Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 57
เวล์ฟมองค้อนที่อยู่ในมือของวาห์นด้วยสีหน้าตกตะลึง
“นายไปเอาค้อนนั่นมาจากไหน?”
แม้เขาจะรู้คำตอบอยู่แก่ใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเองสงสัย
วาห์นมองเห็นออร่าของเวล์ฟซึ่งเป็นสีแดงผสมกับสีฟ้าและจู่ๆ มันก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและมีสีเขียวตรงส่วนขอบ
วาห์นเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและเคืองๆ จากสีหน้าที่เวล์ฟมองค้อนที่เขาได้รับมาจากเฮเฟสตัส
เขารู้สึกได้ถึงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในท่าทางของเวล์ฟราวกับว่าถ้าทำได้คงเข้ามาแย่งค้อนไปแล้ว
วาห์นชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะตอบ
“ฉันไม่มีเหตุที่ต้องบอกนาย ห่วงเรื่องอุปกรณ์ของตัวเองก่อนจะมาเล็งของๆ คนอื่นเถอะ”
คำพูดของเขาดูเหมือนช่วยทำให้เวล์ฟตื่นจากภวังค์และรีบตรงเข้าไปหาวาห์น
ทั้งสองจ้องหน้าอีกฝ่ายโดยอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ฟุต
เวล์ฟมองลงไปที่วาห์นและพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงราวกับจะออกคำสั่ง
“นายจะบอกว่าค้อนนั่นเป็นของนายเองเหรอ? งั้นก็อธิบายเรื่องตราสัญลักษณ์ของผู้สร้างมาสิ ทำไมนายถึงมีไอเท็มที่ท่านเฮเฟสตัสเป็นคนหลอมขึ้น แล้วตราอีกอันมันเป็นของใครกัน!?”
วาห์นสับสนกับคำถามเพราะเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องตราสัญลักษณ์ที่อยู่บนค้อนมาก่อนเลย
เขารู้ว่าเหล่าช่างตีเหล็กมักจะสลักสัญลักษณ์บนไอเท็มของตนเพื่อสร้างชื่อเสียง แต่เขาไม่รู้ว่าเฮเฟสตัสได้สลักตราสัญลักษณ์ที่อยู่บนดาบของเขาไว้ที่ค้อนด้วยเช่นกัน
เขาพบว่าที่ส่วนคอของค้อนนั้นมีสัญลักษณ์ที่ถูกสลักไว้คู่กันและเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเวล์ฟถึงโมโห แต่เขาก็ยังไม่ชอบท่าทางเชิงข่มขู่นั่นอยู่ดี
วาห์นหรี่ตาและพูดอย่างเรียบๆ
“นั่นมันเรื่องของฉัน นายมาเกี่ยวอะไรด้วย?”
เวล์ฟขบฟันและกำมือแน่น เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้าคอเสื้อขณะที่วาห์นเตรียมหักข้อมือทันทีที่มันสัมผัสถูกตัว
ช่วงเวลาก่อนที่วาห์นจะทันได้หักข้อมือนั่น ทั้งสองก็ถูกทุบลงไปนอนกับพื้นด้วยกำปั้นจากด้านบน
“เลือดร้อนกันมันก็ดี แต่อย่ามาใช้ความรุนแรงในที่ทำงานของฉัน! ถ้าอยากจะตีกันก็แข่งเรื่องที่มันมีประโยชน์กว่านี้หน่อย”
สึบากิยืนอยู่เหนือตัวของวาห์นและเวล์ฟโดยที่ทั้งคู่กำลังนอนดิ้นอยู่บนพื้นพร้อมกับหัวที่ปูดโน
เป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้พบกันที่พวกเขาทั้งสองต่างคิดอย่างเดียวกัน: (คนหัวรุนแรงน่าจะเป็นเธอมากกว่า!)
—
ตอนนี้ทั้งสี่คนเปลี่ยนไปนั่งอยู่ที่โต๊ะและกำลังพักดื่มน้ำชากัน
สึบากิ, วาห์น, เวล์ฟและลิลลี่ต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุที่เกิดจากความขัดแย้งก่อนหน้านี้
บนหัวของวาห์นและเวล์ฟยังคงปูดออกมาซึ่งทำให้บรรยากาศตึงๆ เกือบกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน
สึบากิเริ่มหัวเราะออกมาในขณะที่พวกเขาทั้งสามชำเลืองมองเธอ
หลังผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดสึบากิก็หยุดหัวเราะลง เธอเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว
“เอาล่ะ ฉันจะเป็นคนอธิบายเอง เพราะถ้าปล่อยให้พูดกันเองสงสัยจะได้ตีกันตายซะก่อน”
เธอจ้องมองเข้าไปในดวงตาของทั้งคู่ ทำให้พวกเขาต้องสยบให้กับแรงกดดันของมัน
“เชื่อฟังกันทั้งคู่แบบนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบนะ”
ทั้งคู่ถึงกับสะดุ้งหลังจากได้ยินคำพูดของเธอ
“ยังไงก็เถอะ ขอเข้าเรื่องเลยละกัน เวล์ฟ วาห์นน่ะแข็งแกร่งกว่าเธอมากนะ ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่เข้ามาขวาง ป่านนี้เธอคงต้องนอนรักษาข้อมือที่หักไปอีกหลายเดือนเลย
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอจะไม่ได้ฝึกตีเหล็กไปอีกนาน ดังนั้นอย่าหัวร้อนให้มันมากนักล่ะ”
พอได้ยินสึบากิบอกว่าเขาอ่อนแอกว่าวาห์น เวล์ฟก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ
เขามองตรงไปทางเด็ก ‘ตัวเล็ก’ และมองไม่ออกเลยว่าเขาดูแข็งแกร่งตรงไหน
ขณะที่เขากำลังคิด สึบากิก็พูดต่อ
“มันเป็นเรื่้องจริง วาห์นได้เข้าไปในดันเจี้ยนหลายครั้งเพื่อพัฒนาทักษะของตัวเอง ต่างจากเธอที่นั่งโม้ไปวันๆ ว่าตัวเองจะต้องได้เป็นสุดยอดช่างตีเหล็กอย่างสิ้นเชิง
ถึงพวกเธอจะอายุเท่ากัน แต่วาห์นก็เป็นถึงเลเวล 2 และยังสู้พอฟัดพอเหวี่ยงกับนักผจญภัยเลเวล 3 ชั้นปลายแถวได้ด้วย”
เวล์ฟรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าวาห์นขึ้นไปถึงเลเวล 2 แล้ว
แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็เป็นเรื่องยากมากที่คนจากแฟมีเลียสายผลิตจะอัพเลเวลได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ความประหลาดใจของเขาก็กลายเป็นความไม่เชื่อถึงที่สุดเมื่อได้ยินคำพูดถัดไปของสึบากิ
“นอกจากนี้วาห์นยังมีสกิล [ช่างตีเหล็ก] ที่กำลังพัฒนาอยู่และถึงแม้จะเป็นมือใหม่เรื่องการหลอม แต่ฝีมือของเขาก็ได้รับการยอมรับจากท่านเฮเฟสตัสแล้ว
ค้อนอันนั้นเป็นสิ่งที่ท่านเฮเฟสตัสมอบให้เพื่อเป็นตัวแทนความเชื่อใจและการให้กำลังใจจากเธอโดยหวังว่าเจ้าของคนใหม่จะพัฒนามากขึ้นไปอีก ถูกต้องไหมวาห์น?”
วาห์นพยักหน้าแต่ก็เห็นว่าออร่าที่อยู่รอบตัวเวล์ฟดูหดหู่มาก
เขาแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อและดูเหมือนกำลังเก็บกดความไม่พอใจเอาไว้อยู่พอสมควร
วาห์นจำได้ว่าตัวละครของเวล์ฟนั้นแม้เขาจะเป็นช่างตีเหล็กที่ยอดเยี่ยม แต่เพราะรอยด่างพร้อยในอดีตทำให้เขามีข้อจำกัดหลายอย่าง
สาเหตุที่มาจาก ‘พลังสายเลือด’ ของตัวเองทำให้เขาหมายมั่นว่าจะไม่ตีทางตีดาบเวทมนตร์ขึ้นมาอีกและนั่นก็ทำให้การเติบโตของเขาย่ำอยู่กับที่
จริงๆ แล้วทั้งวาห์นและเวล์ฟนั้นคล้ายกันมาก
ทั้งคู่ต่างเป็นเหยื่อของ ‘พลังสายเลือด’ เช่นเดียวกันแม้ว่าในกรณีของวาห์นนั้นจะเป็นเพราะ ‘เลือด’ โดยตรงเลยก็ตาม
ขณะที่เวล์ฟสามารถหลบหนีออกมาได้ แต่วาห์นกลับถูกบังคับให้ทนทุกข์ทรมานมาตลอด 14 ปี
อย่างไรก็ตาม วาห์นได้ยอมรับ ‘เลือด’ ของตนเองแล้วและพยายามพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งพอที่จะไม่ถูกคนอื่นเอาเปรียบซึ่งต่างไปจากเวล์ฟที่ยังคงหนีอยู่ตราบจนถึงตอนนี้
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่วาห์นรู้สึกรำคาญท่าทางของเวล์ฟมาก
“นายมันขี้ขลาด”
วาห์นพูดออกมาตรงๆ และทำให้สึบากิหยุดพูดไปชั่วขณะ
ตอนแรกเธอตั้งใจจะตำหนิวาห์นแต่ก็เปลี่ยนใจเพราะอยากเห็นว่าจะเป็นยังไงต่อ
เธอรู้เรื่องอดีตของเวล์ฟเป็นอย่างดีและสงสัยว่าวาห์นอาจสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากการใช้สัมผัสพิเศษของเขา
เวล์ฟที่กำลังพยายามดิ้นรนกับเรื่องภายในใจก็สะดุ้งขึ้น
เขาหันไปหาวาห์นก่อนจะทุบกำปั้นลงกับโต๊ะ
เสียงถ้วยที่ตกใส่พื้นดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงคำรามของเวล์ฟ
“แกพูดว่าไงนะ!? แกว่าใครขี้ขลาดตาขาว!?”
เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักมาก่อนกล่าวหาเขา ‘ขี้ขลาด’ เวล์ฟก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ถ้านายไม่ใช่คนขี้ขลาด งั้นทำไมนายต้องมาคิดหนักขนาดนั้นด้วย?
พอได้ยินคุณสึบากิบอกว่าฉันแข็งแกร่งกว่า นายก็ไม่เชื่อเธอ
แล้วหลังจากได้ยินว่าฉันมีสกิล [ช่างตีเหล็ก] นายก็เริ่มทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ท่าทางมันฟ้องอยู่แล้วว่านายไม่เชื่อว่าฉันเก่งกว่านาย
แต่อะไรทำให้นายคิดว่าจะมาเทียบกับฉันได้งั้นเหรอ!? ทำไมนายถึงคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น!? อะไรที่ทำให้นายมีสิทธิ์ดูถูกความตั้งใจและความพยายามของคนอื่น!?”
วาห์นตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ละคำพูดยิ่งดุดันขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้เขาเกลียดท่าทางของเวล์ฟที่ทำเหมือนตัวเองเป็นผู้เคราะห์ร้ายทั้งๆ ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุขแถมยังถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนจิตใจดี
เวล์ฟผู้ถูกวาห์นตะโกนใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก
แม้วาห์นจะไม่รู้สึกตัว แต่อารมณ์ที่หลุดการควบคุมของเขาทำให้สกิล [จิตแห่งราชัน] ทำงานขึ้นและกดดันเวล์ฟที่เป็นแค่เลเวล 1 อย่างหนัก
ทุกคำที่วาห์นพูดออกมาทำให้เวล์ฟรู้สึกกดดันมากขึ้นและแต่ละคำพูดต่างทำให้เวล์ฟรู้สึกปวดร้าวและสำนึกเสียใจ
“วาห์น ใจเย็นลงก่อน! เธอต้องควบคุมพลังของตัวเองให้ดีสิ!”
สึบากิกำลังคิดว่าเธอปล่อยให้เรื่องบานปลายนานเกินไปนิด
แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยกับคำพูดของวาห์น แต่เธอก็ปล่อยให้เขากดดันหรือทำลายศักดิ์ศรีของเวล์ฟไปมากกว่านี้ไม่ได้
ถึงเวล์ฟจะไม่ยอมสร้างดาบเวทมนตร์เนื่องจากอดีตที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังเป็นช่างตีเหล็กที่มีพรสวรรค์และมากความสามารถคนหนึ่ง
มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของแฟมีเลียหากเขายอมแพ้ที่จะก้าวหน้าต่อไป
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของสึบากิ วาห์นก็รู้สึกตัวว่ากำลังใช้สกิลกดดันเวล์ฟอยู่จึงรีบปรับลมหายใจก่อนที่จะนั่งลง
“ขอโทษครับ… ผมแค่ทนไม่ได้เมื่อเห็นคนทำตัวหยิ่งทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคนอื่นต้องพยายามมากขนาดไหน”
เวล์ฟผู้ยังคงมีเหงื่อท่วมตัวต้องการจะโต้กลับหลังจากแรงกดดันหายไปแต่ไม่ว่าจะคิดมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของวาห์นได้
ภายในส่วนลึกของหัวใจเขาเองต่างรู้ว่าวาห์นพูดถูก… เขามันขี้ขลาดจริงๆ
ตอนที่พลังสายเลือดขนตนตื่นขึ้นมาและถูกครอบครัวกดดันอย่างหนัก เขาก็หนีออกจากบ้านเพื่อหลบเลี่ยงการกลายเป็นคนที่ตัวเองเกลียด
เขาหนีไปเรื่อยๆ จนมาถึงโอราริโอ้ที่ซึ่งครอบครัวของเขาไม่มีอิทธิพลและจากนั้นก็เข้าร่วมกับแฟมีเลียที่ทรงพลังโดยใช้ชื่อเสียงของตระกูล ‘ครอซโซ่’ รวมกับพรสวรรค์ของตัวเอง
ถึงเขาจะทำงานอย่างหนักเพื่อจะเป็นช่างตีเหล็กที่ได้รับการยอมรับจากเฮเฟสตัส แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องพึ่งพาแฟมีเลียในส่วนของค่าครองชีพ
หากไม่มีความช่วยเหลือจากแฟมีเลีย เขาก็จะไม่มีทางก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาในตอนที่มีอายุเพียงแค่ 10 ปีได้แน่…
(TL: เวล์ฟหนีออกจากบ้านตอนอายุ 10 ปีและเข้าร่วมเฮเฟสตัสแฟมีเลียหลังจากนั้นไม่นาน)
เวล์ฟมองไปยังเด็กหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกับตน
แม้เขาจะอิจฉาวาห์นที่มีเลเวล 2 และยังมีสกิล [ช่างตีเหล็ก] แต่ก็รู้ดีว่าการได้มันมาคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
วาห์นคงใช้ความพยายามไปไม่น้อยเลยและดูจากการที่เขายังเด็กมากก็หมายความว่าเขากำลังถูกกดดันให้ทำตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่
มิฉะนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คนแบบเขาจะเข้าร่วมแฟมีเลียสายผลิตที่เชี่ยวชาญด้านการตีเหล็กในขณะที่ตัวเองยังคงหารายได้จากการสำรวจดันเจี้ยน
หากเขาเพิ่งเข้าร่วมแฟมีเลียได้ไม่นาน นั่นก็หมายความว่าก่อนหน้านี้เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการล่ามอนสเตอร์เพื่อหาเลี้ยงชีพ…
มาถึงตอนนี้เองที่เวล์ฟจึงรู้สึกถึงเด็กสาวที่นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลา
เขาจำได้ว่าเธอชื่อลิลลี่และดูเหมือนว่าเธอจะดูเป็นห่วงวาห์นมาก
เวล์ฟมองเห็นความเชื่อมั่นที่แฝงอยู่ภายในดวงตาที่มองเด็กหนุ่มซึ่งมันต่างจากสายตาที่เธอมองเขาด้วยความรังเกียจมาก
เขาพอจะเดาได้ว่าเด็กคนนี้คงตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับวาห์นนั่นก็คือเป็นคนที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพโดยแขวนชีวิตของตนไว้บนเส้นด้าย
การที่เธอต้องทำงานอันตรายทั้งที่ตัวเล็กแค่นี้ทำให้เวล์ฟรู้สึกผิดกับชีวิตแบบสบายๆ ของตนเอง
ตอนนี้เขาใจเย็นลงแล้วและหันไปสบสายตากับวาห์นที่ยังคงมีท่าทางไม่พอใจ
เวล์ฟถอนหายใจก่อนพูดขึ้น
“นายพูดถูกแล้ววาห์น ฉันไม่ควรอิจฉาคนอื่นจากการที่มีในสิ่งที่ฉันขาดไป
ฉันจะตั้งใจให้มากกว่านี้และสักวันจะก้าวข้ามนายไปให้ได้ด้วยความพยายามของตัวเอง”
เมื่อเห็นว่าวาห์นอายุไม่ห่างจากตนเท่าไรนัก เวล์ฟก็รู้สึกมุ่งมั่นและตั้งใจว่าจะพยายามมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
วาห์นพบว่าออร่าของเวล์ฟเริ่มมั่นคงและฉายแสงสีส้มพร้อมกับมีสีน้ำเงินอยู่รอบนอก
แม้ว่าจะยังโกรธอยู่ แต่เขาก็รู้ว่าเวล์ฟไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรจากการได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเบลล์ภายในมังงะ
วาห์นจึงตัดสินใจที่จะไม่เอาเรื่องต่อ
“ถ้านายอยากก้าวข้ามฉันจริงก็ไม่ต้องออมมือให้นะ และอย่าคิดว่าฉันจะหยุดรอในขณะที่นายพยายามเอาชนะตัวเองล่ะ”
ทั้งสองจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายซึ่งต่างคนต่างมีความเชื่อในความมุ่งมั่นของตัวเอง
ลิลลี่ที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างรู้สึกสับสนจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
เด็กหนุ่มทั้งสองที่ก่อนหน้านี้ใกล้จะตะลุมบอนใส่กัน ตอนนี้กลับจ้องตากันอย่างเร่าร้อน!
เธอไม่รู้ว่าจะตีความสถานการณ์นี้อย่างไรและตัดสินใจว่าจะต้องปกป้องวาห์นจากเวล์ฟให้ได้ (!!)
ทันใดนั้นสึบากิก็เริ่มหัวเราะอีกครั้งจนทั้งสามคนมองไปที่เธอด้วยความสับสน
“ดี! สมกับเป็นลูกผู้ชาย! วิธีที่ดีที่สุดที่จะจบเรื่องก็คือการแข่งกันเพื่อพัฒนาตัวเองและให้การกระทำกับความสำเร็จเป็นตัวตัดสินแทน!”
เธอยิ้มและพยักหน้าให้กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปพร้อมกับยื่นมือไปที่ถ้วยชาเพราะรู้สึกกระหายน้ำแต่เพิ่งนึกได้ว่ามันพลิกคว่ำไปตั้งแต่เมื่อกี้นี้หมดแล้ว
สึบากิรู้สึกว่าเส้นเลือดกำลังนูนออกมาจากหัวของเธอและเริ่มปาถ้วยเปล่าไปที่ใบหน้าของเวล์ฟ
ถ้วยเด้งออกมาจากใบหน้าของเวล์ฟและยังพุ่งต่อไปหาวาห์นที่จับมันได้ทัน
“มาบ้านคนอื่นแล้วยังจะทำเลอะเทอะอีก! ครั้งต่อไปที่ทำเครื่องดื่มฉันหก ฉันจะทำโทษด้วยการให้ไปเป็นเด็กเติมน้ำของแฟมีเลียเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็ม!
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ชายเลือดร้อนภายในถ้ำของไซคลอปส์)