Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 58
บรรยากาศภายในห้องเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ สึบากิอุ้มลิลลี่ขึ้นและทิ้งให้วาห์นกับเวล์ฟอยู่กันตามลำพังขณะที่เธอไปเตรียมอาหารเย็น
แม้ลิลลี่จะพยายามขัดขืนในตอนแรก แต่สึบากิก็อุ้มเธอไปแบบสบายๆ โดยไม่รู้สึกรู้สา
วาห์นเหลือบมองลิลลี่แต่ไม่ได้พูดอะไรขณะที่เธอถูกลากเข้าไปในครัว
เวล์ฟหัวเราะแบบฝืนๆ ก่อนพยายามสนทนากับวาห์นใหม่อีกครั้ง
เขารู้ว่าตัวเองสร้างความประทับใจครั้งแรกได้ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงอยากเริ่มใหม่ทำให้ทั้งสองได้คุยเรื่องอดีตของกันและกันเล็กน้อย
วาห์นเล่าเรื่องที่โตมาในป่าขณะที่เวล์ฟพูดถึงราเกียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เขาจากมา
เมื่อคุยถึงเหตุผลในการมาที่เมืองนี้และการใช้ชีวิต เวล์ฟก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าวาห์นเพิ่งมาถึงโอราริโอ้ได้ไม่นานมานี้เอง
เขาพบว่าการที่วาห์นได้เป็นนักผจญภัยเลเวล 2 ภายในหนึ่งเดือนเป็นอะไรที่น่ากลัวมากและเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เจ้าตัวเล่ามาคงไม่ได้มีแค่นี้แน่ๆ
เวล์ฟสงสัยว่าเรื่องที่วาห์นถูกฝากฝังไว้กับสึบากิผู้เป็นถึงกัปตันของแฟมีเลียนั้นน่าจะมีความลับแอบแฝงบางอย่าง
แม้วาห์นจะรู้เรื่องของเวล์ฟมาก่อนแล้ว แต่เขาก็ลองถามเหตุผลที่เวล์ฟมาที่โอราริโอ้
เวล์ฟลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องที่หนีออกจากบ้านเพราะไม่อยากสร้างอาวุธสังหารผู้คน เขาบอกเรื่องสกิลพิเศษ [สายเลือดครอซโซ่] ซึ่งเป็นสกิลที่ครอบครัวของเขาใช้เพื่อสร้างอาวุธสังหารหมู่ให้กับกองทัพของอาเรส
เขาสาบานว่าจะไม่ยอมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องโหดร้ายแบบนั้นจนถึงขั้นสาบานว่าจะไม่สร้างอาวุธเวทมนตร์ขึ้นมาอีก
วาห์นพยักหน้าและแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจสถานภาพของเวล์ฟดี
เวล์ฟพอมองออกว่าวาห์นไม่เพียงแค่พยักหน้ารับในสิ่งที่เขาเล่า แต่ยังเห็นใจสถานการณ์ของเขาอย่างแท้จริง
เขาเริ่มเคารพวาห์นขึ้นมาหน่อยและแสดงออกด้วยท่าทีเป็นกันเองมากขึ้นขณะที่ทั้งสองคุยกัน
มันเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวาห์นพูดบางอย่างออกไป
“ยิ่งปฏิเสธความสามารถของตัวเองมากเท่าไหร่ นายก็จะยิ่งก้าวหน้าได้ช้าลงกว่าเดิม
ถ้าเอาแต่หนีอดีตของตัวเอง นายก็จะไม่มีวันก้าวข้ามมันไปได้ ความกลัวเรื่องผลเสียจากไอเท็มเวทมนตร์ของนายมันไร้สาระ เพราะสิ่งที่นายกลัวไม่ใช่เรื่องที่นายคิดจะทำแต่เป็นเรื่องที่คนอื่นคิดจะทำ
ถึงนายจะไม่ยอมสร้างอาวุธเวทมนตร์ แต่มันก็หยุดยั้งไม่ให้คนฆ่าฟันกันไม่ได้หรอก
สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือพวกเขาจะหาวิธีที่แย่กว่าเดิมเพื่อสร้างผลลัพธ์ให้ออกมาคล้ายกัน”
วาห์นพูดมันออกมาอย่างช้าๆ แม้จะเห็นว่าเวล์ฟเริ่มอารมณ์เสียแล้วก็ตาม
เมื่อพูดไปถึงตอนท้ายๆ เวล์ฟก็เริ่มกัดฟันขณะที่พยายามทำใจเย็นๆ เพื่อไม่ให้ระเบิดมันออกมา
“เวล์ฟ ฉันเข้าใจนายมากกว่าที่นายคิดและไม่ใช่เพราะฉันเห็นใจนายอย่างเดียวนะ
ฉันรู้ดีว่าพลังสายเลือดเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับผู้ที่ต้องการใช้มันทำสิ่งชั่วร้าย
แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่นายมาจำกัดพลังของตัวเองในขณะที่พวกมันก็ยังคงทำเรื่องเลวๆ เหมือนเดิม
ถ้านายเข้าใจความลำบากเรื่องสายเลือดอย่างแท้จริง นายจะต้องใช้มันเพื่อหยุดยั้งคนพวกนั้นแทนสิ”
เวล์ฟมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่นั่นไม่ใช่ความเกลียดชังที่มีต่อวาห์น
เวล์ฟหายใจเข้าลึกๆ และพยายามทำใจให้สงบ เมื่อเขารู้สึกเย็นลงแล้วก็พูดสวนกลับ
“ที่นายจะบอกก็คือฉันควรสร้างอาวุธและใช้มันฆ่าคนที่ต้องการใช้ของพวกนี้แทนเหรอ?
แล้วมันจะทำให้ฉันต่างไปจากคนพวกนั้นยังไงกัน เพราะฉันเป็นคนเลือกว่าใครสมควรตายงั้นเหรอ!?”
วาห์นส่ายหัวและตอบกลับด้วยท่าทางจริงจัง
“ฉันไม่ได้บอกให้นายใช้อาวุธหรือให้คนอื่นใช้มันแทน
ฉันกำลังบอกว่านายควรคนคว้าและศึกษาพลังของตัวเอง… เพื่อที่จะหาวิธีรับมือกับมันในอนาคต
นอกจากคนสร้างอาวุธเวทมนตร์ด้วยกันแล้วจะมีใครที่ถนัดเรื่องแบบนี้มากกว่านายอีก?
ท้ายสุดแล้ว ตราบใดที่ยังมีอาวุธเวทมนตร์อยู่บนโลก ผู้คนก็จะเสาะหามันมาเพื่อใช้ฆ่าฟันกันอยู่ดี
สำหรับนายในตอนนี้แล้ว มีปัจจัยนับไม่ถ้วนที่อาจทำให้นายเดินทางผิดและนำไปสู่เรื่องที่นายอยากจะเลี่ยงมากที่สุด”
เวล์ฟกัดฟันตัวเองจนเกือบหักและรู้สึกหวั่นไหวไปกับคำพูดของวาห์น
เขารู้ดีที่สุดว่าครอบครัวของเขาทำงานกับให้คนแบบไหน
หากพวกนั้นรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แม้แต่การคุ้มครองจากเฮเฟสตัสแฟมีเลียก็คงจะไม่มีทางทำให้พวกเขารามือง่ายๆ
เมื่อวันนั้นมาถึง เขาคงถูกพาตัวกลับไปที่ราเกียและถูกบังคับให้สร้างอาวุธเวทมนตร์จนกว่าจะฆ่าตัวตายเองหรือถูกใช้งานจนหมดประโยชน์และโดนฆ่าทิ้งเพื่อเป็นการสงเคราะห์
วาห์นยังคงพูดต่อไป
“อีกอย่าง นายเองก็น่าจะสร้างได้มากกว่าอาวุธนี่นะ
พลังสายเลือดนั่นทำให้ใส่เวทมนตร์ลงไปในไอเท็มอะไรก็ได้ ทำไมต้องเจาะจงไปที่อาวุธด้วยล่ะ?
ทำไมถึงไม่ทำโล่ที่สามารถสร้างสนามพลังหรือคทาเวทมนตร์ที่สามารถใช้เวทฟื้นฟูได้แทน?
นายคิดได้แต่ของที่ใช้ฆ่าฟันงั้นเหรอ? ดูนี่-”
วาห์นใช้มีดกรีดที่แขนของตัวเองจนเวล์ฟหน้าตื่นไปกับบาดแผลที่วาห์นทำขึ้น แต่ดวงตาของเขากลับกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นวาห์นปิดแผลลงด้วยการลากนิ้วผ่าน
หลังแผลหายสนิทดีแล้ว วาห์นก็มองเข้าไปในดวงตาของเวล์ฟและพูดขึ้น
“เวทมนตร์สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทำไมนายถึงต้องจดจ่อไปกับเรื่องๆ เดียวด้วย?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น สมองของเวล์ฟก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ
เขาได้แต่จ้องจุดที่เคยมีแผลอยู่ก่อนหน้านี้และอึ้งไปแบบนั้นอยู่หลายอึดใจ
หลังจากที่สติกลับมาแล้ว เขาก็เริ่มไตร่ตรองสิ่งที่วาห์นถาม
เป็นอีกครั้งที่คำพูดของวาห์นตอกลงไปตรงหัวใจหลักของเรื่องที่เขาพยายามหลีกหนีมาตลอด
ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องมาจดจ่อไปกับสร้างดาบเวทย์มนตร์เพียงอย่างเดียว
ตราบใดที่เขามีความเข้าใจในเรื่องวงจรเวทย์มนตร์ เขาก็สามารถใส่เวทมนตร์อะไรก็ตามลงในอุปกรณ์ประเภทไหนก็ได้…
ขณะที่เขากำลังคิดหนัก วาห์นก็เขาไปดูร้านค้าในระบบเพราะต้องการหาไอเท็มเพื่อพิสูจน์เรื่องที่เขาพูดและเพิ่งทำลงไปหยกๆ
วาห์นพบว่าอุปกรณ์ที่สามารถใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูได้นั้นน่าจะมีระดับความยากที่มากกว่าอาวุธโดยดูจากราคาของมัน
ของถูกที่สุดที่เขาสามารถหาได้มีสิ่งที่เรียกว่า [ฟื้นฟู: C] ที่มีราคาสูงถึง 2,000 OP
เขาตัดสินใจซื้อและดึงมันออกมาผ่าน ‘เวทคลังเก็บของ’ ของเขา
เวล์ฟรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นคทาในมือของวาห์น
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวาห์นเคยดึงค้อนออกมาจากไหนก็ไม่รู้และคิดว่ามันอาจจะเป็นสกิลที่หายากสกิลหนึ่ง
คทาที่อยู่ในมือของวาห์นทำจากไม้ที่ขดกันเป็นเกลียวและส่วนหัวคทามีอัญมณีคริสตัลสีแดงฝังอยู่
เวล์ฟสงสัยว่าทำไมวาห์นถึงพกคทาไว้กับตัวเพราะดูจากท่าทางของเขาแล้วไม่เหมือนกับผู้ใช้เวทย์มนตร์เลยสักนิด
วาห์นกำลังอ่านคำอธิบายและวิธีใช้ไอเท็มใหม่และรู้ว่าตัวเองเจอของดีเข้าให้แล้ว
เขากรีดแขนตัวเองอีกครั้งซึ่งทำให้เวล์ฟทำหน้าแหยๆ จากนั้นเขาก็ส่งพลังเข้าไปในคทาและใช้งานความสามารถของมัน
อัญมณีสีแดงเริ่มเรืองแสงเล็กน้อยและแสงสีขาวก็ส่องประกายออกมาจากร่างของวาห์น
หลังจากที่แสงเริ่มจางลง บาดแผลที่ทำไว้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวล์ฟตกตะลึงไปกับการสาธิตเพราะเขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวทมนตร์เพราะวาห์นไม่ได้ทำการร่ายเวทใดๆ ทั้งสิ้นและต่างไปจากการสาธิตแรกที่เขาเห็นมาก
จากมุมมองของเวล์ฟ เขาเห็นว่าหัวคทาได้สร้างวงแหวนเวทรอบตัววาห์นซึ่งทำให้เกิดแสงสีขาวขึ้นอีกต่อและรักษาแผลให้กับเขา
นับเป็นครั้งแรกที่เวล์ฟได้พบกับคทาเวทมนต์ที่มีพลังฟื้นฟูอยู่ในตัวของมันเอง
เวล์ฟกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะถามขึ้น
“คทานั่น… นายเป็นคนทำเองเหรอ?”
เมื่อเห็นวาห์นส่ายหัวเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้าวาห์นมีสกิลที่สามารถสร้างไอเท็มแบบนี้ได้เอง คงมีคนมารอต่อแถวยาวเป็นหางว่าวเพื่อรอซื้อมัน
“ฉันขอถามได้ไหมว่านายได้มันมาจากไหน? แล้วมันทำงานยังไงเหรอ?”
วาห์นส่ายหัวอีกครั้งเพราะเขาไม่สามารถบอกเรื่องระบบให้เวล์ฟฟังได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการโกหกเช่นกัน
“โทษทีนะ นั่นเป็นความลับสำคัญที่ฉันบอกใครไม่ได้เลย
แค่เอามันออกมาให้ดูก็อันตรายมากพอแล้ว แต่ฉันอยากให้รู้ไว้ว่าสายเลือดของนายไม่จำเป็นต้องจบลงที่การนองเลือดเสมอไป
ถ้าพยายามมากกว่านี้ นายก็จะสามารถช่วยคนได้นับไม่ถ้วน
นายไม่จำเป็นต้องสร้างไอเท็มที่ใช้ทำร้ายคนอื่นเลย”
เวล์ฟพยักหน้าให้ก่อนกลับไปจ้องมองคทา
เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องที่วาห์นบอกแต่พอได้คิดดูแล้วก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
[สายเลือดครอซโซ่] ได้สร้างความความเจ็บปวดทรมานและความตายมากมายเสียจนเขาต้องหลีกเลี่ยงการหาวิธีแก้ที่ต้นเหตุ
เขากลับมุ่งความสนใจไปที่การได้เป็นช่างตีเหล็กอันยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องพึ่งพลังสายเลือดของตัวเอง
ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าตัวเองคิดผิดอย่างมหันต์มาตลอด…
เวล์ฟถอนหายใจยาวๆ และมองวาห์นด้วยสีหน้ายินดี
หากวันนี้ไม่ได้มาพบวาห์น เขาอาจจะไม่มีทางเอาชนะความกลัวในจิตใจของตัวเองไปได้
เขาคงจะดันทุรังสร้างเส้นทางที่ปฏิเสธส่วนหนึ่งของตัวเองไปจนกระทั่งอดีตอันเลวร้ายไล่ตามมาทัน
“วาห์น ขอบใจนะ วันนี้นายได้สอนบางสิ่งที่สำคัญมากให้กับฉัน
ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่นายพูดจะไม่เสียเปล่า”
เวล์ฟมองเข้าไปในดวงตาของวาห์นขณะที่เขาแสดงสีหน้ามุ่งมั่น
ตอนนี้เขาเป็นหนี้เด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งพบและต้องการพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดที่ทำได้แค่หนีออกจากบ้านเหมือนในอดีต
เวล์ฟตัดสินใจว่าเขาจะค้นหาเส้นทางที่ดีกว่านี้… หาเส้นทางที่ทำให้ชื่อ ‘ครอซโซ่’ กลายเป็นชื่อที่ถูกยกย่องสรรเสริญแทนการดูถูกเหยียดหยาม
วาห์นมองเห็นออร่าของเวล์ฟส่องสว่างราวกับแสงอาทิตย์
เขาเปล่งประกายไปด้วยความมั่นใจและความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงจนวาห์นต้องพยักหน้าให้อย่างชื่นชม
“นายต้องทำได้อยู่แล้ว ตราบใดที่นายยังเชื่อมั่น ก็ไม่มีอะไรที่จะมาหยุดนายได้”
ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะเกือบหัวใจวายเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังออกมาจากประตู
สึบากิผู้ที่เฝ้าดูทั้งสองมาพักหนึ่งแล้วเริ่มหัวเราะออกมา
การตัดสินใจของเธอที่ทิ้งเวล์ฟไว้กับวาห์นนั้นนับเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เธอดีใจมากที่ได้เห็นเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นของเวล์ฟถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
“อาหารพร้อมเสิร์ฟแล้วนะ รีบมาทานก่อนที่มันจะเย็นซะก่อน
เราทำออกมาเยอะมากไปหน่อย แต่ถ้าทานไม่หมดล่ะก็ได้เห็นดีแน่~!”
ขณะที่พูด เธอก็จับทั้งคู่ในท่าที่เหมือนกับกำลังหิ้วลูกแมวและลากพวกเขาไปที่ห้องอาหาร
เพราะทั้งคู่ต่างเข้าใจนิสัยของสึบากิดี พวกเขาจึงไม่แสดงท่าทีต่อต้านเพราะจะทำให้มันแย่ลงกว่าเดิม
พวกเขาได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กันและหัวเราะไปพร้อมกับไซคลอปส์สาวที่ทำราวกับกำลังหิ้วสัมภาระ
—
ลิลลี่ซึ่งถูกบังคับให้ทำอาหารกับสึบากิก็มายืนอยู่ข้างๆ หลังจากเห็นสาวถึกที่กำลังหิ้วคอหนุ่มๆ เข้ามา
เธออยากตะโกนใส่เพื่อห้ามไม่ให้สึบากิรังแกวาห์นแต่รู้อยู่แก่ใจว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์แถมยังจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
เธอเลยหันไปมุ่งมั่นว่าจะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดแทน เพื่อที่พวกเขาจะได้หนีออกไปจากรังของปีศาจสาวตาเดียวเมื่อเวลานั้นมาถึง
สึบากิทิ้งสองหนุ่มลงใกล้กับโต๊ะและทุกคนก็ได้เพื่อเพลิดเพลินไปกับอาหาร
วาห์นพบว่าถึงจะมีการดัดแปลงไปเล็กน้อย แต่อาหารก็ยังคงเป็นข้าวผัดเหมือนเดิม
มันยังอร่อยเช่นเดิมและเขาก็ทานไปหลายชามในขณะที่คุยกับคนอื่นไปด้วย
เขาให้ความสนใจกับเรื่องเวล์ฟไปพอสมควรแล้ว ดังนั้นเขาจึงหันไปถามลิลลี่เกี่ยวกับการฝึกช่วงเช้าของเธอซึ่งเป็นเรื่องที่เขาต้องมาคิดเสียใจหลังจากพูดมันออกไป
เมื่อได้ยินวาห์นพูดเรื่องการฝึก สึบากิก็เริ่มเล่าเรื่องที่วาห์นฝึกซ้อมกับเธอให้ทุกคนฟัง
เธอพูดเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วของวาห์นแต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เขาก็ได้ลงไปหน้าเปื้อนดินถึง 99 ครั้งติดๆ กัน
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ สึบากิก็หยุดและยิ้มกว้างขณะมองไปที่วาห์น
เธอเห็นเขาเหงื่อชุ่มจนถึงจุดที่แม้แต่อาหารก็เคี้ยวต่อไปไม่ลง
เธอมองไปทางลิลลี่ซึ่งกำลังขมวดคิ้วและนึกภาพตามสิ่งที่เธอเล่า
“นี่ๆ ลิลลี่~ รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากครั้งที่เก้าสิบเก้า?”
ลิลลี่มองดูเธออย่างงุนงงและไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงถามแบบนั้น
“เขาสามารถรับการโจมตีได้เหรอคะ?”
เธอพูดถึงสิ่งเดียวที่พอจะคิดออกโดยไม่ทันมองวาห์นที่กำลังฝังหน้าของตัวเองลงกับโต๊ะ
สึบากิแอ่นหน้าอกของเธอขึ้นก่อนจะพูดเสียงดัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาตอบสนองได้ทันก็จริง แต่สิ่งที่เขารับไม่ใช่มือ… แต่เป็นหน้าอกของฉันแทน!”
เธอยังคงหัวเราะต่อไปขณะที่วาห์นตัวหดเล็กลงเรื่อยๆ ส่วนลิลลี่ก็เกิดอาการแผ่นสะดุด และเวล์ฟก็จ้องไปที่วาห์นด้วยสีหน้าสุดสยอง
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘โบรแมนซ์’, ‘ทำไมต้องรุกทั้งๆ ที่รับแทนก็ได้?’ , ‘[สายเลือดครอซโซ่] เป็นเจ้าเดียวที่ทำดาบเวทมนตร์ได้หรือไงกัน’, ‘ไซคลอปส์ที่มี EQ สูงอย่างน่าตกใจ’, ‘ลิลิรูก้า อาเด้ ผู้ไม่มีบทเลย’)
—————