกว่าเขาจะปรึกษากับสึบากิอีกที ตราบใดที่สึบากิเห็นชอบ เขาก็อยากให้ลิลลี่ไปฝึกที่นั่นด้วยกัน สำหรับการสำรวจดันเจี้ยนในช่วงกลางวันนั้น วาห์นตัดสินใจที่จะทำมันต่อไป ถ้าสึบากิปฏิเสธที่จะฝึกให้กับลิลลี่ เขาก็จะถ่ายทอดสิ่งที่ได้เรียนมาให้กับเธอระหว่างที่พวกเขาเข้าไปสำรวจดันเจี้ยนในช่วงบ่ายด้วยกัน
ลิลลี่จำชื่อของสึบากิได้เนื่องจากเธอค่อนข้างเป็นที่โด่งดังในเมือง แม้ลิลลี่จะไม่เคยเห็นเธอมาก่อน แต่ก็ได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับความสามารถของเธอในฐานะช่างตีเหล็กและนักผจญภัย เธอรู้ว่ามันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับวาห์นและยิ่งทำให้เธอมีความสุขกว่าเดิมเมื่อได้ยินว่าเขาจะนำเรื่องของเธอไปปรึกษากับสึบากิ เธอตัดสินใจยกโทษให้เขาจากการกลับดึกแต่มุ่งมั่นว่าจะสืบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวาห์นกับเฮเฟสตัสในอนาคตให้ได้ ลิลลี่ไม่มั่นใจเลยว่าเธอจะเอาอะไรไปแข่งกับเทพธิดา…
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ลิลลี่ก็พาเขาไปดูที่ที่เธอเก็บอาวุธทั้งหมดที่ถูกส่งมาในช่วงบ่าย วาห์นเก็บอาวุธทั้งหมดใส่ช่องเก็บของยกเว้นค้อนเพราะลิลลี่ตั้งใจจะใช้มันเพื่อฝึกฝนในตอนเช้า
จากนั้นทั้งสองก็กลับขึ้นไปข้างบนและสวดกอดกันอย่างที่ทำบ่อยๆ ตอนนี้การกอดกลายเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่พวกเขาทำก่อนจบวัน แต่วาห์นรู้สึกแปลกๆ เมื่อเทียบกับทุกครั้งที่ผ่านมา มันแตกต่างจากตอนที่เขาถูกเฮเฟสตัสกอด เขาไม่รู้สึกปลอดภัยในอ้อมแขนของลิลลี่ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถืออะไรบางอย่างที่เปราะบางและทำให้อยากปกป้องเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนคนนี้
หลังจากแยกกันแล้ว วาห์นก็เริ่มไตร่ตรองความแตกต่างระหว่างการกอดของทั้งสองคน เขาสงสัยว่าลิลลี่อาจจะรู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึกเมื่อถูกเฮเฟสตัสกอด ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงชอบให้เขากอด เขารู้สึกสบายเมื่อถูกเฮเฟสตัสกอดจนถึงขั้นที่เผลอหลับไปขณะเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นของเธอ
วาห์นนอนอยู่บนเตียงและพยายามนึกถึงช่วงเวลานั้นและเล่นมันซ้ำไปซ้ำมาในหัว ในช่วงที่นึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย เขาก็รู้สึกถึง ‘เพลิงนิรันดร์’ ที่เต้นอยู่ในทรวงอก ดูเหมือนว่ามันกำลังปลอบโยนเขาในแบบเดียวกับที่เฮเฟสตัสทำ เขาฟังเสียงจังหวะเต้นอย่างอ่อนโยนของมันและหลับไปด้วยความรู้สึกอันแสนอบอุ่น