Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 63
ผ่านไปสามสัปดาห์ วาห์นและลิลลี่ยังคงฝึกฝนกับสึบากิและพัฒนาทักษะของพวกตนต่อไป
ภายในช่วงเวลานี้ วาห์นได้เพิ่มระดับสกิล [ช่างตีเหล็ก] เป็นระดับ A ด้วยการใช้คัมภีร์เสริมสกิลหลังจากที่สกิลขึ้นมาถึงระดับ B
เขายังทำให้สึบากิประทับใจมากด้วยการแสดงเทคนิคเหนือโลกที่ได้เรียนรู้มาจากคู่มือ
สึบากิรู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับนวัตกรรมและวิธีใหม่ๆ จนถึงกับต้องจดบันทึกพวกมันและส่งไปให้ช่างตีเหล็กมากประสบการณ์คนอื่นๆ ในแฟมีเลียตรวจสอบ
สิ่งที่น่าทึ่งสุดๆ ที่วาห์นแสดงให้เธอเห็นก็คือการสร้างระบบ ‘ตีเหล็กอัตโนมัติ’
วาห์นเริ่มคุ้นเคยกับเครื่องมือฝึกฝนและใช้ความรู้ที่เขามีเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่สามารถตีเหล็กได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอโดยไม่ต้องออกแรงเพิ่มเติม
เขายังสลักวงจรมานาเข้าไปในตัวเครื่องเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใส่มานาของตัวเองเข้าไปในการตีเหล็กได้ด้วย
เกือบจะทันทีหลังจากที่เธอส่งแบบไปทางแฟมีเลีย โรงหลอมของเธอก็เริ่มเต็มไปด้วยผู้มาเยือนมากมาย
ทุกคนต้องการพบกับผู้ที่พัฒนาวิธีการที่ไม่เหมือนใครนี้
หลายคนอ้างว่ามันจะปฏิวัติกระบวนการตีเหล็กใหม่ทั้งหมดและยังทำให้สามารถผลิตไอเท็มระดับมารตฐานในปริมาณครั้งละมากๆ ได้อีกด้วย
โชคไม่ดีที่สึบากิไม่ยอมให้ใครเข้าไปได้ง่ายๆ และถึงขนาดต้องลงมืออัดพวกใจกล้าที่พยายามแอบเข้าไปในบ้านของเธอ
ในที่สุดเฮเฟสตัสก็ต้องออกหน้าเพื่อหยุดปัญหาหลังจากทำการส่งสิทธิบัตรผ่านทางกิลด์โดยใช้เครื่องหมายของเธอและของวาห์นในแบบฟอร์ม
ทุกคนเริ่มให้ความสนใจกับช่างตีเหล็กลึกลับที่อยู่ภายใต้การดูแลของเฮเฟสตัส
แม้แต่เทพบางองค์ก็พยายามไปเยี่ยมเธอเป็นการส่วนตัวเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม แต่เธอก็ยังปิดปากเงียบและปฏิเสธที่จะบอกอะไรเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคนที่ไม่ได้ถูกไล่ตะเพิดออกไปก็คือเวล์ฟ
หลังจากที่ได้ยินข่าว เขาก็เข้ามาเพื่อฉลองความสำเร็จของวาห์นทันที
เวล์ฟถือว่าวาห์นเป็นคนที่คู่ควรแก่ความเคารพและยังเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเขา
เมื่อเห็นการออกแบบอย่างชาญฉลาดและนวัตกรรมอื่นๆ ของวาห์น เวล์ฟก็ยิ่งไฟติด
พวกเขาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายเพื่อพูดคุยและเพลิดเพลินไปกับเหล้าสาเกควบคู่ไปกับเสียงเอะอะโวยวายของสึบากิ
ลิลลี่ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมกับแกล้มมากมายให้กับทั้งสามคน
—
หลังจากทุกอย่างเริ่มสงบลง วาห์นและเวล์ฟก็ไปนั่งที่ลานกว้างและมองขึ้นไปบนดวงจันทร์
พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับความฝันของตัวเองและเรื่องความคืบหน้าในงานวิจัยของเวล์ฟ
เวล์ฟส่ายหัวอย่างท้อใจ
“เรื่องวงจรเวทมนตร์คืบหน้าไปบ้างแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถทำให้ไอเท็มกักเก็บมานาไว้ได้นานพอ
ความซับซ้อนของเวทมนตร์ป้องกันและฟื้นฟูนี่มันคนละเรื่องกับเวทมนตร์โจมตีเลยนะ”
วาห์นพยักหน้าก่อนจะเอาคทา [ฟื้นฟู] ที่เขาเคยใช้รอบที่แล้วออกมา
เนื่องจากเวล์ฟรู้สึกชื่นชมและเคารพวาห์นมาก ค่าความชื่นชอบของเขาจึงทะลุ 80 แต้มเข้าไปแล้ว
นั่นทำให้วาห์นสามารถ ‘ให้ของขวัญ’ หนึ่งอย่างกับเวล์ฟได้ (เวลาคูลดาว์น 1 เดือน)
“ถึงนายจะต้องเก็บที่มาของมันไว้เป็นความลับ แต่ฉันก็ยังอยากให้นายรับไว้เพื่อช่วยเรื่องการวิจัย
ไม่ต้องกังวลเรื่องเอามาคืนหรืออะไรหรอกนะ แค่ให้แน่ใจว่านายไม่ลืมเป้าหมายของตัวเองอีกก็พอแล้ว”
เวล์ฟรับคทามาและกำมันไว้แน่น
เขามองเข้าไปในดวงตาของวาห์นด้วยสีหน้าจริงจังและพยักหน้า
“ฉันจะพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าสายเลือดของฉันไม่ใช่คำสาป ขอบใจมากนะวาห์น”
—
วาห์นไม่ใช่คนเดียวที่เติบโตขึ้นในช่วงสามสัปดาห์ของการฝึกนรก
แม้อาจจะไม่ดูโจ่งแจ้งมากแต่ลิลลี่ก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การฝึกฝนของเธอกับสึบากิเริ่มเห็นผลแล้ว
ตอนนี้เธอสามารถต่อสู้ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องให้ช่วยในดันเจี้ยนสี่ชั้นแรก
เธอให้วาห์นตรวจสอบสถานะของเธอเพื่อเป็นการยืนยันว่าค่าสถานะของเธอหลายอย่างได้เพิ่มเกินระดับ D แล้ว
โดยค่าความว่องไวและแม่นยำของเธอนั้นอยู่ที่ระดับ C ซึ่งหากต้องการจะเลเวลอัพก็สามารถทำได้ แต่เธอเลือกที่จะรอเพื่อพัฒนาพื้นฐานของตัวเองหลังจากได้ปรึกษากับวาห์นและสึบากิ
อาวุธที่เธอเลือกคือง้าวสีเลือดที่ใหญ่กว่าตัวของเธอมาก
ความยาวโดยรวมของมันคือ 200 ซม. โดยตัวใบมีดนั้นกินความความยาวไปมากถึง 40 ซม.
สึบากิค่อนข้างเชี่ยวชาญในการใช้ง้าวและสนับสนุนให้ลิลลี่ใช้มันเนื่องจากขนาดตัวที่เล็กของเธอจะได้รับประโยชน์จากอาวุธชนิดนี้มาก
หลังจากที่ลองใช้ดู ลิลลี่ก็รู้ว่ามันเหมาะสมกับตัวเธอและเริ่มฝึกฝนควบคู่ไปกับสึบากิเพื่อเรียนรู้รูปแบบการโจมตีและการป้องกันหลายแบบ
แม้เธอจะต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ลิลลี่ก็สามารถใช้การเคลื่อนไหวที่ฝึกมาเพื่อจัดการกับศัตรูกลุ่มเล็กๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเข้าตาจน เธอก็ยังมีมีดที่ขอให้วาห์นทำให้พกติดตัวไว้
โดยรวมแล้วตอนนี้เธอแข็งแกร่งกว่าลิลลี่ที่วาห์นเคยเห็นในมังงะมาก
เขาตั้งตารอดูว่าเธอจะไปได้ไกลแค่ไหนจากความมั่นใจและทักษะใหม่ๆ ที่เธอค้นพบ
—
ในวันนี้ ทั้งสองตัดสินใจที่จะสำรวจดันเจี้ยนชั้นที่ลึกกว่าเดิม
ลิลลี่ตกใจเมื่อเห็นกบยักษ์ตาเดียว แต่ก็สามารถเอาชนะมันได้หลังจากพยายามอยู่ไม่นาน
เนื่องจากค่าสถานะของเธอไม่สูงมากนัก จากตรงนี้เธอจะไม่สามารถต่อสู้ด้วยตัวคนเดียวได้
หลังปรึกษากับกับวาห์น ทั้งสองยังคงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีการดั้งเดิมโดยให้ลิลลี่ทำหน้าที่เป็นแนวหน้าในขณะที่วาห์นใช้สกิล [จิตแห่งราชัน] เพื่อสำรวจหากับดักและจุดที่มอนสเตอร์จะออกมา
ความเร็วของพวกเขาช้ากว่าตอนช่วงดันเจี้ยนสี่ชั้นแรกมากและพอไปถึงชั้นที่หก ลิลลี่ก็เริ่มรับมือกับมอนสเตอร์ไม่ไหว
เธอไปเขอกับวอร์ชาโดว์และหลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดก็ล้มมันลงได้โดยที่วาห์นต้องช่วยสกัดการโจมตีรุนแรงของมันอยู่หลายครั้ง
ถ้าเขาไม่ได้ช่วยป้องกันให้เธอ ลิลลี่ก็คงตายไปหลายรอบแล้ว
วอร์ชาโดว์นั้นรับมือได้ยากกว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ เราคืบหน้าไปมากกว่าครั้งก่อนมากแถมเธอก็เก่งกว่าเดิมเยอะเลย
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอคงจะสามารถต่อสู้ในชั้นที่เจ็ดได้โดยที่ฉันไม่ต้องเข้ามาช่วยด้วยซ้ำ”
วาห์นยิ้มขณะลูบหัวของลิลลี่
มันกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาทำเป็นประจำ เมื่อลิลลี่ทำได้ดี วาห์นก็จะลูบหัวเธอเป็นการชื่นชม
—
ขณะที่พวกเขาเดินไปทางบันไดเพื่อออกจากดันเจี้ยน จู่ๆ วาห์นก็หยุดเดินกะทันหัน
ลิลลี่รู้สึกสับสนและถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
วาห์นได้แต่ส่ายหัวและที่มองลึกเข้าไปในดันเจี้ยน
ถึงเขาอาจจะแค่คิดไปเอง แต่หลังจากยืนยันกับพี่สาวแล้วเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ได้หูฝาดไป
กำลังมีใครบางคนกรีดร้องออกมาจากที่ไหนสักแห่งภายในดันเจี้ยน
สีหน้าของวาห์นจริงจังขึ้นและรีบอธิบายสถานการณ์ให้ลิลลี่ฟัง
แม้เธออยากจะไปด้วย แต่ก็รู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าคงเป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น
ถ้าวาห์นกำลังจะออกไปช่วยใครสักคน อาจเป็นการดีกว่าถ้าปล่อยให้เขาจัดการเอง
เนื่องจากเธอยังเก่งไม่เพียงที่จะปกป้องตัวเองในชั้นนี้ เธอไปด้วยจะทำให้เขาเคลื่อนที่ช้าลงเปล่าๆ
มีเวลาเหลือไม่มากแล้วดังนั้นวาห์นจึงลูบหัวของลิลลี่อย่างแผ่วเบาก่อนจะทิ้งเธอไว้ตรงบันไดที่เป็นจุดปลอดภัย
เธอตัดสินใจปักหลักอยู่ตรงนี้จนกว่าเขาจะกลับมาและเริ่มเตรียมไอเท็มช่วยเหลือฉุกเฉินหากเขานำคนบาดเจ็บกลับมาด้วย
หนึ่งในสกิลที่เธอได้เรียนในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือวิธีการทำผงยาฟื้นฟูและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในการรักษาบาดแผล
—
วาห์นรีบมุ่งหน้าลึกเข้าไปในดันเจี้ยนไปยังทิศทางที่เขาเคยได้ยิน ‘เสียงร้อง’ ครั้งล่าสุด
เหตุผลที่ทำให้เขาได้ยิน ‘เสียง’ ในขณะที่ลิลลี่ซึ่งยังอยู่ในร่างมนุษย์แมวไม่ได้ยินก็เพราะสิ่งที่วาห์นตรวจพบนั้นไม่ใช่เสียงจริงๆ
เพราะเขาใช้ [จิตแห่งราชัน] อยู่ตลอดเวลาที่เข้าดันเจี้ยน วาห์นจึงรู้สึกถึงจิตที่เข้ามาในเขตแดนของเขาและรู้ได้ทันทีว่านั่นคือการขอความช่วยเหลือ
เขารู้สึกถึงความกลัว ความเจ็บปวด และความโกรธใน ‘เสียงร้อง’ จึงไม่สามารถทนเพิกเฉยต่อไปได้
วาห์นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านชั้นที่หกและติดตั้งคันธนูเพื่อกำจัดศัตรูที่ขวางทางเขา
พอพบกับฝูงวอร์ชาโดว์และฟร็อกชูตเตอร์หลายตัวขวางทางอยู่ เขาก็กวาดล้างพวกมันได้โดยที่ความเร็วไม่ตกลงเลย
การฝึกฝนกับสึบากิและเครื่องฝึกนั้นช่วยเพิ่มสัมผัสการรับรู้ของเขาจนถึงจุดที่ต่อให้ไม่มองศัตรูโดยตรงภายในรัศมี 10 เมตรก็สามารถรับมือกับพวกมันได้สบาย
ในที่สุดวาห์นก็มาถึงจุดหมาย
มีเลือดนองอยู่เต็มพื้นไปหมด ส่วนใหญ่น่าจะไม่ใช่ของมอนสเตอร์ มีศพของมอนสเตอร์เกลื่อนกลาดไปหมดซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่านักผจญภัยกลุ่มนี้ไม่โจมตีมอนสเตอร์ได้ไม่ตรงจุดเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้วาห์นรู้สึกแย่มากๆ ก็คือซากศพของนักผจญภัยที่ไม่เหลือชิ้นดีและกำลังถูกมอนสเตอร์กัดกินอยู่ในตอนนี้
ในบรรดากลุ่มมอนสเตอร์นั้นมีอยู่ตัวหนึ่งที่ดูโดดเด่นกว่าตัวอื่นๆ
พวกมันที่เหลืออยู่ห่างจากมอนสเตอร์ตัวนี้พอสมควร ราวกับรู้สึกกลัวว่าจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไปแทน
วิสัยทัศน์ของวาห์นเริ่มมืดมัวขณะที่ความเย็นแผ่กระจายเข้าไปในจิตใจของเขา
มอนสเตอร์ตัวนั้นคือวอร์ชาโดว์สายพันธุ์พิเศษที่มีร่างกายสีขาวและกำลังทรมานนักผจญภัยเพียงคนเดียวที่ยังเหลือรอดอยู่ในสถานที่แห่งนี้
มันใช้กรงเล็บฝังลงไปตามร่างกายส่วนต่างๆ ของเธออย่างช้าๆ
ในขณะเดียวกันก็เอากรงเล็บอีกข้างแหย่เข้าไปในส่วนแขนที่ขาดหายไปของเธอ
แม้จะพยายามกรีดร้องแต่กลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเลยเนื่องจากเธอคงกำลังเกิดอาการเลือดออกภายใน
วาห์นกระจายเขตแดนของเขาออกไปแบบสูงสุดและเล็งมันไปที่ ‘ไวท์ชาโดว์’
มันหยุดทรมานเด็กหญิงคนนั้นและเธอก็เริ่มหมดสติจากการที่ความเจ็บปวดหยุดลง
ก่อนจะหมดสติ เธอก็เห็นเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายไปด้วยแสงสีทองขณะเดียวกับที่มีความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วร่างของเธอ
เนื่องจากความโกรธแค้น [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ของวาห์นก็เริ่มหลอมรวมเข้าไปในเขตแดนของ [จิตแห่งราชัน] ทำให้ทั่วทั้งห้องส่องสว่างด้วยแสงสีทอง
เนื้อหนังของมอนสเตอร์ที่อยู่ในเขตแดนเริ่มร้อนฉ่าเมื่อผลของ ‘การเผาไหม้’ กำลังส่งผลกับร่างกายของพวกมัน
พวกมันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะพยายามปกป้องดวงตาเอาไว้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจบรรเทาความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไวท์ชาโดว์นั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขตแดนเช่นกัน
มันเริ่มพุ่งเข้าใส่วาห์นอย่างรวดเร็วเพื่อฉีกเขาเป็นชิ้นๆ จากการที่มาขัดจังหวะความสนุกของมัน
มันเร็วกว่าวอร์ชาโดว์ธรรมดามากและกรงเล็บในมือของมันนั้นก็มีความยาวกว่าเกือบสองเท่า
มันหมายจะแทงผู้ก่อกวนก่อนที่จะดึงลำไส้ของเขาออกมาอย่างช้าๆ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ก่อนที่ไวท์ชาโดว์จะเข้ามาใกล้ วาห์นก็เริ่มพุ่งสวนออกไป
ธนูที่อยู่ในมือของเขาหายไปและถูกแทนด้วยดาบที่ประดับด้วยลวดลายของสิงโต
ดาบนี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากมิลานและระบบระบุชื่อของมันว่า [ความทรนงแห่งราชสีห์: S]
แม้วิธีสร้างดาบเล่มนี้จะไม่ซับซ้อนเหมือนกับทามาฮากาเนะ แต่คุณสมบัติเป็นสื่อนำของดาบเมื่อใส่มานาเข้าไปแล้วนั้นแข็งแกร่งกว่ามากเพราะทุกส่วนของมันถูกทำมาจากมิธริล
เมื่อวาห์นฟาดดาบไปทางไวท์ชาโดว์ มันก็พยายามตั้งรับด้วยกรงเล็บของมัน
ช่วงก่อนที่ทั้งสองจะเข้าปะทะกัน วาห์นรู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลงขณะเดียวกับที่เห็นดาบของเขาตัดผ่านกรงเล็บของไวท์ชาโดว์อย่างง่ายดาย
ใบดาบเคลื่อนตัวช้าๆ ผ่านกรงเล็บแต่ละซี่โดยแทบจะไม่พบแรงต้านเลย
นิ้วที่ถูกตัดจนขาดกระเด็นออกไปนั้นจะมีแสงสีแดงเปล่งออกมาตรงจุดที่เคยเชื่อมต่อกับส่วนมือ
เพราะผลจากพลังของเขารวมกับ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ทำให้ดาบของเขามีความร้อนสูงซึ่งทำให้ชีวิตของมอนสเตอร์หยิ่งผยองตัวนี้ต้องจบลง
มันได้แต่มองตามอย่างหมดหนทางรอดเมื่อตัวดาบยังคงพุ่งต่อไปที่ส่วนหัวและเป็นส่วนแกนหลักของมัน
เมื่อดาบได้ผ่านตัวของมันออกไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือไวท์ชาโดว์ที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนขณะยังอยู่ในท่ายืน
ในอีกเสี้ยววินาทีถัดมา ร่างทั้งสองส่วนก็ระเบิดออกและสลายกลายเป็นฝุ่นผงในขณะที่วาห์นยังคงเดินหน้าต่อโดยไม่กลับไปสนใจมัน
เขาจัดการมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่ก่อนเดินเข้าไปหาเด็กผู้หญิงที่แทบจะไม่หายใจแล้ว
เขาบอกได้ว่าเธอคือหญิงสาวเผ่าเชียนโธรป (เผ่ามนุษย์สุนัข) ที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนและน่าจะมีอายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี
วาห์นซื้อคทา [ฟื้นฟู] อีกอันจากระบบอย่างรวดเร็วและเริ่มใช้มันเพื่อช่วยนักผจญภัยผู้เคราะห์ร้ายคนนี้
แม้จะสังเกตเห็นว่าแม้สกิลจะกำลังทำงานอยู่และแผลของเธอเริ่มฟื้นฟูอย่างช้าๆ แต่ปัญหาตรงหน้าก็ทำให้เขาหยุดมือลง
ถึงคทาจะรักษาบาดแผลให้เธอได้ แต่ก็ฟื้นฟูเฉพาะแค่เนื้อเยื่อส่วนที่เหลืออยู่เท่านั้น
หากวาห์นยังคงใช้วิธีนี้ต่อไป คทาก็จะรักษาอาการบาดเจ็บที่แขนของเธอและทิ้งส่วนแขนที่เหลือแต่ตอเอาไว้
ในฐานะคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลาหลายปีโดยไม่มีแขนหรือขา วาห์นรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะอยู่ต่อไปด้วยร่างกายที่พิการ
สมองของวาห์นทำงานอย่างหนักขณะที่เขาพยายามค้นหาแขนข้างนั้น
ไม่ว่าเขาจะมองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบร่องรอยของมันเลยและเวลาก็ใกล้จะหมดลงทุกทีแล้ว
หากรอนานกว่านี้ เธอก็อาจเสียชีวิตจากการเสียเลือด ดังนั้นวาห์นจึงต้องคิดหาวิธีใหม่ในทันที
ทันใดนั้นเอง ความคิดที่ดูอันตรายก็แล่นเข้ามาในหัวขณะที่เขาเริ่มอ่านรายละเอียดของสกิลอย่างรวดเร็ว
พอตัดสินใจแน่วแน่แล้ว วาห์นก็กัดฟันพร้อมกับสลับไปถือดาบที่มือซ้าย… และเฉือนแขนขวาของเขาออกมา
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘คนแปลกหน้า’, ‘ดูของจริงให้ดีนะ’ , ‘มันผิดรึไงถ้าใจอยากจะพบรักในดันเจี้ยน?’, ‘เหลือน้อยไปหน่อยนะ’)