Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล - ตอนที่ 69
นาซ่าเริ่มอาศัยอยู่ที่บ้านของสึบากิตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เธอได้ห้องที่อยู่ใกล้กับลิลลี่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทางปีกตะวันออก ห้องของสึบากินั้นตั้งอยู่ไกลสุดจากห้องโถงและเชื่อมต่อกับทางเดินเพื่อไปยังปีกตะวันตกและห้องอาบน้ำ
ในคืนแรกที่นาซ่ามาอยู่ด้วย สึบากิก็จัดการให้ทั้งเธอและลิลลี่อาบน้ำร่วมกันเพื่อที่พวกเธอจะได้พูดคุยกันแบบถึงเนื้อถึงตัว
หลังจากนั้น นาซ่าก็เริ่มเปลี่ยนนิสัยและแสดงท่าทางเชิงรุกในการมีปฏิสัมพันธ์กับทุกคนมากขึ้น
แม้จะยังเขินอายตอนอยู่ใกล้วาห์น แต่เธอก็มักจะพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องยาและส่วนผสมต่างๆ
เธอประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าวาห์น ‘เรียนรู้’ ได้รวดเร็วขนาดไหนและถึงกับตกใจเมื่อเขาสามารถดัดแปลงกระบวนการทำยาหลังจากได้ฟังไปแค่ครั้งเดียว
ตอนที่ลิลลี่และวาห์นไม่ได้ฝึกฝนหรือเข้าไปในดันเจี้ยน นาซ่าก็มักจะไปหาวาห์นเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำอยู่เสมอ
เธอถึงขั้นที่ไปขอให้สึบากิยอมให้เธอสร้างห้องทำงานของตัวเองขึ้นมาและเริ่มผลิตโพชั่นที่ประยุกต์จาก ‘ทฤษฎี’ ที่วาห์นแนะนำ
ก่อนหน้านี้ นาซ่าไม่มีปัญหากับการสร้างโพชั่นระดับต่ำแต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อสร้างโพชั่นระดับกลาง
ทว่าตอนนี้อัตราความเสร็จในการสร้างของเธอกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การแนะนำของวาห์น แถมเธอยังเริ่มสงสัยว่าวาห์นเคยมีประสบการณ์ในการผสมวัตถุดิบมาก่อน
แต่หลังจากได้เห็นเขาพยายามผสมโพชั่น เธอก็โยนความคิดนั้นออกไปนอกหน้าต่างทันที
มันต่างจากการตีเหล็กที่วาห์นสามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วยการสนับสนุนของ [จิตแห่งราชัน] และ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์]
ความพยายามในการผสมโพชั่นของวาห์นนั้นดูจะไม่ค่อยราบรื่นนัก
แม้ว่าเขาจะมีความรู้ทางทฤษฎีมากพอที่จะทำยาออกมาได้ แต่ก็พบกับปัญหาตอนที่ต้องใส่พลังของตัวเองเข้าไปสารละลาย
ความพยายามของเขาส่วนใหญ่จะจบลงด้วยทำให้ขวดบรรจุยาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลังจากที่เริ่มกระบวนการ
นาซ่าไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย
ขณะที่เธอเฝ้าสังเกตการฝึกฝนของเขา นาซ่าก็ดูออกว่าวาห์นชำนาญเรื่องควบคุมมานาของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ สารละลายมักจะระเบิดขึ้นทุกครั้งที่เขาใส่พลังเข้าไป
มันเป็นเหมือนกับว่าส่วนผสมจะทำปฏิกิริยาจนเกิดการระเบิดทันทีที่เขาใส่ ‘มานา’ เข้าไปในสารละลาย
เธอตั้งใจว่าจะหาสาเหตุให้พบเนื่องจากมันเป็นเรื่องน่าเสียดายหากใครบางคนมีพรสวรรค์อยู่มากแต่กลับไม่อาจทำได้แม้กระทั่งโพชั่นพื้นฐาน
—
ขณะที่นาซ่ากำลังยุ่งกับการพยายามไขความลับว่าวาห์นสามารถทำให้ขวดแตกได้อย่างไร
ในชั้นที่ 30 ของหอคอยบาเบล เหล่าทวยเทพหลายองค์จากแฟมิเลียต่างๆ ในเมืองก็เริ่มมารวมตัวกัน
เนื่องจากนี่เป็นวันแรกของการประชุมในทุกๆ 3 เดือนที่เรียกกันว่า ‘เดนาตัส’
ในการประชุมนี้ เหล่าเทพจะทำการตัดสินใจในเรื่องที่ส่งผลต่อโอราริโอ้และอาจเป็นการชี้เป็นชี้ตายให้กับชีวิตของนักผจญภัยและประชาชนอันนับไม่ถ้วน
ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยเทพที่ดูงดงามและหล่อเหลามากมายที่สวมใส่ชุดทางการ
พวกเขาต่างสนทนาด้วยเสียงอันดังขณะที่พูดชมเชยและโอ้อวดเหล่า ‘เด็ก’ ที่ตนเองโปรดปราน
บางคนถึงกับวางเดิมพันและพูดคุยเกี่ยวกับ ‘มอนสเตอร์ฟีเรีย’ ที่กำลังจะมาถึงก่อนการประชุม ‘เดนาตัส’ ครั้งหน้า
ภายในฝูงชน มีร่างอันอ่อนช้อยและน่าเย้ายวนที่ทำให้หัวของเหล่าเทพและเทพธิดาต่างต้องหันไปมอง
มีเทพธิดามากมายที่แสดงสีหน้าไม่พอใจ ในขณะเดียวกันเทพส่วนหนึ่งก็ไม่อาจละสายตาจากร่างนั่นได้เลย
ร่างๆ นั้น ราวกับไม่สนใจสายตาของฝูงชนที่มองมาและเดินไปยังที่ๆ เทพธิดาผู้มีเรือนผมสีแดงกำลังยืนอยู่
“อ้าว เฮเฟสตัส หายากนะเนี่ยที่เห็นเธอมาตั้งแต่วันแรก”
ร่างนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับท่าทางเย้ายวนเล็กน้อยซึ่งทำให้เฮเฟสตัสหน้าตาบูดบึ้งก่อนจะหยิบไวน์แก้วใหม่จากโต๊ะข้างๆ
“เฟรย่า ให้ฉันช่วยอะไรเทพธิดาแห่งแฟมิเลียอันดับสองดีล่ะ”
เฟรย่าหัวเราะคิกคักพร้อมกับบังริมฝีปากของตนด้วยมือที่สวมถุงมือไหมไว้
“น่าผิดหวังจริงๆ นั่นแหละ น่าเสียดายที่ความรักในคนมีพรสวรรค์กลับมากีดกันไม่ให้ฉันเคลื่อนไหวหรือขยายแฟมิเลียออกไปได้อย่างอิสระ พอพูดถึงเรื่องคนมีพรสวรรค์ ฉันได้ยินมาว่าแฟมิเลียของเธอได้ ‘เด็ก’ ที่มีแววมานี่?”
พอได้ยินเฟรย่าพูดถึงวาห์น เฮเฟสตัสก็ขมวดคิ้วและยกไวน์ขึ้นมาจิบ
“ก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเธอ”
เฮเฟสตัสรู้ว่าเฟรย่าเป็นเทพธิดาแบบไหนและจะไม่มีทางยอมให้เธอได้เข้ามายุ่งกับคนที่ตนตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้อง
รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเฟรย่าเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย แต่หากไม่มีใครตั้งใจมองดีๆ ก็ยากที่จะสังเกตเห็น
“เย็นชาจังเลย คนมีพรสวรรค์นั้นเปรียบเสมือนสมบัติของทุกคน เธอคงจะไม่เก็บมันไว้คนเดียวหรอกนะ ทำไมเธอถึงไม่ยอมให้เขาเติบโตอย่างอิสระและตัดสินใจด้วยตัวเองล่ะ?”
เมื่อเห็นว่าเฮเฟสตัสแสดงความเป็นศัตรูขนาดไหน ความสนใจของเธอที่มีต่อเด็กหนุ่มที่ชื่อวาห์นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เฮเฟสตัสเห็นแววตาของเฟรย่าจึงเดินเข้ามาใกล้จนห่างกันเพียงไม่กี่นิ้ว
“ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวนะ เฟรย่า หากเธอพยายามเข้ามายุ่งกับเด็กคนนั้น ฉันจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เธอชดใช้อย่างหนัก เด็กคนนั้นไม่สมควรต้องมาทรมานจาก ‘ความรัก’ ของเธอ”
เฮเฟสตัสจ้องตรงเข้าในดวงตาของเฟรย่าขณะที่ค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
มันไม่มีความหมายแฝงใดๆ ทั้งสิ้นและหากเฟรย่าอยากลองดี เธอก็จะได้รู้ว่าอำนาจของแฟมิเลียที่มั่งคั่งที่สุดมันมีมากมายขนาดไหน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟรย่าเริ่มจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย
คิ้วได้รูปของเธอผิดรูปไปบ้างเนื่องจากการถูกโจมตีและจากความโกรธที่ได้รับมา
“ดูท่าเธอจะใส่ใจกับเด็กเพียงคนเดียวมากไปหน่อยนะ เฮเฟสตัส เธอจะให้เขาเติบโตขึ้นได้ยังไงหากเธอปกป้องเขาราวกับไข่ในหิน?”
เฟรย่าไม่เข้าใจว่าทำไมเฮเฟสตัสผู้ที่ปกติจะเยือกเย็นและไม่สุงสิงกับใครถึงกังวลเรื่องเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ขนาดนี้
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟรย่า ‘ทาบทาม’ เด็กที่มีพรสวรรค์จากเฮเฟสตัสแฟมิเลียโดยที่เธอไม่เคยว่าอะไรสักคำ
ทันใดนั้น ความคิดแสนตลกก็แวบผ่านเข้าในจิตใจของเธอ
“นี่เธอ… เธอตกหลุมรักเด็กนั่นแล้วใช่ไหม?”
คิ้วขมวดบนใบหน้าของเฟรย่าหายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ถ้าเด็กหนุ่มคนนั้นมีความสามารถถึงขนาดปลุกความต้องการที่จะปกป้องจากคนอย่างเฮเฟสตัสได้ บางทีการเปิดสงครามเพื่อแย่งชิงตัวเขามาอาจเป็นสิ่งที่คุ้มค่าก็ได้นะ
เฮเฟสตัสเห็นว่าคำขู่ของเธอไม่ได้ผลและเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาในใจเล็กน้อยแล้ว
แต่เมื่อเห็นเฟรย่ากำลังทำหน้า ‘ครุ่นคิด’ ความกังวลทั้งหมดของเธอก็หายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยโทสะล้วนๆ
“หลังจากนี้แฟมิเลียของเธอเชิญไปหาอุปกรณ์สวมใส่ที่อื่นก็แล้วกัน ฉันจะไม่ยอมให้ช่างตีเหล็กของฉันตีอุปกรณ์แม้แต่ชิ้นเดียวให้กับผู้ติดตามของเทพต่ำช้า ฉันจะให้พวกเขาแต่ละคนสาบานโดยให้ทางกิลด์เป็นพยาน หากมีมีดแม้แต่เล่มเดียวตกอยู่ในมือของเด็กๆ จากแฟมิเลียเธอ ฉันจะถอนฟาลน่าที่อยู่ในตัวช่างคนนั้นออกและเรียกร้องค่าชดใช้จากเธอ”
เฟรย่าถึงกับตกใจเมื่อได้ยินคำขู่นั่น
แม้ว่าเธอจะสามารถทำสัญญากับกับช่างตีเหล็กคนอื่นภายในเมืองได้ก็ตาม แต่จำนวนของช่างพวกนั้นรวมกันก็คงไม่อาจดูแลคนทั้งแฟมิเลียของเธอได้หมด
หากปราศจากผู้เชี่ยวชาญของทางเฮเฟสตัสแฟมิเลีย เฟรย่าก็ต้องมาปวดหัวกับเรื่องหาวิธีดูแล ‘เด็กๆ’ ของเธอไปนานเลยทีเดียว
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเฮเฟสตัส เฟรย่าก็เห็นว่าเธอเอาจริงแน่
ดูเหมือนว่าการเข้าไปยุ่งกับ ‘เด็กหนุ่ม’ ที่เฮเฟสตัสโปรดปราน ก็คล้ายกับการไปเล่นกับไฟ…
“ก็ได้ เธอต้องการอะไร? ฉันมั่นใจว่าเธอคงมีเงื่อนไขอยู่ในใจแล้วใช่ไหม?”
เฟรย่ากัดฟันขณะที่พูดออกมา บางคนที่เฝ้ามองจากด้านข้างเริ่มเหงื่อตกหลังจากมองเห็นสีหน้า ‘มืดมน’ ของเธอ
หาได้ยากมากที่จะมีคนไปหาเรื่องเฟรย่าตรงๆ
“เธอจะต้องสาบานต่อหน้าโอรานอสว่าต่อไปเธอจะอยู่ให้ห่างจากวาห์น ฉันจะไม่สนใจหากเขาเข้าหาเธอด้วยตัวเอง แต่หากฉันพบว่าเขาตกหลุมพรางที่เป็นแผนของเธอ ฉันจะให้เธอยุบแฟมิเลียต่ำๆ ของเธอซะ”
เฮเฟสตัสบอกเงื่อนไขของตนอย่างชัดถ้อยชัดคำขณะที่ไม่เหลือช่องให้เจรจากันเลย
เฟรย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา
“นี่เธอกำลังจะบอกว่าหากฉันบังเอิญเดินชนกับเขาบนถนน ฉันก็ต้องยุบแฟมิเลียทิ้งในทันทีเลยเหรอ? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้า ‘เขาเข้าหาฉันเอง’ มันหมายความว่ายังไงกัน?”
เฮเฟสตัสอธิบายด้วยน้ำเสียงใจร้อน
“ฉันต่างไปจากเธอ เพราะฉันไม่เคยเป่าหูเด็กเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง ถ้าสุดท้ายแล้ววาห์นออกจากแฟมิเลียของฉันหรือตั้งใจติดต่อกับเธอด้วยตัวเอง ก็ฉันจะไม่ห้ามเขา แต่กลับกัน ถ้าหากว่าเขามาหาเธอหลังจากได้พูดคุยกับเด็กของเธอหรือเป็นหนึ่งในแผนการของเธอ ฉันคงต้องเรียกร้องให้เธอตอบเรื่องนี้ต่อหน้าโอรานอส แล้วก็ขอให้รู้ไว้เลย ว่าฉันจะบอกให้วาห์นเข้าใจว่าที่จริงแล้วเธอเป็นเทพธิดาแบบไหนกันแน่”
ขณะที่ฟังเฮเฟสตัสพูด เฟรย่าก็ยิ่งขมวดคิ้วขึ้นเรื่อยๆ
เธอไม่ชอบเรื่องที่ทำให้เธอไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ และการที่เนื้ออันแสนโอชะหลุดจากมือของเธอไปนั้นเป็นอะไรที่รู้สึกแย่เอามากๆ
“ฉันตกลงที่จะให้คำสัตย์สาบาน รวมไปถึงประโยคที่ว่าฉันห้ามวางแผนล่อลวงเด็กของเธอด้วย แต่ว่านะ ฉันเองก็อยากให้เธอสาบานเหมือนกันว่าจะไม่ใส่ร้ายฉันก่อนที่ฉันและเด็กคนนั้นจะได้พบกัน ฉันจะไม่เข้าใกล้วาห์นที่แสนสำคัญของเธอ แต่ถ้าเกิดเขามาหาฉันเพราะโชคชะตาเล่นตลก มันก็คงจะไม่ยุติธรรมหากเธอนำเรื่องโกหกไปปั่นหัวเขาเสียก่อน”
เฮเฟสตัสไม่ค่อยแฮปปี้กับข้อตกลงนี้เท่าไหร่แต่หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น สิ่งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะปกป้องอนาคตของวาห์นจากเงื้อมมือของเฟรย่า
เธอคงทำได้เพียงเชื่อในตัววาห์นว่าจะมีความสามารถพอที่จะมองทะลุหน้ากากของเฟรย่าเมื่อเวลานั้นมาถึง
หลังจากนึกถึงการระวังตัวและความช่างสังเกตของวาห์นแล้ว เฮเฟสตัสก็พยักหน้า
“ก็ได้ เราตกลงกันได้แล้ว หลังจากเดนาตัสจบลง พวกเราแต่ละคนจะต้องให้คำสัตย์สาบาน”
เฟรย่าพยักหน้าก่อนจะคว้าแก้วไวน์ที่อยู่ใกล้ๆ และดื่มรวดเดียวหมด
หลังจากจ้องมองเฮเฟสตัสเล็กน้อย เธอก็หันไปทางอื่นขณะกลับมาสวมใส่รอยยิ้มและท่าทางที่ดูสง่างามเหมือนเช่นเคย
เธอกำลังมองหาเป้าหมายอื่นก่อนจะทิ้งเฮเฟสตัสผู้เป็นที่มาของความไม่พอใจไว้เบื้องหลัง
เฮเฟสตัสมองเฟรย่าเลื้อยจากไปก่อนจะดื่มไวน์รวดเดียวหมดเช่นกัน
ตอนนี้เป้าหมายแรกของเธอสำเร็จไปด้วยดี ต่อไปก็ต้องใส่ใจเรื่องการหาฉายาที่ดีให้กับวาห์น
เธอเริ่มมองหาเทพคนอื่นเพื่อดึงมาอยู่ฝั่งเธอแล้วก็เหลือบไปเห็นมิอาคที่กำลังคุยกับเทพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาเป็นเทพหน้าตาหล่อเหล่าที่มีผมและดวงตาสีดำพร้อมกับสวมชุดของตะวันออก
ดูแล้วน่าจะเป็นเทพองค์ใหม่ที่เพิ่งลงมาจากสวรรค์หรือเพิ่งย้ายมาที่โอราริโอ้ได้ไม่นาน
มิอาคสังเกตเห็นเฮเฟสตัสที่กำลังเดินเข้ามาใกล้และโค้งให้อย่างสุภาพ
“สวัสดี เฮเฟสตัส ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับการช่วยเหลือที่เด็กของเธอหยิบยื่นให้ หากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้ก็เชิญบอกมาได้เลยนะ”
เฮเฟสตัสพยักหน้าให้เขาก่อนจะตอบ
“แฟมิเลียของฉันไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับมิอาคแฟมิเลียมาก่อน แถมยังได้รับการช่วยเหลือในอดีตมาแล้วด้วย ได้โปรดอย่าทำตัวห่างเหินเลย ลืมเรื่องบุญคุณไปและมาอยู่อย่างเท่าเทียมกันดีกว่า หากมีอะไรให้ช่วยจริงๆ ฉันเพียงแค่ขอให้เทพมิอาครักษาสัมพันธ์อันดีกับเด็กๆ ของฉันต่อไปในอนาคตก็พอแล้ว”
เทพผมสีดำจ้องมองการสนทนาตรงหน้าและเผยรอยยิ้มอันเป็นมิตรออกมา
“คุณก็คือเทพธิดาที่มิอาคเล่าให้ฟังนี่เอง เด็กของคุณชื่อวาห์นใช่ไหม? เขาดูเหมือนกับเหล่าวิญญาณวีรชนและมีนิสัยที่น่ายกย่องมาก ผมอยากมีโอกาสที่จะได้พบกับเด็กหนุ่มน่าชื่นชมแบบนี้สักครั้งและเชื่อว่าเขาจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเหล่าเด็กๆ ของผม”
เฮเฟสตัสมองไปทางเทพหน้าใหม่และถามออกมา
“คุณคือ…?”
แม้ว่าเขาจะดูเป็นมิตร แต่เธอก็ไม่อยากให้วาห์นพบกับใครก็ตามที่เธอยังตัดสินไม่ได้ว่าเขาน่าเชื่อถือแค่ไหน
เทพองค์นั้นโค้งให้กับเธอ
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้า ผมชื่อทาเคมิคาสึจิ และแฟมิเลียของผมก็เพิ่งจะย้ายมาจากดินแดนตะวันออกไกล เพรายังไม่ได้ทำความรู้จักกับคนอื่นมากนัก ผมจะรู้สึกขอบคุณมากหากได้รับคำแนะนำจากคุณ”
ทาเคมิคาสึจิแสดงท่าทางที่แฝงไปด้วยความเคารพของตนขณะที่เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพ
เฮเฟสตัสรู้สึกว่าทาเคมิคาสึจิเป็นเทพที่คล้ายกับมิอาคมาก เนื่องจากทั้งคู่เป็นเทพที่น่าเคารพและมีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กัน
พอคิดว่าเขาคงจะไม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับวาห์น เฮเฟสตัสเองก็เริ่มแนะนำตัวเอง
“สวัสดี ทาเคมิคาสึจิ ฉันเฮเฟสตัส เป็นเทพธิดาแห่งเฮเฟสตัสแฟมิเลีย หากแฟมิเลียของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์สวมใส่ในอนาคตก็ไม่ต้องเกรงใช้และเรียกใช้บริการของทางเราได้ตามสบาย สำหรับเรื่องเด็กๆ ของฉันหรือถ้าอยากเจาะจงหน่อยก็คือวาห์น เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าเขาต้องการพูดคุยกับเด็กในแฟมิเลียของคุณในอนาคตหรือเปล่า”
ทาเกะ (TL: ชื่อย่อของทาเคมิคาสึจิ) ยิ้มตอบหลังจากได้ยินที่เธอพูด
เขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่เที่ยงธรรมแบบวาห์นจะต้องเข้ากับเด็กๆ ของตัวเองได้อย่างแน่นอน และเขาก็ไม่ได้ไปใส่ใจกับเรื่องที่เฮเฟสตัสบอกว่าให้วาห์นเป็นคนตัดสินใจมากสักเท่าไหร่
“ขอบคุณสำหรับความเมตตานะ เทพเฮเฟสตัส ถ้าหากเธอต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยนะ ฉันเชื่อว่าแฟมิเลียของเราคงจะมีโอกาสได้ร่วมมือกันมากขึ้นในอนาคต!”
เฮเฟสตัสพยักหน้า
มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีเทพที่ต้องการเสาะหาผลประโยชน์จากเธอหลังจากสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้วในระดับหนึ่ง
แต่ว่าครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ
เธอจะลองตัดสินใจผูกมิตรกับเทพองค์ใหม่นี้เพื่อการประชุมที่จะมาถึง
“ที่จริงแล้ว มีเรื่องๆ หนึ่งที่อยากให้พวกคุณช่วยพอดีเลย…”
(TL: ชื่อตอนสำรอง: ‘เฟรย่าถูกบังคับ พลิกล็อกสุดๆ!’, ‘เฮเฟสตัส เมียหลวงตัวจริง’, ‘หากเล่นกับไฟ เธออาจถูกเผา หากเล่นกับ ‘เทพธิดาแห่งการหลอม’ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าถูกเผาแน่ๆ’, ‘การพบกันของสองหนุ่มหน้าหล่อ’
—————