Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 65
เสียงตะโกนของเด็กสาวตัดผ่านบรรยากาศตึงเครียดและดึงดูดให้สายตาของทุกคนจ้องมองมาที่เธอ
กลุ่มนักผจญภัยมองเห็นว่าแม้เธอจะอยู่ในสภาพมอมแมม แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร
เมื่อดูจากที่ ‘มอนสเตอร์’ สามารถรักษาพวกเขาได้ เหล่านักผจญภัยก็เริ่มเชื่อว่าสิ่งที่วาห์นพูดตั้งแต่ต้นเป็นความจริง
เอลฟ์ผู้ที่ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาตัดสินใจพูดกับเด็กสาวเพื่อยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฉันมีชื่อว่าเรย์น วัลส์จากไทคีแฟมิเลีย เชียนโธรปน้อย อธิบายทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งขณะที่ยังคงกำธนูไว้แน่นพร้อมกับรักษาระยะห่างจากวาห์น
เด็กสาวที่บอกว่าตนชื่อนาซ่า เอลิสวิสเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ก่อนที่วาห์นจะมาถึง
เธอเล่าว่ามีนักผจญภัยระดับสูงสองคนที่พบกับปาร์ตี้ของเธอก่อนหน้านั้นกำลังถูกฝูงมอนสเตอร์ไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด
ทั้งสองใช้ปาร์ตี้ของนาซ่าเพื่อดึงดูดความสนใจของมอนสเตอร์ก่อนจะละทิ้งการต่อสู้และหนีไป
“พาสพาเหรด!” (TL: พาสพาเหรด คือการลากฝูงมอนสเตอร์มาหาอีกปาร์ตี้หนึ่งเพื่อให้ปาร์ตี้นั้นต่อสู้แทน)
หัวหน้าของนักผจญภัยสบถออกมาหลังจากได้ยินนาซ่าเล่าถึงตรงนี้
การลากกลุ่มมอนสเตอร์ไปใส่ผู้อื่นถือว่าเป็นสิ่งที่ต่ำช้าและถูกประณามมากที่สุด
มีปาร์ตี้มือใหม่หลายกลุ่มที่ต้องจบชีวิตลงจากผลของการกระทำสิ้นคิดดังกล่าว
ใครก็ตามที่ถูกพบว่าใช้ ‘พาสพาเหรด’ จะได้รับการลงโทษอย่างร้ายแรงจากทางกิลด์เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา
นาซ่าพยักหน้าและกัดฟันเล่าต่อไป
เธอน้ำตาคลอเบ้าขณะพูดเกี่ยวกับพวกพ้องของตนที่พยายามต่อต้านฝูงมอนสเตอร์แต่ก็ค่อยๆ ล้มลงทีละคนเนื่องจากจำนวนมหาศาลของพวกมัน
สถานเริ่มแย่ลงกว่าเดิมเมื่อวอร์ชาโดว์ชนิดพิเศษได้ปรากฏตัวขึ้นและเริ่มสังหารทั้งพวกพ้องของเธอและฝูงมอนสเตอร์
ดูเหมือนวอร์ชาโดว์ตัวนี้จะเพลิดเพลินไปกับการสังหารและก่อนที่เธอจะรู้ตัว นาซ่าก็เป็นคนเดียวที่ยังเหลือรอดอยู่ในที่แห่งนี้
เมื่อมาถึงตอนนี้ นาซ่าก็หยุดเล่าเรื่องของตนและดูเหมือนจะพยายามอธิบายบางอย่าง
เธอเล่าถึงตอนที่ไวท์ชาโดว์เริ่มเข้ามาทรมานตัวเองแล้วก็เริ่มตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อนึกถึงตอนที่มอนสเตอร์ทรมานเธออย่างช้าๆ…
มันโหดเหี้ยมถึงขนาดตัดแขนข้างหนึ่งของเธอก่อนจะโยนเข้าไปในปากของฟร็อกชูตเตอร์
เธอไม่สามารถลบภาพนั้นออกไปได้ก่อนที่จะล้มลงและอาเจียนออกมา
นักผจญภัยทั้งห้าคนเริ่มรู้สึกเห็นใจหญิงสาว
เธอรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ที่คนส่วนใหญ่คงจะตายไปแล้วและตอนนี้ก็ต้องอยู่กับผลที่ตามมาจากเหตุการณ์นั้น
ตอนนี้สาวเผ่ามนุษย์แมวผมสีม่วงได้ฟื้นขึ้นมาแล้วและเริ่มลูบหลังของนาซ่าเพื่อปลอบเธอ
หลังผ่านไปอีกสองสามนาที นาซ่าก็ตั้งสติได้และเล่าเรื่องราวต่อไป
เธอข้ามส่วนที่เกี่ยวข้องกับการถูกทรมานไป
ทุกคนเองก็ดูเห็นด้วยว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเล่าถึงตอนนั้นและยอมให้เธอข้ามไปถึงตอนที่วาห์นปรากฏตัวในวินาทีสุดท้ายเพื่อช่วยชีวิตเธอ
เขาไม่เพียงแต่เอาชนะไวท์ชาโดว์และมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดลงได้ แต่ยังช่วยเธอฟื้นฟูร่างกายหลังจากที่เธอหมดสติไปแล้วด้วย
สิ่งที่เธอจำได้หลังจากนั้นก็คือตอนตื่นขึ้นมาเห็นทุกคนกำลังต่อสู้กับคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้จนนำมาสู่สถานการณ์ในตอนนี้
ทุกคนยกเว้นเอลฟ์หนุ่มแสดงสีหน้าเชิงขอโทษและละอายใจ
พวกเขาพอจะสรุปได้ว่าหลังจากที่วาห์นช่วยเด็กสาวได้สำเร็จ เขาก็คงกำลังรอให้เธอฟื้นขึ้นมาก่อนจะช่วยพาเธอออกจากดันเจี้ยน
พวกเขาเข้าใจเรื่องราวผิดหมดเพราะเห็นวาห์นกำลังอยู่ท่ามกลาง ‘ซากศพ’ และเข้าใจว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ครั้งนี้
หัวหน้ากลุ่มดูเหมือนกำลังพยายามหาทางขอโทษวาห์น แต่เอลฟ์หนุ่มก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องที่เด็กคนนี้เป็นมอนสเตอร์นะ
มอนสเตอร์รูปร่างมนุษย์ทั้งหมดต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากโดยไม่เกี่ยวว่ามันจะฉลาดหรือชอบช่วยเหลือผู้คน
เราไม่รู้ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ และสิ่งที่เกิดทั้งหมดอาจจะเป็นแผนที่ถูกจัดฉากไว้เพื่อต่อยอดในอนาคตก็ได้
เขาอาจจะใช้สถานการณ์นี้เพื่อสร้างความเชื่อใจ หลังจากนั้นก็สร้างปัญหาให้กับกลุ่มคนที่มีจำนวนมากกว่าเดิมก็ได้”
บรรยากาศเริ่มกลับมาตึงเครียดเนื่องจากคำกล่าวหาที่เอลฟ์หนุ่มพูดออกมา
หัวหน้าปาร์ตี้เริ่มตะโกนท้วง
“เรย์น เงียบปากไปก่อนเลย! นี่แกอยากให้พวกเราถูกฆ่าตายกันหมดใช่ไหม!?”
เรย์นตอบอย่างเย้ยหยันโดยเหลือบมองไปทางหัวหน้าปาร์ตี้
“ถ้าเขาโจมตีเราตอนนี้ ก็เหมือนกับเป็นการเผยธาตุแท้ออกมา
ฉันขอแนะนำให้เรารายงานเหตุการณ์นี้ไปทางกิลด์และแจ้งให้พวกเขาทราบว่าเด็กสาวคนนี้อาจถูกหลอกใช้อยู่
เราต้องไม่ยอมให้เธอหลอกพาคนมาตายเพียงเพราะเธอหลงกลอุบายของมอนสเตอร์นะ”
เมื่อเขาพูดจบ เสียงหัวเราะก็เริ่มดังไปทั่วห้อง
ทุกคนหยุดชะงักและหันไปทาง ‘มอนสเตอร์’ ที่ดูเหมือนจะถูกใส่ร้ายว่าเป็น ‘ปีศาจ’ ราวกับว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว
ทุกคนยกเว้นนาซ่าก็เริ่มตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวาห์นก็หยุดหัวเราะก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาของเอลฟ์หนุ่มด้วยสายตาแบบเหยียดๆ
“แปลงโฉมพันหน้า!”
วาห์นกล่าวออกมาแต่ละคำด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ขณะที่พูดคำสุดท้ายออกไป ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง
แทนที่จะมีรูปลักษณ์เหมือนเสือ ตอนนี้เขาแปลงให้ตัวเองดูเหมือนหมาป่าแทน
ทุกคนที่อยู่โดยรอบจ้องมองพร้อมกับอ้าปากค้างขณะที่เอลฟ์หนุ่มรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
มีเพียงนาซ่าเท่านั้นที่รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้และถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อ
“นี่คือเวทมนตร์ ข้อกล่าวหาที่คุณบอกว่าเขาเป็นมอนสเตอร์นั้นไม่มีมูลความจริงอยู่เลย!
คุณไม่เพียงแต่จะพยายามฆ่าเขาตั้งแต่แรก แต่พอสู้ไม่ได้แล้วยังจะมาทำลายชื่อเสียงกันอีกเหรอคะ!?
น่ารังเกียจจริงๆ!”
พอเรื่องทั้งหมดเริ่มชัดเจนแล้ว นาซ่าจึงรู้สึกโมโหเอลฟ์อวดดีคนนี้มาก
เขาไม่เพียงแต่ดูถูกผู้มีพระคุณของเธอ แต่สิ่งที่เขาพูดจะลากเธอและแฟมิเลียของเธอเข้ามาพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วยเช่นกัน
ไม่มีใครที่อยากจะคบค้าสมาคมกับแฟมิเลียที่ถูก ‘มอนสเตอร์’ หลอกแน่นอน
เอลฟ์หนุ่มรู้สึกเสียหน้ามากแต่พอเห็นว่าแม้แต่พรรคพวกของตัวเองเริ่มจ้องมองมาอย่างไม่เป็นมิตร เขาก็เลยพยายามเบี่ยงเบนบทสนทนา
“ถึงเขาจะมีเวทมนตร์ที่แปลงตัวเองให้เป็นอสูรได้ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้เป็นการยืนยืนยันว่าเขาไม่ใช่มอนสเตอร์
พวกเราในนี้ยังไม่เคยมีใครเห็นร่างมนุษย์ของเขามาก่อนเลยนะ!”
หลังจากที่เขาพูดจบ มุมมองของทุกคนก็พลิกผันอีกครั้งซึ่งเบนความสนใจของทุกคนออกจากตัวของเขา
ตอนนี้วาห์นฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้หลายส่วนแล้วและเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
เนื่องจากไม่ได้ต่อสู้มาพักหนึ่ง พลังงานที่ส่งเข้าไปใน [ร่างจตุรเทพ] จึงเริ่มหมดลงและยังคงรูปอยู่ได้เพราะจิตใจและความรู้สึกของตัวเอง
พอได้ยินสิ่งที่เอลฟ์นั่นพูด วาห์นจึงปลดการแปลงร่างลงอย่างไม่ขัดข้อง
ตอนนี้เขายืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งกลุ่มด้วยรูปลักษณ์ปกติโดยมีเส้นผมสีดำและผิวสีแทน
ดวงตาสีเขียวของเขาจ้องมองไปที่เอลฟ์อย่างเกรี้ยวกราดราวกับว่าถ้าไอ้หมอนี่ยังกล้าพูดอะไรอีกล่ะก็….
“พอใจรึยัง? หรือว่าหน้าของนายมันสำคัญมากซะจนอยากแลกชีวิตเพื่อเถียงต่อ!?”
ใบหน้าของเอลฟ์เริ่มบิดเบี้ยวเหมือนเพิ่งกินของแสลงเข้าไป
เขาอยากจะค้านคำพูดนั่นและกำลังคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ออกมา
เมื่อวาห์นเห็นดังนั้น เขาจึงชิงพูดขึ้นมากก่อน
“ฉันชื่อ วาห์น เมสัน เป็นสมาชิกของเฮเฟสตัสแฟมิเลียและอยู่ภายใต้การดูแลของกัปตันสึบากิ คอลแบรนด์
นายบอกว่านายชื่อ เรย์น วัลส์ จากไทคีแฟมิเลียใช่ไหม?
เอางี้แล้วกัน ฉันมั่นใจว่าเทพของพวกเราคงช่วยสะสางเรื่องนี้ให้ได้แน่”
หลังจากที่วาห์นหย่อนระเบิดทิ้งไว้ เขาก็เริ่มเดินตรงไปยังทางออก
เขาช่วยเหลือเด็กสาวเอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งก็เขาเองรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเธอก็คือนาซ่าจากในเนื้อเรื่องหลักนั่นเอง
ตอนนี้เขาได้ช่วยเธอไม่ให้สูญเสียแขนไป ซึ่งทำให้มิอาคแฟมิเลียไม่ต้องตกเป็นหนี้จากการซื้อแขนเทียมและสูญเสียอำนาจที่มีอยู่*
วาห์นหวังว่าเรื่องนี้จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่ากว่าในมังงะ
เมื่อเห็นวาห์นเดินออกไป ทั้งปาร์ตี้ก็เริ่มคิดว่าต่อให้เขาไม่ใช่ ‘มอนสเตอร์’ แต่ก็ยังแข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดอยู่ดี
แฟมิเลียของพวกเขาเป็นเพียงแฟมิเลียระดับ C โดยนักผจญภัยทื่แข็งแกร่งที่สุดในแฟมิเลียก็คือกลุ่มของพวกเขาเองซึ่งเป็นนักผจญภัยเลเวล 2 เท่านั้น
การไปหาเรื่องแฟมิเลียระดับ S ขนาดใหญ่อย่างเฮเฟสตัสแฟมิเลียนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่โง่เขลามาก!
หัวหน้าปาร์ตี้รีบพูดขึ้นก่อนจะพยายามไล่ตามวาห์นที่กำลังจะออกไป
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อนนะ รอก่อน! เรามาพูดเรื่องนี้กันใหม่ดีไหม? ไม่เห็นต้องทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเลย!
มาเถอะ ผมจะให้ทุกคนมาขอโทษคุณเอง
เรย์น ขยับก้นแหลมๆ ของแกมาตรงนี้เลย!”
ชายที่ชื่อโบอัซลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างมาก
เขาอยากจะบีบคอเพื่อนของตนที่ทำให้เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้ หรืออย่างน้อย ก็อยากจะป้องกันไม่ให้เรย์นเปิดเผยชื่อและแฟมิเลียที่พวกเขาสังกัดอยู่!
พอเข้ามาใกล้วาห์น เขาก็พยายามวางแขนลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มก่อนที่จะถูกหลังมือใส่อย่างรุนแรงซึ่งทำให้กระดูกซี่โครงร้าวไปหลายซี่และทิ้งรอยยุบไว้บนเกราะของตน
วาห์นมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คราวหน้าถ้านายยังกล้ามาแตะตัวตัวฉันอีก… คงไม่จบแค่นี้แน่ๆ”
วาห์นออกเดินต่อไปโดยไม่คิดจะเสวนากับคนกลุ่มนี้อีก
นาซ่ารู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
เธอรีบดึงสติของตัวเองกลับมาก่อนจะไล่ตามหลังเขาไป เธอไม่ชอบนักผจญภัยกลุ่มนี้เท่าไหร่และคิดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่หยิ่งยโสและทำตัวแย่มาก
แม้ว่าวาห์นจะดูโหดร้ายไปบ้าง แต่เขาก็ช่วยชีวิตและรักษาบาดแผลให้กับเธอ
การตามเขาไปน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าทิ้งตัวเองไว้กับคนกลุ่มนี้
วาห์นไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่เธอไล่ตามมาทัน เขาเพียงแค่พยักหน้าและยิ้มให้เธอเล็กน้อย
เธอรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่า ‘ความเย็นชา’ หายไปอย่างรวดเร็วหลังจากแยกตัวออกจากกลุ่มใหญ่
แม้พอมาคิดดูดีๆ แล้วเธอก็เข้าใจว่าเขาคงจะโกรธมากหลังจากโดนคนกลุ่มนั้นโจมตีใส่
ดูจากการที่เขายอมช่วยเหลือเธอ แก่นแท้ของเขาจะต้องเป็นคนจิตใจดีอย่างแน่นอน
นาซ่าถอนหายใจโล่งอกและส่งยิ้มกลับไป
“ฉันชื่อ นาซ่า ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะ วาห์น”
วาห์นค่อยๆ ส่ายหัวและยิ้มให้กับเธอแทนคำตอบ
นาซ่ารู้สึกสับสน แต่ความกังวลของเธอก็ได้รับคำตอบในทันที
“เธอจะปลอดภัยหลังจากที่เราพาเธอออกไปจากดันเจี้ยนมืดๆ นี่ได้
เธอน่าจะยังรู้สึกตกใจจากเรื่องที่เกิดขึ้นและคงจะรู้สึกแย่กว่านี้มากเมื่อสติเริ่มกลับมา
สำหรับตอนนี้คงต้องขอให้ทนไปก่อนนะ ฉันสัญญาว่าจะปกป้องเธอจนกว่าเธอจะได้พบกับแฟมีเลียข้างบนพื้นดินอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินคำพูดอ่อนโยนของเขา นาซ่าก็เริ่มร้องไห้
แม้ว่าเธอจะพยายามทำใจเย็นตอนที่กำลังเล่าเรื่อง แต่เธอก็ยังรู้สึกเจ็บปวดมากจากการสูญเสียเพื่อนพ้องไป
เธอนึกว่าคงจะไม่รอดแล้วแน่ๆ ก่อนที่วาห์นจะช่วยเธอไว้ แถมตอนนี้เขายังสัญญาว่าจะปกป้องเธอและพูดราวกับอ่านใจเธอออก
เธอพยายามปิดปากของตัวเองเพื่อกลบเสียงสะอื้น แต่ความเสียใจก็ได้รับชัยชนะและทำให้เธอทรุดลงบนพื้นด้วยความโศกเศร้า
เมื่อวาห์นเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดออกมากลับส่งผลตรงกันข้าม เขาก็โน้มตัวลงและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน
การกระทำของเขาทำให้นาซ่าหยุดกลั้นน้ำตาและเริ่มร้องไห้เสียงดังขณะยังอยู่ภายในอ้อมแขนของเขา
วาห์นโอบกอดเธออย่างเบามือแต่ก็หนักแน่นพอที่จะปลอบโยนหญิงสาวผู้ที่เพิ่งจะสูญเสียเพื่อนพ้องไป
เขายังคงปลอบเธอต่อไปขณะที่กลุ่มนักผจญภัยห้าคนเดินผ่านด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
วาห์นเพียงแค่ทำหน้าเคร่งขรึมใส่พวกเขาโดยไม่ได้พูดอะไร อย่างน้อยพวกเขาก็ยังพอเข้าใจและไม่เข้ามาพูดอะไรต่อ
พวกเขาเดินห่างไปเรื่อยๆ และคงวางแผนที่จะออกจากดันเจี้ยนและแจ้งสถานการณ์ให้กับแฟมิเลียของตนฟัง
หลังจากผ่านไปหลายนาที นาซ่าก็หยุดร้องไห้และผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของวาห์น
วาห์นมองลงไปที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของหญิงสาวและรู้สึกสงสารเธอมาก
ความคิดทั้งหลายเริ่มผุดขึ้นมาในใจของเขาแต่วาห์นก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ก่อน
สำหรับตอนนี้ เขาอุ้มร่างของนาซ่าขึ้นมาอย่างแน่นหนาขณะออกวิ่งผ่านดันเจี้ยนและตรงไปยังบันไดที่เขาแยกทางกับลิลลี่
(TL: ‘หยิ่งได้ก็หยิ่งไปก่อน’, ‘มาวัดกันหน่อยว่าเทพของใครใหญ่กว่ากัน’, ‘สกิลแฝง [ตบกลับ: SSS]’
*สำหรับนาซ่านั้นบางคนอาจจะไม่รู้จัก เธอคือนักธนูเผ่าเชียนโธรปที่อยู่กับเทพมิอาค ในเนื้อเรื่องหลักนั้นถึงเธอจะได้รับการช่วยเหลือแต่ก็ต้องสูญสียแขนไป มิอาคลงทุนซื้อแขนเทียมให้กับเธอ (แพงมาก) ซึ่งทำให้แฟมีเลียต้องตกเป็นหนี้มหาศาลจนสมาชิกหลายคนถึงขั้นลาออก ส่วนนาซ่าก็แน่นอนว่ารู้สึกซาบซึ้งต่อมิอาคและทำหน้าที่เป็นกัปตันเพื่อรับใช้แฟมิเลียต่อไป
มิอาคคือเทพคนที่ขายพวกไอเท็มยาต่างๆ มีผมยาวสีน้ำเงินและเป็นเพื่อนของเฮสเทียด้วย)
—————