Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 68
ในวันต่อมา วาห์นก็เพิ่มความเข้มข้นในการฝึกของเขาขึ้นมาอีกขั้น
ตอนนี้ระดับเครื่องฝึกของเขาอยู่ที่ระดับหกซึ่งสึบากิคำนวณไว้ว่ามันเทียบเท่ากับการโจมตีของนักผจญภัยเลเวล 3 ที่มีประสบการณ์มาก
เนื่องจากเขาไม่สามารถหลบการโจมตีทั้งหมดของกลุ่มนักผจญภัยเลเวล 2 ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้
วาห์นจึงต้องการเพิ่มความคล่องตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้สกิล [ย่างก้าวไร้สัมผัส] ของเขาก็เพิ่มขึ้นจากระดับ E เป็น D แล้วและวาห์นรู้สึกว่าในไม่ช้ามันจะเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง
ลิลลี่เองก็พยายามเพิ่มมากขึ้นและเริ่มฝึกพิสดารกับสึบากิซึ่งให้เธอนำของมาถ่วงขาและเดินด้วยมือของเธอผ่านเส้นทางวิบาก
ทุกครั้งที่เธอมาถึงจุดที่กำหนด ลิลลี่จะต้องเตะขาสิบครั้งก่อนจะได้ไปต่อ
พอวาห์นถามว่าทำไมเธอถึงฝึกแบบนี้ สึบากิก็บอกว่ามันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวรอบทิศทางของเธอแถมยังเพิ่มพละกำลังให้กับร่างกายด้วย
เนื่องจากลิลลี่มีร่างกายขนาดเล็ก จุดศูนย์ถ่วงของเธอจึงอยู่ใกล้กับพื้นซึ่งทำให้ใช้รูปแบบการต่อสู้แบบแปลกๆ ได้ดีกว่าคนทั่วไป
เนื่องจากลิลลี่มีสกิลพิเศษอย่าง [หน่วยช่วยเหลือ] การเตรียมสภาพร่างกายของเธอจึงง่ายกว่าคนปกติ
ในขณะที่คนอื่นต้องดิ้นรนและปรับตัวให้เข้ากับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ลิลลี่กลับข้ามขั้นตอนนี้ไปและมันยังช่วยเพิ่มค่าสถานะของเธอได้ดียิ่งขึ้น
ตราบใดที่เธอยังฝึกต่อไปเรื่อยๆ ลิลลี่ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงร่างกายทุกส่วนของเธอให้กลายเป็นอาวุธได้
ไม่นานหลังจากการฝึกฝนแปลกๆ นี้เริ่มขึ้น สึบากิก็เริ่มให้ลิลลี่ซ้อมกับวาห์น
ลิลลี่รู้สึกลังเลในตอนแรกแต่ก็ค่อยๆ สลายความกังวลและพุ่งเข้าใส่วาห์นอย่างรวดเร็ว
มันต่างจากการซ้อมเมื่อเดือนที่แล้วอย่างลิบลับ
ตอนนี้ลิลลี่มีความว่องไวมากกว่าเดิมและใช้ร่างกายที่ยืดหยุ่นของเธอในการโจมตีวาห์นจากมุมที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
แทนที่จะตั้งท่าแปลกๆ และโจมตีเหลาะแหละแบบแต่ก่อน ตอนนี้ลิลลี่ใช้ร่างกายทุกส่วนของเธอเพื่อหลบหลีกและโจมตีกลับ
เนื่องจากค่าสถานะของวาห์นสูงกว่ามาก เขาจึงรับมือการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม เขาพลาดท่าไปครั้งหนึ่งเมื่อลิลลี่ใช้มือดีดตัวขึ้นและเล็งขามาที่ใบหน้าของเขา
วาห์นจับขานั่นได้ทันแต่ลิลลี่ก็บิดตัวและใช้ขาอีกข้างซัดวาห์นเข้าที่หน้าอกไปเต็มๆ
วาห์นต้องปล่อยขาของเธอและลิลลี่ก็ใช้แรงดีดจากการโจมตีเพื่อตีลังกากลับไปยืนที่เดิม
วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับการเคลื่อนไหวราวกับเล่นกายกรรมจนเขาแทบรับการโจมตีต่อไปไม่ทัน
เขาเริ่มหัวเราะและสนุกไปกับการต่อสู้ในขณะที่สึบากิซึ่งมองจากด้านข้างพยักหน้าอย่างชื่นชม
การฝึกฝนของเธอกับลิลลี่ไม่เพียงแต่จะเพิ่มทักษะให้กับเธอ แต่ยังช่วยขัดเกลาความสามารถของวาห์นในการรับมือกับการโจมตีแปลกๆ ด้วย
นอกจากนี้มันยังทำให้เขาฝึกควบคุมแรงที่ใช้ออกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่วาห์นไม่ถนัดหากตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
การฝึกซ้อมดำเนินต่อไปอีกยี่สิบนาทีก่อนที่สึบากิจะเข้ามาหยุดพวกเขา
ลิลลี่หอบแฮกและพยายามสูดอากาศเข้าปอด แต่เธอก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีเกินคาด
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ซ้อมกับวาห์นตั้งแต่เริ่มฝึกและเธอก็พอใจมากที่เห็นพัฒนาการของตัวเอง
วาห์นเองก็มีความสุขและสนุกกับการต่อสู้ตั้งแต่ที่เธอเริ่มใช้การเคลื่อนไหวแบบกายกรรม
เขาเข้ามาใกล้ขณะส่งพลังงานเข้าไปในมือและวางลงบนหลังของลิลลี่
เมื่อสกิล [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ทำงาน เขาจะสามารถช่วยปรับลมหายใจให้เธอได้
พอทำเสร็จแล้ว เขาก็เล่นกับผมของเธอก่อนจะนั่งลงข้างๆ และหยุดพักเอาแรง
เป็นครั้งแรกที่ลิลลี่เห็นวาห์นมีความสุขแบบนี้และเธอก็รู้สึกตื่นเต้นและเขินๆ หลังจากที่เขาใช้สกิลมาบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของเธอ
สึบากิเริ่มหัวเราะจากด้านข้างก่อนจะหยอกล้อการกระทำของทั้งคู่
“พวกเธอนี่เหมือนพี่ชายกับน้องสาวเลยนะ! น่ารักจริงๆ!”
วาห์นยิ้มตอบ แต่ลิลลี่ดูเหมือนจะเจ็บแปลบหลังจากได้ยินคำพูดนั่น
เธอพึมพำ ‘พี่ชาย’ และ ‘น้องสาว’ ไปจนเกือบหมดเวลาพัก
ทว่าก่อนหมดช่วงพัก ก็มีแขกเข้ามาเยี่ยมเยือน
ผู้มาใหม่คือเทพมิอาคที่มาพร้อมกับนาซ่าที่แต่งตัวในชุดลำลองซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อสีเบจ ผ้าคลุมไหล่สีแดงอ่อนและกระโปรงจีบสีเขียวที่เข้ากับถุงน่องสีขาวและรองเท้าบูทสีน้ำตาล
หลังจากที่เห็นวาห์นเข้ามาในห้องพร้อมกับสึบากิและลิลลี่ มิอาคก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนในขณะที่นาซ่าแสดงอาการขัดเขินเล็กน้อย
วาห์นสนใจในพฤติกรรมของเธอมากเพราะมันต่างไปจากนิสัยรักสันโดษที่เธอแสดงออกมาในมังงะ
เป็นไปได้ว่าการรักษาแขนทำให้บุคลิกภาพของเธอไม่เปลี่ยนไป และนี่อาจเป็นนิสัยดั้งเดิมของเธอ
เนื่องจากเธอมีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น คงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องเห็นเธอเป็นทุกข์และดูเศร้าหมองตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
มิอาคและนาซ่าต่างโค้งให้เขาอีกครั้ง
“อีกครั้งนะวาห์น ฉันมิอาค เทพแห่งมิอาคแฟมิเลีย ขอขอบคุณที่เธอช่วยชีวิตนาซ่าเอาไว้”
หลังจากที่เขาพูดจบ นาซ่าก็พูดเช่นกัน
“ใช่แล้ว ขอบคุณนะวาห์น ฉันอาจไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะนาย นอกจากนี้…”
นาซ่ามองไปที่มิอาคและเห็นเขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ฉัน…. อยากจะยืนยันเรื่องบางอย่าง ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะสมที่จะถาม แต่ก็ยังอยากให้แน่ใจเพราะก่อนที่จะหมดสติไป ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าแขนของฉันเหลืออยู่แค่ข้างเดียว ถึงฉันอยากจะจินตนาการว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่ภาพในหัวมันชัดเจนมากว่าฉัน… ฉัน…”
นาซ่าเริ่มตัวสั่นเทาเมื่อเธอนึกถึงฉากๆ หนึ่ง ภาพของไวท์ชาโดว์ที่ค่อยๆ เอากรงเล็บแหย่แผลตรงแขนของเธอมันฝังรากลึกอยู่ในหัวใจไปแล้ว
สึบากิฟังอยู่ข้างๆ และเมื่อนาซ่าเริ่มถามเรื่องนี้ เธอเองก็สงสัยเช่นกัน
เธอมองไปที่วาห์นและเห็นว่าเขาทำสีหน้าไตร่ตรองก่อนที่จะสบตาเธอ
สึบากิเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะพูดและเธอก็พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะขัดจังหวะ
“พวกคุณคงรู้นะว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามที่จะถามเกี่ยวกับสกิลหรือค่าสถานะของคนอื่น วาห์นอาจเต็มใจที่จะบอกและแม้ว่าเราจะไว้ใจพวกคุณในระดับหนึ่ง แต่ทางนี้ก็ต้องรับประกันความลับถ้ายังอยากฟังคำตอบอยู่”
สึบากิมองไปที่มิอาคอย่างดุดัน และเขาก็พยักหน้าให้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย
“ฉันมิอาค เทพแห่งมิอาคแฟมิเลีย ขอสาบานต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเพื่อปกป้องความลับของวาห์น เมสัน และขอให้ร่างเนื้อนี่ถูกทำลายหากผิดคำสาบาน”
ขณะที่พูด มิอาคก็ใช้มือวาดสัญลักษณ์แปลกๆ ซึ่งดูเหมือนกำลังจารึกคำพูดของเขา
เมื่อเขาทำเสร็จก็มองไปที่นาซ่าที่กล่าวคำสาบานคล้ายๆ กัน
“ฉันนาซ่า เอลิสวิส ขอสาบานกับตราสัญลักษณ์ของแฟมิเลียเพื่อปกป้องความลับของวาห์น เมสันและขอให้ฟาลน่าสลายหายไปและสกิลทั้งหมดถูกผนึกเอาไว้หากผิดคำสาบาน”
หลังจากที่เธอพูดจบ ทั้งสองก็หยดเลือดลงบนตราสัญลักษณ์ซึ่งส่องแสงออกมาก่อนจะหายไป
พอสึบากิเห็นว่าพิธีการเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็พยักหน้าให้กับวาห์นและถามว่าเธอกับลิลลี่จะอยู่ฟังด้วยได้หรือเปล่า
วาห์นพยักหน้าตอบ เพราะเขาเชื่อใจคนทั้งคู่ที่มีค่าความชื่นชอบทะลุ 90 แต้มไปแล้ว
ลิลลี่ยังคงตั้งมั่นอยู่ที่ 98 แต้มและวาห์นมักครุ่นคิดว่าทำยังไงถึงจะได้สองแต้มสุดท้ายนั่นมา
—
หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง วาห์นก็อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาไม่ได้เล่าเรื่อง [ร่างจตุรเทพ] แต่อธิบายการทำงานของสกิล [เคลื่อนย้ายบาดแผ] และการที่เขาใช้สกิลอื่นๆ ร่วมกับเวทมนตร์ฟื้นฟูเพื่องอกแขนใหม่ให้เธอ
เมื่อนาซ่าได้ยินเขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาของเธอก็เริ่มเปียกชื้นจากความพยายามที่เขาทำเพื่อเธอ
เธอไม่ดิดว่าวาห์นจะตัดแขนของตัวเองเพื่อรักษาแขนให้เธอ…
มิอาครู้สึกประหลาดใจกับสกิลนี้มาก
หากใช้อย่างเหมาะสม วาห์นจะสามารถช่วยชีวิตคนได้นับไม่ถ้วน!
แต่หลังจากได้ยินเรื่องความเจ็บปวดและความทรมานที่ผู้ใช้ต้องแบกรับ มิอาคก็เข้าใจทันทีว่ามันไม่ใช่สกิลที่สะดวกสบายขนาดนั้น
หากผู้ใช้ขาดความแน่วแน่ เขาก็จะเป็นฝ่ายแพ้ให้กับบาดแผลที่พยายามจะรักษาเสียเอง
และหากไม่มีวิธีฟื้นฟูร่างกายตัวเองอย่างรวดเร็ว การใช้สกิลนี้มากเกินไปย่อมนำไปสู่ความตายหรือความพิการ
“ดูเหมือนว่าแฟมิเลียของฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอมากกว่าที่ฉันคาดเอาไว้อีกนะ”
ในขณะที่เขาพูด มิอาคก็ก้มหัวลงต่ำลงจนหน้าผากเกือบแตะพื้น
มันเกือบจะเป็นความผิดร้ายแรงสำหรับทวยเทพที่มาโค้งคำนับให้กับมนุษย์ขนาดนี้ แต่มิอาคก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าสมควรได้รับความเคารพและชื่นชมจากเขาจริงๆ
มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กหนุ่มคนนี้ หรือแม้กระทั่งคนที่มีอายุมากกว่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นอย่างเต็มใจ
นาซ่าเองก็พยายามโค้งคำนับอีกครั้ง แต่วาห์นก็พูดขัดทั้งสองไว้ก่อน
“หยุดก่อนครับ! ผมแค่ทำตามใจตัวเองเท่านั้น ถึงพวกคุณจะรู้สึกขอบคุณ แต่การมาก้มหัวให้กันแบบนี้ก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีหรอกนะครับ จากนี้ไปก็แค่ใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดและมีความสุขไปกับมัน เท่านี้ก็ถือว่าหายกันแล้วครับ”
ความประทับใจของมิอาคเกี่ยวกับวาห์นยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เขาจึงยินยอมและเงยหน้าขึ้นมา
เมื่อมองไปที่ด้านข้างของเขา ก็เห็นว่านาซ่าแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วขณะที่เธอต่อสู้กับความรู้สึกภายในใจตัวเอง
มิอาคเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดกับวาห์น
“วาห์น ฉันอยากให้เธอไปเยี่ยมเยือนแฟมิเลียของฉันหากมีโอกาส ฉันขอรับประกันเลยว่าเราจะต้อนรับเธออย่างดี และฉันอยากจะแนะนำเธอให้เด็กๆ ของฉันทุกคนได้รู้จัก และหากเธอสนใจ ฉันก็ยินดีที่จะสอนเธอรวมทั้งสหายที่เธอพามาด้วยเกี่ยวกับวิชาปรุงยาและโพชั่นต่างๆ”
วาห์นพยักหน้ารับ
มันเป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้วที่จะเรียนรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุและการปรุงยา
เขาซื้อคู่มือพื้นฐานมาบ้าง แต่ก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถที่เกี่ยวกับสกิล [ผสมวัตถุดิบ] หรือ [เล่นแร่แปรธาตุ] ขึ้นมาได้เลย
หากไม่มีการชี้แนะและประสบการณ์ เขาก็คงจะทำอะไรต่อไม่ได้มาก
เมื่อเห็นว่าวาห์นตอบรับคำ มิอาคก็พยักหน้าและเตรียมตัวที่จะกลับ
นาซ่าลุกขึ้นตาม แต่มิอาคกลับหยุดเธอไว้
“ไม่เป็นไรนาซ่า อยู่ให้นานเท่าที่สึบากิจะอนุญาตเถอะ เมื่อเวลานั้นมาถึง ฉันอยากให้เธอเป็นคนพาวาห์นกลับมาที่แฟมิเลียด้วยกัน ฉันจะมอบหน้าที่ฝึกฝนขั้นพื้นฐานของเขาให้เธอดูแล”
นาซ่าตัวแข็งเป็นหินหลังจากได้ยินความประสงค์จากเทพของเธอ
แม้เธอเองก็อยากช่วยวาห์นเรียนรู้วิธีผสมโพชั่นเป็นการส่วนตัว แต่ก็ไม่คิดว่ามิอาคจะยอมให้เธอมาประจำอยู่นอกร้านขายยา
มิอาคส่ายหัว
“ฉันเข้าใจว่าเธอกังวลเรื่องอะไรนะนาซ่า แต่เธอก็น่าจะใช้ชีวิตวัยรุ่นให้มันคุ้มค่ากว่านี้ ฉันเห็นว่าตอนนี้เธอรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ในแฟมิเลียสักเท่าไหร่ เธอคงโทษตัวเองกับเรื่องที่เกิดขึ้นในดันเจี้ยนและหลีกเลี่ยงคนในแฟมิเลียเดียวกัน ฉันคิดว่าการอยู่ที่นี่จะดีต่อสภาพจิตใจและร่างกายของเธอมากกว่า ให้คิดซะว่านี่เป็นการพักร้อนและกลับมาเมื่อใจของเธอพร้อมแล้วก็แล้วกัน”
ในขณะที่เขาพูด มิอาคก็ลูบหัวของนาซ่าเบาๆ
เธอรู้สึกเขินอายกับการกระทำดังกล่าวและดูเหมือนจะสับสนขณะที่คอยมองสลับไปมาระหว่างเทพของเธอและเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอไว้…
สึบากิหัวเราะเสียงดังในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ก็ดีแล้วนี่! ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกนะ อยู่นานเท่าที่เธอต้องการเถอะ นาซ่า ถ้าวาห์นหรือลิลลี่รังแกเธอก็มาบอกฉัน เดี๋ยวฉันจะไปตามอัดคืนให้เอง!”
สึบากิเริ่มตบหลังของวาห์นแล้วยกนิ้วโป้งให้เขาในขณะที่กระพริบตาให้ด้วย…
วาห์นได้แต่ตอบไล่หลังในใจ ‘จะรู้ไหมเนี่ยว่ากระพริบตาปกติหรือขยิบตาให้’
นาซ่าก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนใบหน้าแดงแจ๋ของตัวเอง
“ได้โปรด… ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
แม้ว่าเธอจะยังรู้สึกเป็นห่วง แต่ก็อดคิดไปถึงเรื่องอนาคตไม่ได้
(TL: ‘มอบลูกสาวให้คนอื่นมันเป็นแบบนี้นี่เอง’, ‘มิอาค สุดยอดแห่งพ่อสื่อ’, ‘ลูกสุนัขที่ทำให้หัวใจละลาย’, ‘สไตล์การต่อสู้ใหม่ของลิลลี่: คาโปเอร่า?’, ‘ปรากฏการณ์สร้างความอบอุ่นจากการไล่อัดคนบ้านเดียวกัน’)
—————